หลังจากเลิกเรียนศิษย์ทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับเรือนของตนเฉกเช่นทุกวัน ชิงเหมยกลับไปพร้อมกับหลูซินเพราะนางจะต้องแวะไปช่วยท่านยายที่ตลาด ครั้นไปถึงตลาดแล้วท่านยายของนางกลับบอกให้นางกลับเรือนไปก่อน เด็กหญิงจึงยินยอมที่จะทำตามความต้องการของท่านยายแต่โดยดี จะได้อาศัยช่วงยามที่ท่านยายยังอยู่ตลาด ฝึกฝนเพลงดาบของนางอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ด้วย
“เหมยเอ๋อร์… กำลังจะกลับเรือนหรือ” ในระหว่างทางขณะที่นางกำลังเยื้องย่างกลับเรือน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้านค้าข้างทางก็เอ่ยทักทายนาง
“เจ้าค่ะท่านน้า… วันนี้ขายดีหรือไม่เจ้าคะ” ชิงเหมยหันไปตอบพลางทักทายด้วยใบหน้าที่สดใสสมวัย
“ก็พอขายได้… อะนี่เอาไปกินสิ กว่าท่านยายของเจ้าจะกลับเรือนก็อีกตั้งหนึ่งชั่วยาม” ห่อมันเผาถูกส่งมาให้ ชิงเหมยคำนับ
“ขอบน้ำใจท่านน้ายิ่งนักเจ้าค่ะ อันที่จริงท่านยายก็เอาซาลาเปามาให้ข้าเช่นกัน” เด็กหญิงกล่าวออกมายิ้มๆ
“เจ้าน่ะ… อยู่ในวัยกำลังโต ต้องกินให้มากๆ หน่อย จะได้แข็งแรง” เสวียอี๋บอกชิงเหมยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
นางเห็นเด็กหญิงมาตั้งแต่เด็ก ชิงเหมยนั้นขยันเป็นเด็กดีและเชื่อฟังท่านยายของนางเป็นอย่างดี เสวียอี๋ยังนึกเสียดายที่เด็กหญิงไม่ได้เติบโตในจวนเฉกเช่นบุตรคนอื่นของตระกูลซิ่ว หากเป็นเช่นนั้นเด็กหญิงคงไม่ต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเยี่ยงนี้ ตระกูลซิ่วนั้นช่างใจดำยิ่งนัก ทอดทิ้งได้แม้แต่เด็กที่ยังไม่โต
“เจ้าค่ะท่านน้า ข้าขอกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ”
ชิงเหมยคำนับลาเสวียอี๋ นางจึงพยักหน้าให้ ชิงเหมยเดินจากไป ระหว่างทางก็ทักทายผู้ใหญ่ที่ทักทายนางเช่นกัน เสวียอี๋มองตามร่างเล็กด้วยแววตาเอ็นดู
ครั้นถึงเรือนแล้วเด็กหญิงก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนที่จะไปล้างจานชามในโรงครัว เสร็จจากนั้นก็ไปเดินหาไม้ยาวๆ เพื่อมาฝึกฝนเพลงดาบของนาง ยามนี้นางรู้สึกได้ว่าร่างกายนี้แข็งแรงมากขึ้นกว่าคราที่นางมาเกิดใหม่แล้ว จึงถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับนางในการแอบท่านยายฝึกฝนเพลงดาบและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยหมัดมวยแล้ว
“อันนี้พอดีกับมือเล็กๆ ของข้าเลย”
ชิงเหมยพึมพำออกมาหลังจากได้เห็นท่อนไม้ที่ท่านยายของนางตัดมาทำฟืน นางหยิบมันขึ้นมาถือแล้วตวัดไปมา แรกๆ ก็รู้สึกไม่คุ้นชิน ทว่าทำไปทำมาก็ได้รู้ว่านางยังจดจำทุกท่าทางได้เป็นอย่างดี แต่ทว่ายามนี้ร่างกายนี้ยังเยาว์วัยนัก หากเติบโตกว่านี้อีกสักสองสามปี นางคิดว่าจะลองไปสู้กับพวกคนไม่ดีดูสักครา
เหงื่อกาฬที่ไหลลงมาอาบใบหน้าเล็กหลังจากฝึกซ้อมการฟันดาบอยู่เกือบหนึ่งก้านธูป ชิงเหมยรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์แล้วมานั่งทบทวนบทกวีที่ท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นสั่งมา พรุ่งนี้นางต้องทดสอบท่องบทกวีเหล่านี้โดยห้ามมองตำรา แม้ว่าจะมั่นใจว่านางจดจำได้แต่ทบทวนเอาไว้ก็ไม่เสียหายอันใด ซ้ำยังทำให้นางเพลิดเพลินไปกับการอ่านบทกวีเหล่านี้อีกด้วย
“พี่ชิงเหมย” เสียงเล็กดังมาด้านหน้าประตูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะตัวที่ชิงเหมยนั่งอ่านตำราอยู่
“นั่นหริ่งเอ๋อร์รึ” นางตะโกนร้องถามออกไป
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ให้ข้าเอาเหล้าท้อมาให้ท่านยายซุนฉีเจ้าค่ะ”
ครั้นได้รู้ว่าผู้ใดมาเยือนและด้วยจุดประสงค์ใด ชิงเหมยจึงลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วรีบเดินไปเปิดประตูให้กับน้องสาวที่พักอาศัยอยู่เรือนหลังข้างๆ กัน
“ท่านยายของพี่ยังมิกลับมาเลย เจ้าจะเข้ามานั่งเล่นกับพี่ก่อนหรือไม่” นางยื่นมือไปรับไหเหล้ามาถือเอาไว้แทนหลิ่วหริ่ง
“เจ้าค่ะ ท่านพี่กำลังอ่านตำราอยู่หรือเจ้าคะ” เด็กหญิงวัยแปดปีเอ่ยถามออกมาหลังจากมองไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลมีตำราวางอยู่
“ใช่แล้วล่ะ เข้ามาก่อนสิ”
ร่างเล็กของหลิ่วหริ่งจึงก้าวเท้าเข้าประตูมา ชิงเหมยปิดประตูแล้วจึงนำไหเหล้าไปเก็บไว้ในโรงครัวให้ท่านยายของนาง จากนั้นจึงเดินกลับมาหาเด็กหญิงโดยหยิบจานมันเผากับซาลาเปาติดมือมาด้วย
“เกือบหนึ่งก้านธูปก่อนหน้าที่ข้าจะแวะมา เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงราวกับว่ามีผู้ใดกำลังฟันฟืนอยู่ ท่านแม่นึกว่าท่านยายซุนฉีกลับมาจากตลาดแล้วเลยให้ข้าเอาเหล้ามาให้น่ะเจ้าค่ะ”
“อ่อ…เสียงดังถึงเพียงนั้นเชียวรึ” เด็กหญิงพยักหน้า
“ไม่มีอันใดหรอก อืม… กินซาลาเปากับมันเผากับพี่สิ”
ชิงเหมยตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะชวนเด็กหญิงกินขนมด้วยกัน หลิ่วหริ่งไม่ปฏิเสธ นางหยิบซาลาเปาขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ชิงเหมยยิ้มออกมา ชาติภพก่อนนางไม่มีน้องสาว และนางก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับสตรีวัยเดียวกัน เพราะนางเอาแต่ฝึกฝนวิชาดาบกับฝึกวิชาหมัดมวยเพื่อใช้ปกป้องตนเอง และชาวบ้านให้พ้นจากอันตรายจากการถูกรุกรานของข้าศึก
เด็กทั้งสองนั่งกินขนมด้วยกันอยู่เกือบหนึ่งเค่อ หลิ่วหริ่งก็ขอตัวลากลับเรือนก่อนเพราะไม่ได้บอกท่านแม่ว่าจะมานั่งเล่นอยู่ที่นี่นาน ชิงเหมยจึงฝากเด็กหญิงไปบอกท่านแม่ของเด็กหญิงว่าขอบน้ำใจที่นำเหล้าท้อมาให้ท่านยายของนาง หลังจากหลิ่วหริ่งกลับเรือนไปได้ไม่นาน ท่านยายซุนฉีก็กลับมาจากตลาด
“ดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะท่านยาย อ้อ… เมื่อหนึ่งเค่อก่อนที่ท่านยายจะกลับมาถึงเรือน ท่านน้าจิงหลิงให้หริ่งเอ๋อร์เอาเหล้ามาฝากไว้ให้ท่าน หลานเลยเอาไปเก็บไว้ในโรงครัวนะเจ้าคะ” ชิงเหมยนำน้ำมาให้ท่านยายพลางบอกออกมา
“อืม…ขอบใจลูก" ซุนฉีรับน้ำจากหลานสาวขึ้นมาดื่มก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“เหล้าท้อเช่นนั้นหรือ โอ้…. คงจะเป็นลูกท้อที่ยายเอาให้นางเมื่อปีก่อนเป็นแน่ หมักเอาไว้จนดื่มได้แล้วหรือนี่”
ซุนฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนที่นางจะเดินไปยังโรงครัวเพื่อชิมเหล้าท้อว่ามีรสชาติเป็นเช่นไร แต่ถ้าหากเป็นเหล้าที่สกุลหลิ่วหมักแล้วนั้นย่อมมีรสดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตระกูลหลิ่วนั้นมีชื่อเสียงในด้านการหมักเหล้ามาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ชิงเหมยมองตามพลางส่ายหน้าไปมา ท่านยายของนางดีใจที่ได้รับเหล้าท้อยิ่งกว่าดีใจยามที่ได้รับผักหรือผลไม้เป็นของฝากเสียอีก ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะหันกลับไปสนใจอ่านตำราในมือต่อ
เชิงอรรถ ^ เสี่ยหนา คือ ปิ่นโต