ตอนที่ 7 ไม่ละทิ้งความสามารถเดิม

1368 คำ
​ ควันที่ลอยโขมงขึ้นมาเหนือหลังคาเรือนในยามเช้า บ่งบอกว่าเจ้าของเรือนหลังนั้นได้ตื่นนอน และเริ่มที่จะหุงหาอาหารในเช้าวันใหม่แล้ว ร่างอวบอิ่มของสตรีวัยสี่สิบปลายๆ กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ด้านหน้าเตาไฟ ซุนฉีหันไปมองร่างเล็กของหลานสาวที่ถึงแม้จะได้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาแล้ว แต่ทว่านางยังคงไม่ละทิ้งหน้าที่ที่นางเคยทำตลอดมา ใบหน้าเล็กเปื้อนแป้งที่ข้างแก้มเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นยายได้ไม่ยากนัก “ดูซิ… หน้าตามอมแมมหมดแล้วเหมยเอ๋อร์…” บอกพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางขึ้นมาเช็ดใบหน้าให้หลานสาวอย่างทะนุถนอม “ท่านยาย วันนี้มื้อกลางวันหลานอยากกินหมูราดน้ำแดงเช่นเดียวกับเมื่อวานเจ้าค่ะ ก่อนไปสำนักศึกษาท่านยายช่วยทำให้หลานสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” “ได้สิเหมยเอ๋อร์... หมูราดน้ำแดงนั้นทำไม่ยาก ถ้าเช่นนั้นเจ้าปั้นแป้งกับยัดไส้ซาลาเปารอยายก่อนเถิด ประเดี๋ยวยายจะรีบไปทำมื้อเช้า กับหมูราดน้ำแดงสำหรับมื้อกลางวันให้เจ้า” “เจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาครั้นท่านยายยินดีที่จะทำอาหารที่นางอยากกินให้ด้วยความเต็มใจ นางรักท่านยายซุนฉีเหลือเกิน และรู้สึกว่านางนั้นยังมีโชคอยู่บ้างที่ได้มาเกิดใหม่ในชาติภพนี้ เพราะนอกจากไม่มีข้าศึกมารุกรานแล้ว ยังมีท่านยายที่รักและเอ็นดูนางคอยเอาใจใส่นางอยู่ร่ำไป หลังจากปั้นแป้งและยัดไส้ซาลาเปาเสร็จเรียบร้อย ซุนฉีจึงไล่หลานสาวให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เพื่อมากินมื้อเช้าแล้วค่อยไปสำนักศึกษา ชิงเหมยจึงกลับเข้าไปในเรือน นางอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปร่างเล็กที่สวมใส่อาภรณ์ของศิษย์หญิงสำนักศึกษาหวุนซีก็เยื้องย่างออกมาจากเรือนนอน ซุนฉีส่งเสี่ยหนา[1]ให้แก่หลานสาว ชิงเหมยรับมาถือเอาไว้คนละข้างกับกระเป๋าตำราของนาง “ข้าลาเจ้าค่ะท่านยาย ขอให้วันนี้ท่านยายขายดีเป็นเทน้ำเทท่านะเจ้าคะ” “เฮอๆๆ ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ ประเดี๋ยวจะสายเอา” ซุนฉีหัวเราะให้กับคำอวยพรของหลานสาวก่อนที่จะบอกให้นางรีบไปสำนักศึกษา เพราะเดินย่อมช้ากว่าการนั่งเกี้ยวหรือรถม้าไปอยู่แล้ว ชิงเหมยจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากประตูเรือนไป ซุนฉีจึงได้หันกลับมาสนใจตนเอง นางเข้าไปในเรือนอาบน้ำแต่งตัวและนำซาลาเปาที่หลานช่วยปั้นไปยังร้านของนางในตลาด วันนี้คงจะเป็นวันดีอีกเช่นเคย หากขายหมดวันนี้นางจะได้ทำมื้อเย็นอร่อยๆ ให้หลานสาวได้กิน เพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องกินให้มากๆ หน่อย สำนักศึกษาหวุนซี เสียงท่องบทกวีดังขึ้นไปทั้งเรือนหลันฮวา ศิษย์หญิงทั้งหลายต่างตั้งใจศึกษาในสิ่งที่ท่านอาจารย์พร่ำสอน ชิงเหมยรู้สึกสนุกสนานไปกับการท่องบทกวีในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะนางนั้นได้อ่านล่วงหน้ามาบ้างแล้ว จึงทำให้จดจำได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นจะให้พวกนางท่องบทใด ชิงเหมยก็สามารถท่องออกมาโดยที่ไม่มองตำรา แม้นสหายร่วมห้องจะไม่ทันได้สังเกต แต่ทุกการกระทำของศิษย์ทุกคนล้วนอยู่ในสายตาของผู้เป็นอาจารย์ “เอาล่ะ… วันนี้พอเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้อาจารย์จะให้พวกเจ้าเตรียมบทกวีมาท่องกันคนละหนึ่งบทโดยที่ไม่ต้องเปิดตำรา” อาจารย์ลู่อวิ๋นกล่าวออกมาหลังจากที่บรรดาลูกศิษย์ท่องบทกวีและแปลความหมายของบทกวีนั้นจบ "เจ้าค่ะท่านอาจารย์ ศิษย์คารวะลาท่านอาจารย์เจ้าค่ะ" ศิษย์หญิงทุกคนตอบรับพลางลุกขึ้นคำนับลาท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นอย่างพร้อมเพรียงกัน เขาพยักหน้าก่อนที่จะเดินออกจากเรือนหลันฮวาไป เสียงพูดคุยดังของเด็กๆ ดังขึ้นทันทีที่อาจารย์พ้นจากเรือนไป บ้างก็คุยถึงการอ่านบทกวีในวันพรุ่งนี้ บ้างก็คุยกันถึงเรื่องที่เรือนของตน บ้างก็คุยเรื่องอาหารมื้อกลางวันของวันนี้ เช่นเดียวกับกลุ่มของชิงเหมยที่กำลังถามไถ่กันถึงเรื่องอาหารที่ห่อมา เด็กหญิงทั้งสามชื่นชอบในการกินเป็นที่สุดเพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโต ยิ่งหลูซินเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเหลา นางยิ่งมีอาหารมาแบ่งปันสหายให้ได้กินแทบจะไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน “วันนี้พวกเจ้าห่อสิ่งใดมากินมื้อกลางวันกันรึ” ซูฉีเอ่ยถามออกมาในขณะที่เก็บตำรา “เมื่อเช้าข้าบอกให้ท่านยายทำหมูตุ๋นน้ำแดงมาให้ เห็นว่าพวกเจ้าสองคนชื่นชอบหมูตุ๋นน้ำแดงที่ท่านยายข้าทำนี่” ชิงเหมยตอบพลางยักคิ้วให้สหาย ทั้งซูฉีและหลูซินพากันยิ้มกว้างออกมา เพราะฝีมือการทำของท่านยายของชิงเหมยนั้นเลิศรสไม่แพ้ฝีมือของพ่อครัวร้านเหลาหรือพวกโรงเตี๊ยมดังๆ เลย “แล้วพวกเจ้าล่ะ” ชิงเหมยถามออกมาบ้าง “วันนี้ท่านพ่อข้าทำไก่สับหน่อไม้ฉีกมาให้ กับปลาทอดกรอบ” บุตรสาวเจ้าของร้านเหลาตอบด้วยน้ำเสียงที่สดใส ยามที่พูดคุยถึงเรื่องอาหารนั้นคือยามที่นางมีความสุขที่สุด นางชอบกิน “แม่เล็กข้าห่อไก่ตุ๋นกับขนมกุ้ยฮวาเกามาให้” ซูฉีเป็นฝ่ายตอบชิงเหมยบ้าง เด็กทั้งสามพากันยิ้มออกมาครั้นได้รู้ว่าแต่ละคนห่ออาหารอันใดมากินในมื้อกลางวัน “ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบไปหาที่นั่งกินกันเถิด จะได้งีบหลับสักนิด เมื่อคืนท่านแม่ให้ข้าฝึกเย็บปักกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปยามห้ายแล้ว” ซูฉีเอ่ยออกมา นางเกิดในตระกูลขุนนางแม้นจะเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยา แต่ทว่านางก็ต้องฝึกฝนและเรียนรู้งานของเรือนหลังเพื่ออนาคตในภายภาคหน้า เพราะเป็นลูกอนุจึงต้องพยายามมากกว่าลูกของภรรยาเอกนางจึงถูกมารดากดดันอยู่ไม่น้อย ชิงเหมยมองหน้าสหายใหม่ด้วยความรู้สึกเห็นใจ หากนางได้อยู่ในตระกูลของท่านพ่อของนาง ชีวิตนางก็คงจะต้องอยู่ในกฏในระเบียบเช่นกัน อาจจะถูกกลั่นแกล้งรังแกยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ฝ่ายนั้นไม่ยอมรับในตัวนาง เพราะถ้าหากเป็นชิงเหมยคนก่อนคงจะสู้รบตบมือกับพวกจิ้งจอกพวกนั้นไม่ไหวอาจจะจากไปก่อนที่นางจะได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้เสียด้วยซ้ำ เด็กทั้งสามพากันไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ต่างคนต่างนำอาหารของตนออกมาจากเสี่ยหนาที่เตรียมมา อาหารสามสี่อย่างถูกวางตรงหน้า ชิงเหมย ซูฉีและหลูซินพากันลงมือกินอย่างเงียบๆ หลังจากที่อิ่มแล้วพวกนางก็พากันนำเสี่ยหนาไปล้างแล้วกลับมานอนงีบเพื่อพักสายตา ชิงเหมยนอนคิดว่านางกำลังอยากจะฝึกฝนเพลงดาบที่เคยใช้ปกป้องตนเองและผู้คนที่รักในชาติภพก่อน นางไม่อยากละทิ้งความสามารถเดิมที่นางเคยมี กว่านางจะแข็งแกร่งจนไปสู้รบกับพวกศัตรูของบ้านเมืองได้นางก็ต้องฝึกฝนอยู่หลายปี แล้วเหตุใดนางจะต้องละทิ้งมันไปพร้อมกับอดีตชาติของนางด้วย ในเมื่อสวรรค์ให้ความทรงจำของนางติดตัวมาในชาติภพนี้ อาจจะมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ หรือไม่แน่ว่านางจะต้องได้ใช้ความสามารถในการฟันดาบหรือศิลปะการต่อสู้ในชาติภพนี้ด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม