ระย้ากับหลานชายคนโตและลูกสาวมาถึงบ้านของแสงฉวี เพื่อนรักที่เจอกันแทบจะทุกวันก็ว่าได้ ก็บ้านติดกันแค่รั้วกั้นนี่เองจึงทำให้เดินไปมาหาสู่กันประจำ ก็คนแก่อย่างพวกนางเหงาจึงชวนกันไปเดินเล่นบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ไม่ก็ชวนกันมาจิบน้ำชาเพื่อพูดคุยถึงอดีตของตัวเองกัน
“สวัสดีครับคุณยายฉวี” น่านน้ำเอ่ยทักทายเจ้าของบ้านอย่างคุ้นเคย เพราะเขามาที่บ้านหลังนี้บ่อย เวลากลับมาจากไร่ไม่เจอคุณย่าพอถามเด็กๆ ก็ได้รู้ว่าท่านมาบ้านหลังข้างๆ เขาจึงมารับท่านกลับบ้านบ่อยๆ
“ไหว้พระเถอะพ่อน่าน” แสงฉวีเอ่ยกับว่าที่หลานเขยของตัวเอง วันนี้น่านน้ำแต่งตัวแปลกตากว่าทุกครั้ง เพราะชายหนุ่มแต่งตัวด้วยสูทสากลทันสมัย ซึ่งนานๆ ทีจะได้เห็น และก็รู้เลยว่าทำไมต้องแต่งมาแบบนี้คงเป็นเพื่อของนางอีกนั่นแหละที่บังคับ เพราะนางเองก็บังคับให้พิมพ์มาดาแต่งตัวด้วยชุดเดรสสีชมพูชีฟองหวานยาวเลยเข่าเหมือนกัน
“แม่ดาไหว้คุณย่าระย้ากับคุณอาปิ่น และพี่น่านสิลูก” หันมาบอกหลานสาวตัวเองที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ทักทายทำความรู้จักกับแขกทั้งสามของตนเอง
“สวัสดีค่ะคุณย่าระย้า คุณอาปิ่น และพะ...พี่น่าน” ท้ายประโยคเธอเอ่ยไม่เต็มคำเท่าไหร่นัก และยิ่งรู้ว่าคนที่นั่งตรงหน้าตัวเองคือผู้ชายที่ต้องแต่งงานด้วยก็ยิ่งไม่พอใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะหล่อแต่ก็ไม่ใช่สเปคในแบบที่อยากได้ ถึงไม่เคยคิดเรื่องแฟนแต่ก็มีสเปคที่วาดฝันไว้ ต้องผิวขาวแต่คนนี้ผิวเข้ม ไม่ตรงใจตรงตาตั้งแต่แรกเห็น แล้วก็ผิวพ่อคุณก็เข้มเด่นมาแต่ไกลเชียวแหละ
“แม่ดาพาพี่เขาไปเดินดูรอบบ้านเราหน่อยสิลูก ยายกับย่าระย้าและอาปิ่นมีเรื่องต้องคุยกัน อ้อ อย่าลืมโทรตามพ่อกับแม่เราด้วยล่ะว่าให้กลับมาบ้านได้แล้ว” แสงฉวีจัดแจงบอกหลานสาวทั้งๆ ที่รู้ว่าน่านฟ้าน่ะรู้จักบ้านนี้ดียิ่งกว่าพิมพ์มาดาหลานสาวตัวเองเสียอีก
“หา! ทำไมต้องเป็นหนูด้วยคะ” เธอชี้มือเข้าหาตัวเอง
“แม่ดาเป็นคู่หมั้นกับพ่อน่านไม่ใช่เรอะ ก็สมควรต้องพาไป พ่อน่านให้น้องพาเดินดูรอบบ้านนะลูก” นางอธิบายพร้อมส่งสายตาดุหลานสาวจอมดื้อรั้นของตัวเอง
“ครับ” น่านน้ำรับคำง่ายดาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากไปสักนิด ผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในแบบที่เขาชอบ ไม่รู้สิ ไม่รู้ทำไมไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เหมือนกัน ยิ่งดวงตากลมโตของเธอยามมองมาทางเขาอย่างหาเรื่องนั้นแล้ว ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบผู้หญิงที่อวดเก่ง แค่มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าหล่อนอวดเก่งดื้อรั้นแค่ไหน
“พี่น่านเชิญไปเดินชมดูรอบๆ บ้านค่า....” เธอลากเสียงยาวพร้อมลุกขึ้นผายมือเชิญอีกฝ่ายให้เดินตามตัวเองออกไป
“ผมขอตัวนะครับคุณย่า คุณยาย อาปิ่น” เขาหยักยิ้มทรงเสน่ห์เล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามคนที่เดินไปรอที่หน้าห้องนั่งเล่นก่อนแล้ว
“จะรอดไหมฉวี” ระย้าเอ่ยขึ้นเมื่อมองตามหลานทั้งสองของตัวเองแล้วก็ปวดขมับทันที
“คุณแม่ก็คิดมากไปได้ หลานของปิ่นน่ะออกจะหล่อขนาดนั้น หนูดาต้องมีรักมั่งแหละ แถมหนูดาก็สวยน่ารัก พ่อน่านของปิ่นต้องมีหวั่นไหวมั่งแหละค่ะ” ปิ่นที่นั่งเงียบตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง
“ขอให้เป็นอย่างแม่ปิ่นว่าเถอะ”
แสงฉวีเอ่ยบ้าง เพราะนางเองก็คิดเหมือนเพื่อนรักของนางนั่นแหละ
ด้านหนุ่มสาวที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกและแถมการเจอกันก็เจอกันด้วยตำแหน่งคู่หมั้นด้วย พอเดินออกมาลับตาผู้คนมาอยู่ในโรงกล้วยไม้ของคุณยาย พิมพ์มาดาก็หยุดเดินแล้วหมุนตัวหันหน้ามาเผชิญกับคู่หมั้นหนุ่มของตัวเองทันที
“ฉันไม่อยากแต่งงาน / ผมไม่อยากแต่งงาน” ทั้งสองเอ่ยพร้อมกันทันที
“ก็ดีนี่ คุณไม่อยากแต่งงาน ฉันก็ไม่อยากแต่งงาน แล้วทำไมคุณไม่บอกคุณย่าของคุณล่ะ” พิมพ์มาดาเอ่ย
“แล้วทำไมคุณไม่บอกคุณยายของคุณล่ะ” เขาถามเธอกลับ
“ฉันบอกแล้ว”
“ผมก็บอกแล้ว”
“ก็บอกท่านอีกสิ ฉันก็จะบอกคุณยายอีก”
“ผมบอกแน่ ผมจะบอกจนกว่าท่านจะยอมยกเลิกเรื่องระหว่างเรานั่นแหละ ผู้หญิงอะไรไม่มีเสน่ห์เอาซะเลย” พูดพร้อมมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของพิมพ์มาดา
“นะ...นายว่ายังไงนะ” สองมือกำแน่นทันทีเมื่อถูกดูถูก
“ไม่มีเสน่ห์” เขาบอกย้ำอีกครั้งและดังกว่าครั้งแรก
“นะ...นายก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีเสน่ห์ แถมปากเสียอีกด้วย ถึงว่าแหละไม่มีใครเอา แก่มาจนให้คุณย่าบังคับแต่งงาน” เธอโต้กลับด้วยความโมโห
“เดี๋ยวก่อนนะคุณน้อง ผมเนี่ยนะไม่มีใครเอา ผมน่ะเอาไปทั่วทั้งจังหวัดแล้วครับ และเมียน่ะ ถ้าให้เรียกว่าเมียนับรวมผมมีเป็นร้อยคน ว่าแต่คุณน้องเถอะ เห็นบอกว่าอายุยี่สิบแปดเหรอ จะขึ้นคานแล้วนี่ ห่วงตัวเองเถอะ เป็นผู้หญิงปล่อยให้ตัวเองอายุขนาดนี้ได้ยังไงกัน หน้าตาก็งั้นๆ” พูดแล้วก็เบือนหน้าหนี มองไปยังกล้วยไม้สวยงามในโรงเรือน
“นะ..นายจะมากไปแล้วนะ ดูถูกฉันมากไปแล้วนะ คานเหรอ ใช่อายุอย่างฉันใกล้คานทอง แต่ถ้าต้องแต่งงานกับคนนิสัยไม่ดีปากเสียอย่างนายฉันยอมขึ้นคานเสียดีกว่า และนายก็เองก็หน้าตางั้นๆ ไม่ได้ครึ่งผู้ชายที่มาตามจีบฉันเลยสักนิด” พูดแล้วก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางเช่นกัน ตอนนี้คิดแค่อยากพูดเอาชนะผู้ชายตรงหน้าเท่านั้น ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตมองหาผู้ชายจะมีจีบแทบไม่มีเลยสักคน
“ถ้าหลุดจากฉันแล้วคงไม่มีใครมาจีบแล้วแหละแม่คุณ” เขาหันมาหาเธอแล้วถือวิสาสะยื่นมือจับคางเล็กแล้วบังคับให้หันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง เขาไม่ชอบให้ใครมาเมินใส่ และผู้หญิงอวดดีปากเก่งคนนี้ก็ด้วยเช่นกัน
“อือ อย่ามาแตะต้องฉันนะ” พูดแล้วก็ปัดมือใหญ่ออกจากคางตัวเอง
“ทำเป็นหวงตัว ดีแค่ไหนแล้วที่จับแล้วเนื้อไม่หลุดติดมือมา" น่านน้ำคนที่เคยสุภาพอ่อนโยนให้เกียรติผู้หญิงมาตลอดได้หายไปเมื่ออยู่กับพิมพ์มาดา และตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองนั้นกลายมาเป็นผู้ชายปากจัดปากเสียได้ยังไง
“กรี๊ด! นะ...นายน่าน ตุ๊บ! ตุ๊บ!” ยกมือทุบอกอีกฝ่ายด้วยความปรี๊ดแตก และเขาก็จับมือทั้งสองของเธอเอาไว้แล้วกระชากเธอเข้าไปหาจนพิมพ์มาดาเสียหลักเซปะทะแผงอกของเขาไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“อย่ามาใช้กำลังกับฉัน อย่างน้อยฉันก็แก่กว่าเธอ”
“ฉันไม่ถือ” แหงนเงยหน้าขึ้นบอกเขา พร้อมบิดข้อมือเล็กออกจากอุ้งมือใหญ่
“แต่ฉันถือ” เขาโน้มก้มหน้าลงมาหาเธอจนดวงตาของพวกเขาทั้งสองสบประสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเหมือนมีประจุไฟฟ้าช็อตร่างของพวกเขาทั้งสองคน พิมพ์มาดาดึงข้อมือตัวเองแรงกว่าเดิม จนน่านน้ำเสียการทรงตัวแล้วล้มลงไปกับพื้นพร้อมดึงร่างเล็กลงไปด้วย
ว้าย!
อุ๊บ!
ปากอวบอิ่มและปากหนาประกบกันราวกับจับวางก็มิปาน ดวงตากลมโตของพิมพ์มาดาเบิกกว้าง ส่วนน่านน้ำฉวยโอกาสจังหวะนี้สั่งสอนคนอวดดีทันที เขาปล่อยมือเธอแล้วกดหัวเธอลงมาแล้วบดจูบปากอวบอิ่มของพิมพ์มาดาโดยไม่สนใจว่าเธอจะพยายามเบือนหน้าหนีและดันตัวเองลุกขึ้น น่านน้ำกดหัวเธอบดจูบเอาแต่ใจ และยิ่งได้สอดแทรกปลายลิ้นร้อนรุกเร้าเข้าไปในโพรงปากของเจ้าหล่อนก็ยิ่งทำให้เขาอยากลิ้มรสโพรงปากของเธอ พอได้ลิ้มรสก็ได้รู้ว่ามันหวาน หวานแบบที่ไม่เคยได้จากใครมาก่อน เขาบดเคล้าคลอเคลียเรียวลิ้นตัวเองไล่ต้อนลิ้นเธอจนจนมุมก่อนจะผละออกมาเมื่อหล่อนกำลังจะขาดอากาศหายใจ
อือ!
พิมพ์มาดาหอบหายใจแรงทันทีเมื่อได้รับอิสระ และตอนนี้เธอคงไม่รู้เลยว่าปากของตัวเองนั้นบวมเจ่อแค่ไหน เธออ่อนแรงเมื่อถูกปล้ำจูบแรกไป แล้วก็ต้องกัดฟันเม้มปากแน่นเมื่อได้เห็นยิ้มเยาะเย้ยของคนที่ตัวเองนอนคร่อมทับอยู่บนพื้นสนามหญ้า
“ไอ้สารเลว!” พูดจบก็ตวัดมือไปกับหน้าของเขาทันที
เผียะ!
เสียงฝ่ามือน้อยดังกระทบหน้าของเขาจนหันไปตามแรงตบ และเมื่อหันกลับมาเขาก็ตวัดแขนโอบลำคอระหงรั้งลงมาหาตัวเองแล้วบดจูบเธออีกครั้ง
“อ่ะ อื้อ”
เมื่อถูกปล้ำจูบอีกครั้งเธอก็ดิ้นรนขัดขืนและทุบตีไหล่ของเขาเพื่อให้เขาปล่อย แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งบดจูบดูดลิ้นเธอแรงจนอ่อนระทวยอ่อนแรง และยิ่งไปกว่านั้นพิมพ์มาดาเผลอเคลิ้มจูบตอบกลับไป ความไร้เดียงสาของเธอทำให้น่านน้ำแอบกระหยิ่มยิ้มในใจ เมื่อรู้ว่าปากหวานอวดดีของหล่อนตัวเองได้ครอบครองเป็นคนแรก
“อ่ะ อื้อ” จากที่เธอนอนคร่อมทับเขาก็พลิกร่างรวดเร็วคร่อมทับเธอแทน บดจูบเร่าร้อนสลับอ่อนโยนก่อนจะผละปากออกจากริมฝีปากอวบอิ่มแสนหวานมาซุกไซ้ละเลียดปลายลิ้นไปตามซอกคอระหงด้วยความเคลิบเคลิ้มจนเผลอลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองและเธออยู่ที่ไหนกัน
“อ่ะ อื้อ” คนไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายมาก่อนเผลอตัวเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสหวามที่ได้รับ
“ง่ายดีเหมือนกันนิ” น่านน้ำหยุดปลายจมูกที่ซุกไซ้ซอกคอระหงหอมกรุ่นอย่างแสนเสียดาย เมื่อนึกได้ว่าตรงนี้คือที่ไหน และก็ไม่ลืมที่จะพูดให้เธออับอาย
“นะ...นายสารเลว! ” เธอกำมือแน่นเมื่อเขาลุกขึ้นไปยืนพร้อมขยับจับเสื้อผ้าของเขา ส่วนตัวเองยังนอนนิ่งอยู่ที่พื้นหญ้า
“ฉันจะกลับแล้ว ฝากบอกทุกคนด้วยว่าฉันมีงานด่วนเข้ามา” พูดจบก็เดินจากไปทันทีโดยไม่คิดจะสนใจช่วยดึงเธอลุกขึ้นเลย
“ไอ้เลว! ไอ้บ้า! ไอ้หื่น!” ได้แต่ตะโกนด่าอีกฝ่ายไล่หลังเมื่อทำอะไรไม่ได้ ใจอยากลุกขึ้นไปกระชากมาตบๆ ให้พอใจ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้แรงจะลุกขึ้นก็ยังไม่มีเลย ที่ทำได้คือนอนนิ่งแล้วยกมือเช็ดถูปากตัวเองไปมาด้วยความสะอิดสะเอียนเมื่อนึกถึงจูบของคนถ่อย