บทที่3
การยกน้ำชาเป็นอย่างอย่างฝืน ๆ เจ้าบ่าวเมื่อคืนไม่อยู่ มีเพียงแค่นางและบิดามารดาของอีกชายที่แทบจะไม่ได้เอ่ยถามอะไร
“คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าก็แล้วกัน”
รั่วซีแปลกใจ “แล้วข้าต้องดูแลท่านพี่ ข้าหมายถึงคุณชายเฟิง” เมื่อเรียกสามีไปเช่นนั้นคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดก็หันมอง แต่หญิงสาวก็ไม่รู้จะทำหน้าเช่นไร นางไม่รู้จักชื่อของเขานี่นา
“ห่าวอี้น่ะหรือ เจ้าไม่ต้องดูแลเขาหรอก อาการเขาไม่ได้หนักเท่าที่คนเล่าลือหรอก มิใช่บอกกับเจ้าไปตั้งแต่ตอนที่ไปสู่ขอแล้วหรือ หน้าที่ของเจ้าก็แค่อยู่ที่นี่ก็แค่นั้น”
รั่วซียิ้มแหย่ ๆ ให้กับทุกคน พลางคิดในใจว่าจะไม่ยอมให้คนเหล่านี้รู้เด็ดขาดว่านางไร้ซึ่งความทรงจำ แค่นี้ก็ดูวุ่นวายแปลก ๆ แล้ว
“เจ้าคงรู้ว่าทำไมใช่ไหม”
และหากหญิงสาวคาดเดาไม่ผิดก็คงเป็นการแต่งเพื่อลดข่าวลือนั่นแหละ “เจ้าค่ะข้าเข้าใจดี”
บิดามารดาของสามีเพียงแค่ในนามของรั่วซียิ้ม แต่มันก็ดูแปลก ๆ ในสายตาของรั่วซีอยู่ดี เพราะคนที่ถึงกับลงทุนจ้างคนมาแต่งงานกับลูกชาย แน่นอนว่ารั่วซีคิดว่าจ้างเพราะได้ยินคนนินทาระหว่างพิธี
เห็นว่าบิดามารดาของนางได้ตำลึงทองพร้อมกับตั๋วเงินและของมีค่าอีกมากมาย นี่ก็คงเป็นการซื้อนางมานั่นแหละ
“แล้วก็ข้าจะให้ลี่อินไปเป็นสาวใช้ของเจ้านะ”
รั่วซีพยักหน้าราวกับตอบรับ และทำความเคารพพ่อแม่สามีก่อนจะกลับมาที่ห้องของตน ห้องหอซึ่งไร้เงาของสามี
“คุณหนูอยากได้อะไรก็บอกได้นะเจ้าคะ” รั่วซีฟังแล้วก็สงสัย
“คุณหนูหรือ ไม่ต้องเรียกว่าฮูหยินอะไรแบบนั้นหรือ” รั่วซีเห็นลี่อินยิ้ม และมันก็ดูเหมือนยิ้มเยาะมากกว่ายิ้มปกติ
“เอาไว้ไปข้างนอกค่อยเรียกแบบนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูคงเข้าใจดีนะเจ้าคะว่าเพราะอะไร คุณหนูอยู่ที่นี่ก็เพียงแค่แสดงว่าเป็นภรรยาของคุณชายก็เท่านั้นเจ้าคะ”
รั่วซีไม่รู้จะตอบอะไร นางพยักหน้าส่ง ๆ ไปอย่างนั้นก่อนจะหันไปสนใจอย่างอื่นในห้องหอของตน
เป็นคนบ้าและตาบอดแต่มีห้องหนังสือในห้องนอน ไปหลอกเด็กเถอะ แล้วยังเมื่อคืนที่เดินก้าวฉับ ๆ ไปอย่างกับมองเห็นทุกสิ่งนั่นอีก นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไร ชายตาบอดผู้นั้นถึงต้องการให้นางเป็นภรรยา
“ข้าวของของข้าเล่า” รั่วซีถามเมื่อในนี้ไม่มีข้าวของของนางแม้แต่นิด ที่รู้มิใช่เพราะจำของของตนเองได้ แต่เพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับสตรีเลยต่างหาก มีก็แต่ของบุรุษเท่านั้น
“อยู่ห้องข้าง ๆ เจ้าคะ จะให้ข้าไปช่วยเปิดนำออกมาไหมเจ้าคะ” ลี่อินถามอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้อง” แต่รั่วซีกลับยังไม่อยากให้นางช่วย “แค่ไปยกมาให้ข้ารื้อทีละอันก็พอแล้ว
”แล้วต้องช่วยจัดหรือไม่เจ้าคะ”
รั่วซีมองหญิงสาวที่ถามราวกับบอกว่าถ้าไม่ต้อการให้ช่วยก็ปล่อยนางไปเสียที “แค่ให้คนยกทั้งหมดมาเดี๋ยวข้าจัดการเอง อันไหนข้าทำไม่ไหวจริง ๆ ค่อยรอเจ้ามาช่วย”
ลี่อินพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะออกไปจัดการ
“ได้อยู่ตามลำพังสักที” รั่วซีมองไปรอบ ๆ พลางดูว่าจะเก็บของของตนเอาไว้ตรงไหนได้บ้าง แต่ยิ่งมองไปก็ยิ่งแปลกใจกับข้าวของของคุณชายเฟิง
ไม่นานนักบรรดาหีบข้าวของของรั่วซีก็ถูกนำเข้ามาเต็มห้องไปหมด นางค่อย ๆ เปิดดูทีละหีบ บ้างก็เป็นเสื้อผ้า บ้างก็เป็นหนังสือ แต่เมื่อเปิดอ่านหนังสือที่นำมาแล้วก็แปลกใจ
ทั้งการต่อสู้ บทกวี โคลงกลอน แม้แต่ม้วนวาดรูป “นี่ข้าเก่งขนาดนี้เชี่ยวหรือ”
และเมื่อเดินไปยังห่อผ้าก็เจอเข้ากับกล่องเก็บฉิน หญิงสาวยิ้มออกมาน้อย ๆ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาและทดลองบรรเลง เสียงฉินที่ไพเราะล่องลอยไปทั่วบริเวณ
แต่สักพักนางก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างคล้ายจะเป็นช่องลับที่ฐานของกล่องเก็บฉิน รั่วซีพยายามเปิดอยู่พักใหญ่แต่ก็ไร้ผล สักพักนางก็ลากนิ้วไปตามกล่องฉินทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับร่างกายจะทำไปเองอย่างไม่ได้บังคับมือเรียวดึงปิ่นที่อยุ่บนมวยผมลงมาจิ่มเข้าไปที่รูเล็ก ๆ ตรงฐานก่อนที่มันจะกระเด้งออกมา ด้านในมีแผ่นข้อมูลเล็ก ๆ ที่ถูกม้วนเสียจนเล็กจิ๋วราวกับข้อความที่ส่งกับพิราบส่งสารและยังมีป้าย
“พรรคฉืออย่างนั้นหรือ” นางกำลังตรวจสอบสิ่งที่เจอ ทั้งม้วนข้อความที่คล้ายจะเป็นคำสั่ง บางอันก็เหมือนจะเป็นคำบอกเกี่ยวกับตระกูลเฟิง หรือแม้แต่แผนที่เล็ก ๆ “นี่ข้าเป็น...”
หญิงสาวแทบจะปิดปากตนเองเอาไว้ไม่ทัน แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นคนปรากฏรั่วซีก็คิดว่านางอาจจะมีวรยุทธด้วยแต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้
“เจ้าทำอะไร” เสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้นทำให้รั่วซีตกใจ มือเรียวยังยกฉินตัวเดิมเอาไว้เพื่อจะใส่ลงในกล่อง
“เปล่าเจ้าคะท่านพี่”
แม้จะตอบออกไปอย่างนั้นแต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เชื่อเลยสักนิด