ตอนที่ 5 หนี
เมื่อตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง อวี้เหยากำลังลงมือทำข้าวต้มที่หอมกรุ่น ของชอบของท่านแม่ทัพ ในนั้นมีแต่ของบำรุงร่างกายของเขา เขาชอบสิ่งใดและเกลียดสิ่งใด ล้วนเป็นนางคัดแยกให้ล้วนแล้วแต่ใส่ใจทั้งสิ้น
อาหารของเขาทุกมื้อเป็นนางที่ทำให้เขาได้ทาน และมื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายที่นางได้ทำให้เขาได้รองท้อง เฟยฉีอารมณ์ดีนัก เดินเข้ามาในห้องครัว เมื่อเห็นภรรยากำลังลงมือปรุงอาหารอย่างที่เขาชอบ จึงได้โอบกอดเอวคอดของนาง
มือหนาลูบไล้หน้าท้องน้อย ๆ ของนางอย่างแผ่วเบา เขาซบนางที่ซอกคอพลางออดอ้อนน่ารักราวกับพยัคฆ์ถอดเคี้ยวเล็บ อวี้เหยาอยากจะข่วนหน้าเขาสักทีสองที
“หอมจริง ๆ” คนไม่รู้ตัวเอ่ยขึ้น
“หอมอะไรเจ้าคะ ข้าหรือข้าวต้ม” อวี้เหยากัดฟันพูดนางละอยากตักข้าวต้มรดหน้าหล่อ ๆ ของเขาเหลือเกิน หมั่นไส้นักออดอ้อนแบบนี้สินะ คุณหนูไป๋ถึงได้มาหาเช่นนี้
“หอมทั้งคู่ แต่เจ้าหอมกว่า” เขาหยอดคำหวานให้ภรรยา แต่อีกฝ่ายอยากจะเอาไม้พายที่คนข้าวต้มฟาดทั้งหน้าทั้งปากของเขาจริง ๆ อวี้เหยาพ่นลมหายใจหลายเฮือก ข่มความโมโหหงุดหงิดเอาไว้
“เจ้าค่ะ อย่างนั้นท่านพี่ ออกไปรอข้าก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวจะให้อาเมิ่งยกไปให้” อวี้เหยาพูดจาหวานเปรอะไม่เหมือนเช่นเคย ทำให้อีกฝ่ายนึกสงสัยขึ้นมาทันใด
“แล้วเจ้าเล่า ไม่กินหรือคงหิวแย่แล้ว” เขาว่าพลางสูดดมกลิ่นหอมของข้าวต้มที่โชยออกมา เขายกยิ้มที่มุมปากแววตาของเขาหาได้เป็นมิตรกับข้าวต้มที่นางทำไม่
“ข้ากินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ไม่อยากกินข้าวต้ม กินแอปเปิลกับน้ำส้มไปแล้ว” นางจะกินได้ยังไง ในนั้นมีแต่ผงนิทรา นางใส่จนหมดห่อ คาดว่าน่าจะตื่นก็คงจะเป็นช่วงเย็นของวันพรุ่งนี้แล้ว ยิ่งนึกก็ยิ่งสะใจนัก
“อืมเช่นนั้น ข้าออกไปรอข้างนอกก็แล้วกันนะ” เฟยฉีมองข้าวต้มหม้อนั้นรู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นกับตนเอง
“เจ้าค่ะ ท่านพี่” น้ำเสียงที่หวานรื่นหูทำเอาแม่ทัพนั้นขนลุกไม่น้อย เมื่อออกไปพ้นเขตห้องครัวจึงได้รีบถามไถ่อาเชาอย่างทันที
“อาเชาฮูหยินเจ้าเป็นอะไรแน่ จู่ ๆ ก็พูดจาหวานรื่นหูแบบนี้” เฟยฉี รู้สึกว่าเย็นนี้จะต้องมีอะไรแน่ ลางสังหรณ์เขามันลอยชัดขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เขาครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้นึกว่าภรรยาจะกล้าวางยาสามี
“โธ่ ท่านแม่ทัพขอรับ วันนี้ฮูหยินได้ตบหน้าของคุณหนูไป๋ จะไม่ให้นางอารมณ์ดีได้อย่างไรกันละขอรับ” เขาโกหกหน้าตาย เขารู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
เห็นว่าเจ้านายสาวอยากออกไปเที่ยวเล่นภายนอก เขาก็จะช่วยนางให้สมหวัง อยากจะแกล้งท่านแม่ทัพดูบ้าง ยามที่ฮูหยินไม่อยู่ในจวนจะรู้สึกเช่นไร
รักแต่ปากแข็งเขาก็จะทำให้รู้ซึ้งเอง เมื่อมีรักไม่ถนอม หากเสียไปแล้ว ยามจะทวงคืนนั้นมันยากนัก
“อืม เช่นนั้นเจ้าก็ดูแลฮูหยินให้ดีเล่า ยามนางเดินก็ต้องระวัง” เฟยฉีเอ่ยย้ำ เขาจะดูแลนางไม่ได้ตลอดเวลามีเงาอย่างอาเชาอยู่ดูแลเขาก็หายห่วง
อาเชาทำงานรับใช้มานานและอีกอย่างละเอียดรอบคอบมีไหวพริบแถมฝีมือนี้ไม่เป็นสองรองใคร
“ขอรับท่านแม่ทัพ” และแล้วอาเชาก็เร้นกายมาอยู่กับฮูหยินในห้องครัว กำลังเห็นนางหัวเราะอย่างดีอกดีใจ เขาก็นึกขำขันนางที่กระทำตนราวกับเด็กน้อยคอยแกล้งคนนั้นคนนี้ เมื่อเห็นเจ้านายมีความสุขแน่นอนคุณชายน้อยก็จะมีความสุขไปด้วย
“อาเมิ่ง ยกแจกจ่ายให้คนในเรือนทั้งหมด ส่วนของท่านแม่ทัพเจ้าก็ตักชามใหญ่ ๆ ให้เขาก็แล้วกัน ข้าจะไปเตรียมตัว” ข้าวต้มอาบผงนิทราสำเร็จแล้ว นางปัดไม้ปัดมือแล้วหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
“ท่านแม่ทัพ ท่านจะโทษข้าไม่ได้นะ เป็นท่านเองต่างหากที่ทำ ไม่ใช่ข้า” อวี้เหยาเดินอย่างอารมณ์ดีกลับเข้าเรือน รีบอาบน้ำและเตรียมตัวใส่ชุดบุรุษรวบผมขึ้นสูง ปักปิ่นธรรมดา ราวกับชาวบ้านคนหนึ่ง
เสี่ยวเมิ่ง หรืออาเมิ่งแจกจ่ายข้าวต้มให้แต่ละคน สาวใช้และบ่าวรับใช้ทั้งหลายที่เห็นฮูหยินทำทีไรก็อดที่จะน้ำลายไหลไม่ได้ ฝีมือการทำอาหารนั้นเยี่ยมยอดทีเดียว
“อาเมิ่ง ขอบใจนะ ฮูหยินทำอร่อยมาก” สาวใช้ขอบใจเสียยกใหญ่ ยิ้มหน้าบานยามกินข้าวต้มที่หอมและอร่อย
“กินเยอะ ๆ เล่าในครัวยังมีอีกหม้อใหญ่” อาเมิ่งยิ้มอย่างชอบใจ บรรดาคนงานในจวนต่างพากันกินข้าวต้มเกือบจะหมดชาม
นางยกถาดข้าวต้มพร้อมกับน้ำชา รสละมุนลิ้น นำให้ท่านแม่ทัพได้รองท้องก่อนจะนอนหลับฝันดี คาดว่าพรุ่งนี้ในจวนคงจะลุกเป็นไฟเพราะพวกนางเป็นแน่
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินให้นำข้าวต้มมาให้เจ้าค่ะ” อาเมิ่งวางข้าวต้มลง พรางมองเจ้านายว่าเขาจะลงมือกินหรือไม่ ดวงตาเรียวเล็กจ้องเจ้านายอย่างไม่วางตาจนผิดสังเกต
ท่านแม่ทัพยกช้อนทำท่าจะกินแต่เห็นสายตาที่จ้องมองของสาวใช้เขาจึงได้วางช้อนลง และมองที่ถ้วยของเขา
“มีอะไรก็ไปทำเถอะ” เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าในข้าวต้มมีอะไรอยู่หรือไม่ เห็นสาวใช้จ้องขนาดนี้จึงคิดว่ามันน่าจะมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่
“เจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะเข้ามาเก็บถ้วยนะเจ้าคะ” อาเมิ่งรีบกลบเกลื่อนทันที นางคิดว่าแผนการอาจจะถูกจับได้เสียแล้ว ท่านแม่ทัพไม่ได้กินข้าวต้มชามนั้น เขานำเข็มเงินออกมาแล้วจุ่มลงในถ้วยข้าวต้ม มันเป็นสีดำ
“บัดซบกล้าแม้กระทั่งวางยาข้าหรือ ฮูหยินเจ้าช่างร้ายไม่เบา” เขาโมโหจนเป็นฟืนเป็นไฟนั่งอยู่ในห้องข่มอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวแล้วยกยิ้มหัวเราะราวกับคนบ้า
“ข้า เป็นข้าเองที่ผิด เจ้าจึงได้คิดหนีไป ฮูหยินรักเจ้าจะหนีข้าไปไหน ข้าจะตามหาเจ้าจนเจอ” เขาทั้งคิดไปบ่นไปรำพึงรำพันจนคอแห้ง รินน้ำชาแล้วดื่มไปหลายจอก จู่ ๆ รู้สึกเหมือนเขาง่วงนอน ในน้ำชามีผงนิทรานางช่างร้ายไม่เบา
คล้อยหลังไม่นาน เสี่ยวเมิ่งกลับเข้ามาในเรือนใหญ่ของท่านแม่ทัพก็เห็นว่าเขาหลับอยู่ที่เตียงด้วยท่าที่เขานั่งแล้วกำหมัดแน่น นางรีบไปรายงานฮูหยินทันที
“ความรักที่ข้ามอบให้ท่านมันจบลงตั้งแต่ท่านบอกว่าจะขอหย่าแล้วแต่งงานกับนาง วันเวลาที่ร่วมหอกัน ข้ายอมรับว่าข้ามีความสุข แต่ท่าน...กลับทำลายมันลงไปด้วยมือของท่านเอง
ข้าผิดหรือที่รักท่านทั้งตัวและหัวใจ แต่บัดนี้ ข้ามีคนที่ต้องรักมากกว่า และข้าก็เลือกเขาไม่ใช่ท่าน หากข้าอยู่กับท่านก็เพียงแค่ลูก เพราะท่านมิต้องการข้า ข้าเป็นแค่เพียงแม่ของลูกมิใช่คนรักของท่าน
การจากลาครั้งนี้ขอให้ท่านจงเจอสิ่งดี ๆ อย่าได้ออกตามหาหรือโกรธแค้นที่ข้าทำลงไป ข้าขอตัดความเป็นสามีภรรยากับท่าน”
อวี้เหยามองดูคนหลับ นางจับเขานอนที่เตียงแล้วห่มผ้าให้เขา จากนั้นนางก็จูบที่หน้าผากเป็นครั้งสุดท้าย และวางป้ายหยกของนางที่เขาเคยมอบให้
นางวางที่ข้างเตียงนอน และมีหนังสือหย่าที่เขาฉีกมันทิ้งไป และมีปอยผมของนางที่ตัดวางไว้ให้เขาดูต่างหน้าเช่นเดียวกัน มีหนังสือเล่มหนึ่งที่นางเขียนรายรับ รายจ่ายของจวนไว้ กระทั่งว่าจะต้องซื้ออะไรเข้ามา และจะต้องไปเก็บค่าเช่าที่ดินตรงไหน
กิจการร้านค้าต่าง ๆ นางจดเอาไว้อย่างละเอียดและรอบคอบ ตัวอักษรของนางอ่านง่ายนักเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนนางไม่ผิด มีผ้าเช็ดหน้าอีกหนึ่งผืนที่นางวางไว้ให้เขา
ของขวัญจากลา
“ฮูหยืนเจ้าคะ รถม้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” สตรีสองคนเดินทางออกจากจวนในยามที่ทุกคนในเมืองหลวงพากันหลับใหล ในจวนของท่านแม่ทัพนั้นทั้งนายทั้งบ่าวหลับกันอย่างสบายใจไม่มีใครนึกสงสัยเลยว่า ฮูหยินนั้นได้หายออกจากจวนไปแล้ว
สารถีขับรถม้าให้นั้น อีกทั้งยังเป็นคนที่มีวรยุทธ์เก่งกล้าและชำนาญเรื่องเดินทางรับหน้าที่ขับรถม้าพาเจ้านายได้ออกจากจวนท่องเที่ยว
แต่มีข้อแม้กับสหายอย่างอาเจา ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทัพได้รับรู้ก่อนที่เขาจะส่งข่าวกลับมา และอีกอย่างให้แฝงคนเข้าไปในสำนักคุ้มภัยที่ฮูหยินให้สาวใช้ว่าจ้างด้วย เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
แม้กระทั่งฮูหยินและเสี่ยวเมิ่งก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้เพียงแค่ถูกว่าจ้างให้ขับรถม้าไปยังเมืองข้างหน้าที่ใช้เวลาเดินทางสามชั่วยาม
“ฮูหยิน ข้างในนั่งสบายหรือไม่ขอรับ” เขารองฟูกอย่างหนาเพื่อมิให้คุณชายในท้องนั้นกระทบกระเทือนอะไรมากเพราะเพิ่งจะตั้งครรภ์อ่อน ๆ
เช่นนี้การเดินทางไกลมีผลกระทบเกรงว่าจะทำให้ฮูหยินแท้งได้ เขาจึงได้ระมัดระวังอย่างดี เขาเหมาะสมกับที่อาเจาเสนอให้เขาดูแลฮูหยิน เรื่องความรอบคอบต้องยกให้อาเชา แต่เรื่องใส่ร้ายป้ายสี หรือโป้ปดหน้าตายก็ยกให้อาเจา
“สบายมาก ขอบคุณท่านมากนะ ว่าแต่ท่านชื่ออะไร” อวี้เหยามองออกว่าสารถีผู้นี้รอบคอบนักอีกทั้งยังเอาใจใส่อย่างดี
“ข้าน้อยชื่ออาเชาขอรับ ข้าขับรถม้ามาหลายปีแล้ว” เขาว่า รถม้ากำลังเคลื่อนตัวถึงประตูออกจากเมืองหลวง ท่ามกลางความมืดมิดยังแสงจากดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าอวี้เหยาเปิดม่านที่ปิดไว้ขึ้น
พลางมองไปบนฟ้ากว้าง มือเรียวนุ่มนิ่มลูบที่ท้องน้อยวนไปมา ดวงตาของนางเจิดจ้าเปล่งประกายวาววับระคนยินดีที่ได้ออกมาได้เสียที
“ลูกแม่เจ้ามีความสุขหรือไม่ เจ้ากับแม่สองคนเราเดินทางท่องเที่ยวกันนะ”