บทที่1
รั่วซีหอบร่างที่เหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยบาดแผลวิ่งหนีนักฆ่านับสิบคน ที่ครั้งหนึ่งนางและคนพวกนั้นเคยร่วมมือกันทำตามคำสั่งของพรรคฉือ แต่ตอนนี้หญิงสาวกลายเป็นคนทรยศไปเสียแล้ว
คราแรกนางแค่อิ่มตัวมิอยากปกปิดตัวตนใช้ชีวิตสองด้าน กลางวันเป็นคุณหนูตระกูลหาน หานรั่วซี กลางคืนเป็นนักฆ่า นางเหนื่อยกับการฆ่าคนเหลือเกิน จึงหมายใจจะให้การฆ่าบุตรชายของตระกูลเฟิง เฟิงห่าวอี้ เป็นงานสุดท้ายในชีวิต
ทั้ง ๆ ที่วางแผนเอาไว้หมดแล้วว่าหลังจากที่ฆ่าเฟิงห่านอี้นางก็จะแกล้งเสียใจจนไม่อยากใช้ชีวิตธรรมดาอีกต่อไป จะขึ้นไปอยู่วัดบนเขากินเจมิยุ่งเกี่ยวกับคนทั่วไป ใครจะไปนึกว่าระหว่างการเตรียมงานครั้งสุดท้ายนี้กลับทำให้นางตาสว่าง
ตลอดมารั่วซีเคยคิดมาตลอดว่าสิ่งที่ตนทำเป็นสิ่งที่ควรกระทำ คนที่พรรคฉือสอนสั่งให้นางเป็นนักฆ่านั่นก็เพื่อดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว และจัดการคนที่ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ การฆ่าทุก ๆ ครั้งของคนพรรคฉือถือเป็นความเมตตาต่อยุทธภพ เพราะเราเสียแรงทำสิ่งที่คนอื่นมิทำ
ทั้ง ๆ ที่เคยคิดเช่นนั้นมาชั่วชีวิตทั้งที่ยึดมั่นเช่นนั้นมาตลอด ถ้าหากนางไม่เจอกับคนของพรรคเฉินเข้าต่อให้ตายไปก็คงจะมิมีทางรู้หรอกว่าตนถูกหลอกใช้ให้ไปเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่ดี
ทั้งขุนนางที่หญิงสาวเคยได้รับคำสั่งให้ไปฆ่า หรือแม้แต่บัณฑิตที่ปากมากกล้าวิจารณ์คนไปทั่วเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่ต่อต้านพรรคฉือ
นางเจอชายหนุ่มในหน้ากากของพรรคเฉินในคือที่นางต้องฆ่าขุนนางโฉดผู้หนึ่ง วันนั้นนางเกือบจะพลั้งมือฆ่าเด็กน้อยไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นชายในหน้ากากผู้นั้นที่เข้ามาแทรกและหยุดนางเอาไว้
นางเคยรู้มาว่าในยุทธภพมีพรรคเลื่องชื่อในการขายข่าวอยู่พรรคหนึ่ง นั่นก็คือพรรคเฉิน คนของพรรคเฉินจะพันดาบปกปิดตัวตน ร่างกายก็ถูกปกปิดเอาไว้ทุกส่วนและยังสวมหมวกงอบใบใหญ่
คนของพรรคฉือมิชอบพรรคเฉินนัก เพราะคิดไม่เหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่นางรู้
“เจ้าคงเป็นคนพรรคฉือระดับไม่สูงนักสินะถึงได้ไม่ฆ่าข้า น่าสงสารนักฆ่าที่ถูกหลอก” รั่วซีเห็นริมฝีปากของชายหนุ่มที่โผล่พ้นผ้าแพรดำที่คลุมทั้งหมวกงอบและใบหน้าของอีกคนยกยิ้มเหยียด
“พวกเราสองพรรคแม้จะเห็นต่างแต่ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่านี่เจ้าคะ” รั่วซีเอ่ยออกไปตรง ๆ รั่วซีได้ยินเสียงถอนหายใจดังรอดออกมาจากคนตรงหน้าที่สวมชุดดำทั้งชุดเช่นนาง
“ข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ หากอยากรู้ว่าพรรคฉือของเจ้าดีจริงหรือไม่ ลองสืบประวัติของเป้าหมายเจ้า เท่านั้นก็จะรู้แล้ว”
รั่วซีที่ได้ยินก็เหลือบตากลับไปมองยังเป้าหมายของนางในคืนนี้กับเด็กน้อยที่หมดสติไปไม่ไกลนัก
ระหว่างที่นางฆ่าชายผู้นี้นางได้ยินเสียงเด็กกำลังเดินมา เกือบจะต้องฆ่าอีกฝ่ายเพื่อปิดปากเสียแล้ว
“คนพรรคเฉินนั่นสักวันข้าจะตอบแทนแทนบุญคุณ ที่ทำให้ข้าไม่ต้องสังหารคนบริสุทธิ์” นางเอ่ยกับสายลมบนท้องฟ้าราวกับจะส่งไปบอกชายชุดดำในหมวกงอบนั่น
หลังจากวันนั้นรั่วซีก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ จนวันหนึ่งนางได้รับสารคำสั่งจากหัวหน้าพรรคฉือว่าเป้าหมายต่อไปของนางคือคู่หมาย
ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตนไม่มีคู่หมายที่ไหน แต่สามวันแม่สื่อก็ส่งจดหมายพร้อมกับวันเดือนปีเกิดของคุณชายตระกูลเฟิงมาให้นาง
ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง น่าเสียดายยิ่งนักบุตรชายเพียงคนเดียวของคู่สามีภรรยาตระกูลเฟิงนั้นเป็นเพียงชายพิการมองอะไรไม่เห็น บางคนก็บอกว่าคุณชายเฟิงผู้นั้นไม่เพียงแค่ตาบอดแต่ยังบ้าบอพูดจาไม่รู้ความอีกด้วย
“ข้าตอบรับการสู่ขอเจ้าค่ะ” หัวหน้าตระกูลหานมองบุตรสาวของตน ตระกูลหานแม้จะไม่ยากจนนัก แต่ก็ไม่ร่ำรวย ที่ยังมีบ้านเรือนใหญ่โตก็เพราะบรรพบุรุษทั้งสิ้นยามนี้เหลือแต่เปลือกแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่รั่วซีต้องมาเป็นนักฆ่า
แต่ไม่นึกว่าทางเลือกในยามเด็กที่ทำเพราะอยากช่วยครอบครัว และคำตอบที่ให้กับแม่สื่อในวันที่อีกฝ่ายมาหาถึงประตูเรือนในวันนั้นจะทำให้หญิงสาวที่ยังไม่เคยออกเรือน...
มิใช่สินางออกเรือนแล้ววันนี้ นางออกมาจากตระกูลหานแล้ว และกำลังรอคอยที่จะจัดการกับคนที่จะมาสังหารสามีของนางในห้องหอ แต่ดูเหมือนเป้าหมายในครั้งนี้จะต้องตายเท่านั้น อีกฝ่ายจึงได้ส่งคนมาเสียมากมาย สุดท้ายแม้แต่คนฝีมือดีเช่นนางก็พลางพลั้งได้รับบาดเจ็บจนต้องหนีออกมา และตอนนี้ก็ถูกพวกมันตามทันแล้ว
ที่ทั้งหมดเป็นเช่นนี้ก็เพราะรั่วซีทำตามคำของชายชุดดำ ตระกูลเฟิงนางก็ลองตรวจสอบดูคร่าว ๆ แล้วก็ไม่เจออะไรไม่ดี อีกฝ่ายออกจะทำดีและน่ายกย่องด้วยซ้ำ คำอ้างที่หัวหน้าพรรคบอกนางก็ไม่เห็นเป็นไปตามนั้น และนั่นจึงทำให้หญิงสาวเกิดคำถาม และมันก็คงเป็นเหมือนกับคำของอดีตเจ้านายของนางในตอนนี้
“ถ้าไม่อยากรู้อยากเห็นมากก็น่าจะรอดแล้วแท้ ๆ เสียใจด้วยนะหานรั่วซี”
ความรู้สึกราวกับดาบเพิ่งปาดไปที่คอนั้นยังคงอยู่ แต่ยามนี้รั่วซีกำลังสวมชุดสีแดงและอยู่ในงานมงคล ความทรงจำของนางว่างเปล่าจนไม่มีเหลือ
“คุณหนู คุณหนูรั่วซีเจ้าคะ คารวะเจ้าบ่าวสิเจ้าคะ”