“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตสั่งให้เลยนะครับ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วสั่งอาหารกับบริกร “ขอไวน์ปิโนต์นัวร์ด้วยครับ”
“ดื่มไวน์เหรอคะ” หญิงสาวทำตาปริบๆ
“คุณพลอยก็ดื่มด้วยสิครับ เพื่อสุขภาพ” เขายังคงยิ้มเช่นเดิม แต่รอยยิ้มของเขาทำให้หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง
“คุณพลอยสนิทกับคุณพราวมุกไหมครับ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นพลางรับแก้วไวน์จากบริกรขึ้นดมกลิ่นก่อนจิบเล็กน้อย
“เราเป็นฝาแฝดกันก็ต้องสนิทกันสิค่ะ” เธอรับแก้วไวน์มาแล้วจิบเล็กน้อย รู้สึกว่าสายตาของเขายังจับจ้องที่ใบหู ทำให้เธอเผลอยกมือขึ้นแตะ
“ผมเป็นลูกคนเดียวเลยไม่รู้ว่าการมีพี่น้องเป็นยังไง” เขาพูดหลังจากดื่มไปอีกอึกใหญ่ “ไม่รู้ว่าพวกคุณเล่นสลับตัวกันบ่อยไหมครับ”
“แค่กๆ”
เสียงสำลักไวน์และท่าทางตกใจสุดขีดไม่อยู่เหนือการคาดหมายของกวิวัชร์เลยสักนิด เขายังหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เธอด้วยซ้ำ
“ว่าไงครับ คุณพราวมุก”
“บอส” คราวนี้หญิงสาวโอดครวญเบาๆ “บอสรู้ได้ไงว่าเป็นมุกคะ”
“ผมยอมรับว่าคุณสองคนเหมือนกันมากนะ แต่เอาจริงๆ ก็แยกได้ไม่ยากนัก ต่อให้คุณมุกแกล้งทำเป็นประหม่า ขัดเขิน แต่ผมรู้ว่าคุณพลอยดาวถึงจะดูเงียบๆ แต่ไม่ใช่คนขี้อายจนขาดความมั่นใจ” กวิวัชร์พูดตามที่ใจคิด “คุณกลัวผมจะหลอกพี่สาวคุณหรือครับคุณพราวมุก”
“ก็...ค่ะ” ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงจะถูกไล่ออกก็ยอม ยังไงเธอไม่ยอมให้ใครมารังแกพลอยดาวได้เด็ดขาด
“นี่คุณไม่คิดว่าผมจะจริงใจกับคุณพลอยดาวเลยเหรอ” ได้เปิดอกคุยกันแล้วเขาก็ไม่ต้องอ้อมค้อม
“แต่บอสเจอพี่สาวมุกแค่สองครั้งเองนะคะ บอสถึงขนาดนัดดินเนอร์หรูแบบนี้เลยเหรอ ไม่น่าไว้ใจสักนิด”
“ถ้านัดแรกไม่หรูไม่ประทับใจจะมีครั้งต่อไปไหมล่ะครับ” กวิวัชร์หัวเราะอารมณ์ดีไม่นึกโกรธที่เลขาทำแบบนี้ “คุณพลอยดาวเป็นคนใจเย็นใช่ไหม ผมรู้สึกว่าถ้าได้อยู่ใกล้คนแบบนี้แล้วทำให้ใจสงบดี”
“อย่างนี้เอง” พราวมุกถอนหายใจโล่งอก มือเรียวเล็กหยิบสมาร์ทโฟนออกมาวางบนโต๊ะแล้วส่งเสียงถึงคนปลายสาย “ได้ยินแล้วใช่ไหม...พลอย”
“ผมแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้” กวิวัชร์ส่ายหน้าไปมา “อีกอย่างผมก็ไม่ใช่เด็ก ถ้าสนใจใครก็ไม่อยากเสียเวลา ลองทำความรู้จักกันเลยดีกว่า ถ้าไม่เวิร์คก็แยกย้ายกันไป”
“คุณแน่ใจหรือคะว่าพลอยจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอันมีค่าของคุณไป ทั้งที่รู้ว่าเราแตกต่างกันมาก”
กวิวัชร์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานใส เธอสวมชุดกระโปรงแบบเดียวกับพราวมุก สองคนนี้พอแต่งตัวเหมือนกันแทบแยกไม่ออกเลยจริงๆ แต่แววตาไม่ยอมคนคู่นั้น ทำให้เขารู้ว่าเธอคือพลอยดาว ไม่ใช่พราวมุก
พราวมุกลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วแตะไหล่พลอยดาวเบาๆ “เอาไงดี”
“พลอยจัดการเองได้”
“งั้นมุกกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรตามมุกได้ทันที”
“อืม” พลอยดาวพยักหน้ารับ
พราวมุกสูดลมหายใจลึก ยังไงก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงจะเป็นห่วงยังไง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของพลอยดาวต้องตัดสินใจเอง พราวมุกมองหน้ากวิวัชร์แล้วพูดขึ้น
“ถ้าบอสรังแกพี่สาวมุกล่ะก็ เจอดีแน่”
กวิวัชร์รับคำหนักแน่นแต่สายตาหยุดที่เจ้าของร่างอรชร พลอยดาวรอจนพราวมุกเดินออกไปแล้วจึงนั่งลงแทนที่น้องสาว นิ้วเรียวดันแว่นตาอย่างเคยชินไม่มีท่าทีหลบสายตาของเขา
“ผมสั่งริบอาย (Ribeye Steak)สเต็กไว้ คิดว่าคุณคงชอบ” เขายิ้มอารมณ์ดี “เปลี่ยนแก้วไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” พลอยดาวไม่ถือที่จะดื่มแก้วเดียวกับน้องสาว ไวน์แก้วแรกผ่านลงคอกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรง แต่พลอยดาวกลับรู้สึกสมองโล่งขึ้น “วิวชั้นสามสิบสี่นี่สวยดีเหมือนกันนะคะ”
“ครับ ผมมากินข้าวที่นี่หลายครั้ง บางทีการได้มองอะไรไกลๆ มันก็สบายตาดี”
“มองตอนมืดๆ ก็เห็นแต่ไฟดวงเล็กๆ กรุงเทพฯ นี่เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับจริงๆ” พลอยดาวเบ้ปาก “มองต้นไม้ยังสบายตากว่าอีก”
“อ้อ! เจ้าต้นอะไรนั้นยังอยู่ดีนะครับ” เขาหัวเราะเบาๆ รอจนบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟออกไปแล้วจึงพูดต่อ “คุณไม่คิดถึงต้นไม้นั้นเหรอ มันชื่อต้นอะไรนะ”
“เศรษฐีเรือนในค่ะ”
หญิงสาวตอบแล้วลงมือกินอาหาร ไหนๆ ก็มีเจ้ามือแล้ว จะกินให้อิ่มหนำสำราญใจเลยทีเดียว แต่ท่าทางกินอย่างมีความสุขทำให้กวิวัชร์พอใจไม่น้อย เขาไม่ชอบเห็นคนกินเหมือนกลัวอ้วน มันพลอยทำให้ไม่อยากอาหารไปด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะบริกรรินไวน์ให้ต่อเนื่องหรือเพราะบรรยากาศพาไป แก้มนวลจึงฝาดสีเลือดแดงเรื่อและแววตาอ่อนลง เสียงหัวเราะของเธอก็ถี่ขึ้น รวมทั้งท่าทางผ่อนคลายมากขึ้น
ไวน์แดงมีรสฝาดนำและเปรี้ยวหวานผสานซ่อนอยู่ภายใน เหมาะกับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ใหญ่ เพราะความฝาดจะไปตัดความมันที่ปนในเนื้อไม่ให้เลี่ยน แต่ไม่เหมาะกับรสเผ็ดเพราะความฝาดจะเปลี่ยนเป็นรสขม และไม่เข้ากับอาหารทะเล เพราะความฝาดจะดันกลิ่นคาวออกมา ส่วนไวน์ขาวจะตรงกันข้ามกัน
ตอนนี้กวิวัชร์รู้สึกกลายร่างเป็นสัตว์กินเนื้อ อยากกินเจ้ากระต่ายน้อยขึ้นมาแล้วสิ
ทันทีที่บานประตูปิดลง มือแกร่งก็รวบร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด แล้วโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากอ่อนนุ่มที่เผยอขึ้นพอดี เขากลัวเธอเปลี่ยนใจ จึงรีบจูบเธอเสียก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา
พลอยดาวไม่คิดว่าตัวเองจะตอบรับเขาง่ายดายหลังจากไวน์พร่องไปครึ่งขวด เธอไม่ใช่คนคออ่อนนัก เวลาไปออกงานกับพ่อก็ดื่มนิดๆหน่อยๆ พอเข้าสังคม และเป็นคนขับรถให้พ่ออยู่บ่อยๆ อาจเพราะครั้งนี้เธอไม่ตามพ่อไปสัมมนาต่างจังหวัดด้วย อาจเพราะเธอรู้สึกอิสระมากขึ้นเพราะเรียนจบแล้ว หรือเพราะคำชวนอันเย้ายวนของเขา
‘ถ้าคุณยังไม่พร้อมจะคบกับผม ถ้างั้นคืนนี้เรามีความสัมพันธ์แบบวันไนท์สแตนด์ไหม’
‘อะไรนะคะ’
‘แค่คืนนี้และไม่ผูกมัด’
พลอยดาวรู้ความหมายของประโยคนี้ดี แต่ไม่คิดว่าเขาเอ่ยปากชวนง่ายๆ หรือเพราะเขาทำให้มันเป็นเรื่องง่ายๆ เธอจึงตัดสินใจได้แทบจะในทันที เธอวางมือของตนบนฝ่ามือของเขาแทนคำตอบ และเขาก็กุมมือเธอเดินออกมาจากห้องอาหารชั้นที่สามสิบสี่มาห้องสวีทสุดหรูชั้นที่ห้าสิบสอง เพราะจิตใจจดจ่อกับมือที่กุมมือเธออยู่ทำให้ไม่ได้สนใจว่าเขาพาเธอมายังห้องสวีทนี้ได้ยังไง และเพียงบานประตูปิดลง ร่างของเธอก็ถูกเขากอดรัดแนบแน่น
เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากไล่ต้อนลิ้นน้อยๆ ของหญิงสาวที่เพิ่งเคยสัมผัส ‘จูบแรก’ รสไวน์แดงยังอยู่ในปากและลมหายใจอุ่นร้อน พร้อมกับจับเอวคอดกิ่วขึ้นให้นั่งบนเคาน์เตอร์มินิบาร์ จากนั้น มือแกร่งลูบไล้แผ่นหลังจนเจอซิปที่ซ่อนอยู่แล้วรูดมันลงอย่างรวดเร็ว
ความเย็นของอากาศในห้องแตะแผ่นหลังเปลือยเปล่าทำให้เธอผงะไปเล็กน้อย มือเรียวเล็กยกขึ้นดันแผ่นอกอีกฝ่ายทันที แววตาของเขาร้อนแรงราวกับมีเปลวไฟพร้อมหลอมละลายให้มอดไหม้ แม้เขินอายแต่ใจใคร่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไรกับร่างกายนี้ พลอยดาวได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนักหน่วง และเสียงหัวใจเต้นรัวของตัวเองเมื่อเขาโน้มหน้าลงจูบที่เนินอก เธอหลุดเสียงครางเบาๆ ที่เป็นสัญญาณเชื้อเชิญอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว