“จะไปไหนเหรอเจ้ากั้ง”
“เข้าบริษัทครับแม่”
ชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มเดินลงมาจากชั้นบนของคฤหาสน์หลังงาม มารดาของเขากำลังกินอาหารเช้า นางกวักมือเรียกลูกชายคนเดียวก่อนที่เขาจะเดินเลยออกไป
“กินข้าวเช้ากับแม่ก่อนสิ” นางจันทนาถามแล้วพยักหน้าให้เด็กรับใช้วางแก้วน้ำส้มคั้น
“ขอแค่กาแฟร้อนก็พอครับ”
‘กั้ง’หรือ ‘กวิวัชร์’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณจันทนาและ สามีคือคุณองอาจ แต่เพราะสามีมีบ้านเล็กบ้านน้อย นางจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดทั้งมวลที่ลูกชายคนเดียว แม้ว่าปีนี้เขาอายุยี่สิบแปดแล้ว แต่สำหรับมารดาแล้วลูกยังเป็นเด็กเสมอ
“วันเสาร์ก็ต้องไปทำงานเหรอ” นางจันทนาถามพลางมองดูลูกที่นั่งลงเก้าอี้ว่างข้างกาย
“บริษัทเราวันเสาร์ทำงานครึ่งวันนะครับแม่” กวิวัชร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม ปกติสีหน้าเขานิ่งขรึมอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่กับมารดา เขายิ้มแย้มและพยายามไม่ขัดใจเพราะรู้ว่ามารดามีปัญหาเรื่องสุขภาพร่วมทั้งจิตใจที่หดหู่เรื่องบิดาของเขาด้วย
“เรื่องนั้นแม่รู้แต่ลูกเพิ่งกลับมาจากไต้หวันไม่ใช่เหรอ”
“ผมกักตัวครบแล้วนะครับ” กวิวัชร์รับกาแฟร้อนจากเด็กรับใช้มาดื่ม
“แม่หมายถึง ลูกเป็นผู้บริหาร วันเสาร์ไม่ต้องเข้าบริษัทก็ได้นี่” คนเป็นแม่ส่ายหน้าระอาใจ “เมื่อไหร่จะว่างไปหาหนูลิลลี่”
“ผมไม่คิดอะไรกับน้อง” กวิวัชร์พูดตรงประเด็นเพราะเข้าใจความหมายของมารดาดี
“แต่หนูลิลลี่คิด”
“ก็ปล่อยให้คิดไปสิครับ” เขายักไหล่ไม่ได้ใส่ใจ เขารู้ว่าแม่อยากให้เขาแต่งงานกับคนที่แม่เลือกให้ แต่เขาเจอหน้า ‘หนูลิลลี่’ ของคุณแม่หลายครั้งก็ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด เขาไม่ชอบผู้หญิงที่เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้คนนั้นเลย
“แม่เลือกให้ก็ไม่เอาแล้วเมื่อไหร่ก็แต่งงานมีหลานให้แม่อุ้มเสียที”
“ก็ผมไม่รีบนี่”
“แต่แม่รีบ แม่อยากเลี้ยงหลาน แม่ก็แก่ลงไปทุกวัน อีกหน่อยก็ไม่มีแรงเลี้ยงหลานกันพอดี”
“ผมรับไว้พิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนก็แล้วกันครับ” กวิวัชร์หัวเราะในลำคอ “ผมออกไปก่อนนะครับแม่ แม่กินข้าวแล้วกินยาตามหมอสั่งด้วยนะครับ”
“รู้แล้วๆ”
เมื่อรู้ว่าห้ามลูกชายที่บ้างานไม่ได้ ก็ได้แต่ยิ้มส่งให้ลูกชายอย่างนี้ กวิวัชร์เข้ามารับตำแหน่งแทนบิดาได้ครึ่งปีแล้ว เขาอายุยังน้อย มีหลายคนไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยังดีที่สามีของนางแม้จะเจ้าชู้มีเมียเยอะ แต่เรื่องงานที่บริษัทไม่มีผิดพลาด แม้ตัวเองจะถอยออกมาแต่ก็ยังไม่วางมือไปทั้งหมด คอยดูแลและนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษา หลังจากกาแฟร้อนหมดแก้ว กวิวัชร์ก็ไปทำงานด้วยรถยนตร์สีไวน์แดงคันโปรด เป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกบุคลิกของเขาได้ชัดเจนที่สุด แม้ว่าพ่อยกบริษัทให้เขาบริหารต่อแต่ไม่ใช่ว่าจะทิ้งไปเสียทีเดียว ยังคงให้คุณอา“อวัช”มือขวาของพ่อไว้ช่วยสอนงาน เพียงแค่พ่อไม่ค่อยได้กลับบ้านก็เท่านั้น ซึ่งเขาก็เข้าใจพ่อและแม่ พ่อของเขาเจ้าชู้ยังไง แม่ก็ยังเป็นเมียหลวงยืนหนึ่งไม่มีวันหย่ากับแม่แน่นอน นั้นเป็นเรื่องที่พ่อยืนยัน
กวิวัชร์มาถึงบริษัทเก้าโมงเศษ เพราะไปดูโรงงานที่ไต้หวันครึ่งเดือนและกลับมากักตัวเจ็ดวัน ก็เท่ากับเขาไม่ได้เข้าบริษัทมาเกือบเดือน พนักงานหลายคนทำหน้าตาตื่นที่เห็นเขาเข้ามา ปกติเขาหน้าดุอยู่แล้วทำให้พนักงานไม่กล้าสบตาตรงๆ เขาเดินไปที่ห้องทำงานของอวัชด้วยความเคยชิน
“อ้าว วันนี้เข้าบริษัทด้วยเหรอ” อวัชถามพลางกินแซนวิชในมือ “กินด้วยกันไหม”
“ผมยังไม่หิว” เขานั่งลงที่เก้าอี้ว่างตรงข้ามกับผู้เป็นอา “ทำไมพนักงานมองผมแปลกๆ”
อวัชโบกมือไปมา เมื่อกลืนแซนวิชแล้วก็พูดขึ้น “แค่ไม่ค่อยเห็นหน้าประธานเลยตกใจ”
“คิดว่าผมดูแลบริษัทไม่รอดเหรอ” กวิวัชร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากจบปริญญาโท เขาก็ไปทำงานในตำแหน่งอื่น ไม่ใช่ว่าจะใช้ความเป็นลูกเจ้าของบริษัทขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้บริหารทันที
“คิดมากน่า” อวัชยัดแซนวิชคำสุดท้ายเข้าปาก “มาแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม ยังไงให้เลขาสั่งมื้อเช้าให้ดีกว่า”
“ครับ”
“วันนี้ไม่มีอะไรมากหรอก ไปอ่านเอกสารสรุปการประชุมที่กองอยู่บนโต๊ะเถอะ”
“อาไล่ผม?”
“เปล่า” อวัชหัวเราะ “ไปๆ รำคาญตา อาก็มีงานที่ต้องสะสางเหมือนกัน”
“โอเค.ครับ”
ประธานหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานของอาอวัชกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง เขากินข้าวเช้าเอาตอนสาย ถ้าเป็นเลขาคนเก่าจะเตรียมสั่งอาหารเช้าไว้เขาโดยไม่ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เขามีเลขาคนใหม่ที่ท่าทางเปรี้ยวเข็ดฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะประวัติการเรียนของเธอน่าสนใจ รวมทั้งทำกิจกรรมระหว่างเรียน เขาคงไม่เลือกมาเป็นเลขาแน่ๆ เขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ ฟาดพนักงานเป็นว่าเล่นนะสิ
ชายหนุ่มแปลกใจที่โต๊ะทำงานหน้าห้องไม่มีร่างของเลขาสาว หรือจะยังมาไม่ถึงที่ทำงาน กวิวัชร์โคลงศีรษะแล้วผลักประตูเข้าห้องทำงานของตัวเอง สายตาของเขาปะทะกับร่างอรชรในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา
“คุณพราวมุก?”
“คะ!” หญิงสาวสะดุ้งเงยตัวขึ้นทันที เธอจ้องเขาตาโต “ท่านประธาน!”
‘ท่านประธาน?’ กวิวัชร์เลิกคิ้ว ถึงเขาจะหยุดงานไปนานและเลขาคนนี้เพิ่งมาใหม่ แต่จำได้ว่า เธอมักเรียกเขาว่า ‘บอส’
“ทำไมต้องตกใจ”
“เอ่อ...ไม่นึกว่าท่านประธานจะเข้าบริษัท” หญิงสาวตอบไปตามตรง เผลอยกมือขึ้นหมายจะดันแว่นตาแต่ลืมไปว่าตอนนี้เธอไม่ได้ใส่แว่น
“แปลกจริง วันนี้มีแต่คนทัก” เขายักไหล่แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ หางตาเห็นกระถางต้นไม้เล็กๆ บนโต๊ะทำงาน
‘แปลกจริงๆ นั้นแหละ ก็ยัยมุกบอกว่าท่านประธานจะไม่เข้าบริษัทนี่’
“นั้นอะไร”
“ต้นไม้ค่ะ”
“ผมเห็นแล้วว่าต้นไม้ แต่ต้นอะไร”
“เศรษฐีเรือนในค่ะ”
“ขอผมดูหน่อย”
พลอยดาวที่มาสวมหน้าที่เป็นพราวมุก เธอยืนมองมือที่ยื่นออกมา หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากอย่างลืมตัวแล้วยื่นกระถางต้นไม้เล็กๆ ส่งให้เขาดู
“นี่ผมต้องพึ่งต้นไม้มงคลเสริมฮวงจุ้ยเลยเหรอ”
“เศรษฐีเรือนในเป็นไม้มงคลเสริมโชคเสริมลาภก็จริง แต่ก็ที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษ ตั้งไว้บนโต๊ะทำงานแบบนี้ก็ช่วยลดความตึงเครียดได้ด้วยค่ะ”
“ผมดูเครียดมากเหรอ” เขาถามพลางกวาดตามองเลขาคนใหม่ ก็เหมือนไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม แต่ทำไมเขารู้สึกว่าวันนี้ต่างไปจากเดิม หรือเพราะผมยาวที่เกล้าขึ้นเป็นมวย หรือเธอแต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติ
ถูกจ้องจนรู้สึกประหม่า พลอยดาวเคยมาทำงานแทนพราวมุก แต่ก็ไม่ได้พบหน้าประธานบริษัทระยะใกล้ขนาดนี้ เธอฝั่งใจกับใบหน้าเย็นชาและสายตาดุดันจนไม่อยากอยู่ใกล้ แล้วที่สำคัญจากข้อมูลที่พราวมุกบอก เขาควรจะมาทำงานวันจันทร์นี่นะ
“ว่าไง” กวิวัชร์เคาะปลายนิ้วกับโต๊ะทำงาน รอคำตอบอย่างคนใจเย็น
“ตอนนี้ท่านประธานทำดิฉันเครียดมากค่ะ” พลอยดาวสารภาพไปตามตรงแล้ววางต้นไม้เล็กๆ ลงที่เดิม “ถ้าท่านไม่ชอบดิฉันจะเอาออกไป”
“อุตส่าห์เอามาแล้วก็ตั้งไว้ที่ตรงนั้นเถอะ” ปกติเขาไม่คุยเล่นหัวกับพนักงาน ไม่ได้ทำตัวเย่อหยิ่งแต่เว้นระยะห่างไม่สนิทสนมจนเกินไป แต่วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองพูดเยอะ ทั้งที่ปกติเลขาคนใหม่จะเป็นคนพูดเก่งจนเขานึกปวดหัว
“ค่ะ” พลอยดาวรับคำเบาๆ ไม่รู้ทำไมเขาจ้องขนาดนี้ หรือเขาจะรู้ว่าเธอไม่ใช่พราวมุก ไม่จริงน่า เธอสองคนเคยสลับตัวไปสอบด้วยซ้ำ อาจารย์ยังแยกไม่ออกเลย
“ผมไม่เข้าบริษัทเกือบเดือนคิดว่าคงมีงานที่รออยู่ก็เลยเข้ามาดูก่อน วันจันทร์จะได้ไม่ยุ่งมาก” กวิวัชร์พูดไปแล้วก็แปลกใจตัวเอง ทำไมต้องอธิบายให้เลขาฟัง มันไม่ใช่หน้าที่ที่เขาต้องรายงานเธอนี่นะ