Chapter 10 บ้านคนึงนิจ
บ้านคนึงนิจยังมีคนเก่าแก่ของแม่คอยดูแล ฉันรักและดูแลพวกเขาเหมือนญาติสนิท ชดเชยที่พวกเขาดูแลแม่แทนฉันในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นฉันคงจะรู้สึกผิดมากไปกว่านี้
น้ำตาถูกปล่อยให้ไหลออกมาเรื่อยๆ จนมีเสียงของพิมพ์วราพูดแทรกขึ้นมา เธอคงจะยืนมองฉันอยู่นาน เพราะฉันเองก็ลืมตัวไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง
“ดาวร้องไห้อีกแล้วนะคะ”
“ขอโทษค่ะพี่พิมพ์ ดาวนึกว่าพี่พิมพ์ออกไปแล้ว” ฉันรีบยกมือเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนแก้ม และส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเลขา แม้ว่าพิมพ์วราจะได้เห็นน้ำตาฉันอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็ทำให้รู้สึกอายอยู่ดี
“คิดถึงคุณละอองดาวเหรอคะ พี่เห็นดาวร้องไห้ทุกครั้งที่พูดถึงบ้านคนึงนิจ” พิมพ์วรายกมือขึ้นบีบหัวไหล่ฉันอย่างปลอบโยน
ฉันพยักหน้ารับเบาๆ ไม่ปฏิเสธความรู้สึกที่เป็นอยู่ข้างใน ฉันรู้สึกผิดและเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ที่ทำตัวงอแงมีปัญหาและเรียกร้องความสนใจจากคนป่วยอย่างแม่
ฉันยิ้มแห้งๆ “ดาวอิจฉาน้องแพรกับน้องพลอยนะคะ พี่สหรัฐกับพี่พิมพ์ให้เวลาและทุ่มเทความรักกับลูกเต็มที่ ดาวไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนั้นเลยในชีวิต แม้ว่าครอบครัวจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่เราสามคนพ่อแม่ลูกไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันเลย แม้แต่การอยู่ร่วมกันที่บ้านคนึงนิจก็แทบจะนับครั้งได้ที่พ่อไปค้างกับพวกเรา”
“เราไม่สามารถไปแก้ไขอดีตได้ แต่ดาวสามารถสร้างครอบครัวตัวเองได้นะคะ”
ฉันยิ้มขื่นอีกครั้ง “ดาวจะไปสร้างกับใครล่ะคะ”
“ก็คนที่ดาวจะแต่งงานด้วยไงคะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปสบตาคนพูดด้วยความอึดอัด ฉันไม่เคยปกปิดเรื่องอะไรกับพิมพ์วรา พอมีเรื่องที่บอกไม่ได้แบบนี้ หัวใจมันหนักอึ้งหน่วงๆ ชอบกล แต่เหมือนอีกคนจะเข้าใจความรู้สึกของฉันดี เธอส่งยิ้มให้อย่างปลอบโยน
“แม้พี่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่ดาวประกาศออกไปวันนั้น แต่พี่เชื่อว่าผู้หญิงอย่างดาวจะต้องมีเหตุผลมากพอและทำทุกอย่างสำเร็จเหมือนอย่างที่บอกออกไปแน่นอน”
“ดาวทำสิ่งที่โง่มากที่สุดในชีวิตต่างหากค่ะ”
“ลองคิดบวกดูสิคะ บางทีคุณละอองดาวอาจจะกำลังช่วยให้ดาวประสบความสำเร็จในเรื่องความรักก็ได้ พี่เชื่อมือหนึ่งในสิบนักธุรกิจดาวรุ่งแห่งปีอย่างดาวนะ”
“นั่นมันเรื่องธุรกิจ พี่พิมพ์ก็รู้ว่าเรื่องหัวใจดาวสอบตกมาตลอด”
“เพราะดาวคิดอย่างนี้ไงคะ เลยไม่มีพลังบวก ลองเปิดหัวใจและทุ่มเทกับเรื่องของความรักเหมือนทุ่มเทกับงานดูสิคะ พี่เชื่อว่าสักวันจะมีผู้ชายมองเห็นเพชรแท้อย่างดาว”
“ขอบคุณมากนะคะพี่พิมพ์”
“พี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะ ดาวมีอะไรจะสั่งเพิ่มหรือเปล่า”
“ดาวขอขอรายงานการประชุมของเมื่อวานและขอสรุปงบบัญชีจัดซื้อโครงการคอนโดฯ ที่เจ้าพระยาค่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ไปจัดการให้”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันถอนหายใจออกมา หลังจากพิมพ์วราก้าวออกไป เปิดลิ้นชักหยิบเอกสารออกมา บางทีฉันควรจะเริ่มคิดบวกเหมือนที่พิมพ์วราบอก แม้ว่าแม่จะลืมอวยพร แต่แม่อาจกำลังเอาใจช่วยให้ฉันมีคู่ครองที่ดีอยู่ก็ได้
‘ฉันจะสร้างครอบครัวที่ดีด้วยมือของฉันเอง’
ดวงตากลมรีหรี่มองแฟ้มเอกสารอย่างมีความหวัง ชื่อที่แปะอยู่บนแฟ้มให้ฉันตัดสินใจเลือก สุดท้ายฉันก็เริ่มที่หม่อมหลวงเทวานุพงศ์ สุรีรัตน์
เพียงแค่เปิดอ่านหน้าแรก ฉันก็รู้ว่าโลกของเขาและฉันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ชื่อซันอย่างนั้นเหรอ แล้วดวงดาวกับพระอาทิตย์จะอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขได้ไหมล่ะ แค่เริ่มต้นก็ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
ฉันเริ่มอ่านประวัติของเขาอย่างละเอียด สำนักงานนักสืบที่ใช้บริการเป็นประจำทำงานได้ถูกใจ ยิ่งได้รู้จักเขาผ่านตัวหนังสือ ฉันก็ยิ่งรู้ว่าเราเหมือนดั่งเส้นขนานเหมือนดวงดาวกับพระอาทิตย์ที่ไม่เคยอยู่บนท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน จากประวัติคู่ควงของเขาแต่ละคน ดวงตากลมรีของฉันก็กรอกขึ้นมองเพดาน ริมฝีปากอิ่มจิกเป็นสระอิอย่างอัตโนมัติ
“โฮะ! นี่คิดว่าตัวเองเป็นเทพบุตรสินะ คู่ควงแต่ละคนตัวท็อปทั้งนั้น ฉันไปอยู่โลกไหนมา ทำไมไม่รู้จักเพลย์บอยคนนี้มาก่อน”
...สเปคผู้หญิงจากบทสัมภาษณ์
ดีแฮะ! นักสืบไปตัดบทสัมภาษณ์มาให้อ่านด้วย ย่อยข้อมูลให้อย่างละเอียดก่อนเข้าปาก
[ผมยังไม่อยากมีชีวิตที่ผูกติดกับใคร ผมยังสนุกกับงานและไม่อยากมีครอบครัว กับสาวๆ เราตกลงกันว่าแค่มีความสุขทุกวันก็พอแล้ว ถ้าใครพร้อมจะผูกมัด ผมก็พร้อมจบได้ทุกเมื่อเช่นกัน]
“โห ความคิดทุเรศมาก เห็นแก่ตัวที่สุด ผู้ชายมีความคิดอย่างนี้ คู่ควงของนายหม่อมลวงโลกคนนี้ยังทนคบอยู่ได้หรือไงนะ”
สายตาของฉันเลื่อนลงมาที่บรรทัดต่อมา เจอสเปคผู้หญิงของเขาฉันถึงกับอึ้ง
[ผมชอบผู้หญิงหุ่นนางแบบ สูงโปร่ง ผิวเนียน มีหน้าอก เอวและสะโพกชัดเจน]
หัวใจของฉันเดือดปุดๆ เหมือนตัวเองกำลังโดนด่าอยู่ยังไงยังงั้น ก้มลงมองหน้าอกของตัวเอง เบะปาก
“ถึงฉันจะไม่มีอกกับสะโพก แต่ฉันก็มีสมองย่ะ”
[ถ้าผมจะแต่งงานและมีภรรยา ผมไม่ชอบให้เธอทำงานนอกบ้าน เอาเวลามาคอยบริการผมบนเตียงดีกว่า]
“โอ้โห! ตาบ้านี่คิดว่าผู้หญิงเป็นอะไร ถึงได้กล้าให้สัมภาษณ์ออกมาแบบนี้ บก.หนังสือก็กล้าเอาบทสัมภาษณ์แบบนี้ลงในนิตยสารของตัวเองนะ”
[ผมไม่ชอบผู้หญิงที่มีความคิดเก่งกว่าผู้ชาย เพราะยังไงผู้หญิงก็เป็นช้างเท้าหลังอยู่วันยังค่ำ อยู่บ้านคอยปรนนิบัติสามีอย่างเดียวเหมาะสมที่สุด]
“ไอ้ที่คิดอย่างนี้! รู้หรือเปล่าว่าบริษัทของตัวเองกำลังถูกฟ้องล้มละลาย จนต้องมาขายวังแลกหนี้เนี่ย” ฉันบอกออกมาอย่างโมโหเมื่อได้รู้จักตรรกะความคิดของเขา
อ่านมาถึงตรงนี้กล้ามเนื้อหัวใจของฉันก็บีบแรง เบะปากมองบนเลื่อนแฟ้มเอกสารออกจากตรงหน้า
“ผู้ชายคนนี้เหรอที่ฉันจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต ไม่มีทางหรอก นายหม่อมหลงตัวเองนี่จะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่จะถูกฉันเลือกมาเป็นสามี”
ถ้าลองคิดเล่นๆ หากการแต่งงานเกิดขึ้นจริง ฉันคงอดสมเพชตัวเองและผู้ชายคนนั้นไม่ได้ สถานะของเขาก็คือหม่อมหลวงจากตระกูลผู้ดีเก่าแก่ที่ต้องขายตัวแลกกับเงิน
ในขณะที่สถานะของฉันคือผู้หญิงมีเงินแต่ไม่มีปัญญาหาสามี ต้องใช้เงินไปซื้อผู้ชายตระกูลดีมาแต่งงานเพื่อยกระดับหน้าตาของตัวเองและธุรกิจ
...น่าขำดีไม่หยอกนะ