หลังจากเลิกงานในเย็นวันนั้น ปาหนันก็ถูกสามีหอบหิ้วไปกรุงเทพฯ ด้วยจนได้ เนื่องจากรถของชายหนุ่มเครื่องยนต์มีปัญหาหล่อนจึงเป็นคนนำเข้าอู่ไปซ่อมให้ในตอนที่นัดพบกับลูกค้าในกรุงเทพฯ พอดี และกำลังจะไปรับกลับ
ชายหนุ่มยังถือโอกาสนั้นทำธุระอื่นๆ ไปด้วยในตัว รวมถึงพาหล่อนไปพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์ด้วย
"เป็นอะไรหรือเปล่าเปรี้ยว...ดูซึมๆ คูณเริ่มแพ้ท้องแล้วเหรอ..." พลขับเอ่ยถามภรรยาสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เมื่อเห็นว่าหล่อนมีอาการเหม่อลอย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเหมือนอย่างเช่นปกติ
"ก็เวียนหัวนิดหน่อยค่ะ..." หล่อนหันมายิ้มพร้อมให้คำตอบ
"ผมขอโทษนะเปรี้ยว...ที่ใจร้อนพาคุณมาด้วยทั้งที่คุณไม่สบายอยู่แท้ๆ" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมือเล็กของภรรยาดึงมาจูบพรมซ้ำๆ อย่างเอาใจ
"เปรี้ยวไม่ได้เป็นอะไรเยอะแยะหรอก ไทม์ไม่ต้องห่วง รีบขับรถเถอะค่ะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน"
"มืดก็ดี...จะได้หาโรงแรมแถวนี้พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปต่อ นานแล้วนะที่เรา...ไม่ได้เปลี่ยนบรรยากาศกันเลย" วาจาหวานทุ้มเอ่ยกรุ้มกริ่ม พร้อมรอยยิ้มและสายตาแพรวพราว
"ทะลึ่ง...เดี๋ยวก็ได้ลงไปนอนข้างทางหรอกค่ะ"
"เอ...ข้างทางก็ไม่เลวนะ ไม่เคยเสียด้วย"
"ไทม์! คุณนี่มันจริงๆ เลยนะคะ" ปาหนันหน้าแดงก่ำกับท่าทีส่อแววเจ้าเล่ห์ของสามีหนุ่ม ทัพไทเป็นผู้ชายใจดี ขี้เล่น เพราะแบบนี้แหละหล่อนถึงได้ตกลงปลงใจที่จะเลือกเขาเป็นคู่ชีวิต แต่พอเวลานานไปอะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ หล่อนไม่รู้หรอกอนาคตจะเป็นอย่างไร
รู้แต่ว่าปัจจุบันในตอนนี้หล่อนมีความสุขกับสิ่งที่ได้เลือกทำลงไปแล้ว...
ต่อให้มันผิดหรือถูก...หัวใจก็ได้ตัดสินจนสิ้นความรู้สึกหมดแล้ว
"แก้มแดงเชียว เปรี้ยวคิดอะไรอยู่เนี่ย" ชายหนุ่มยังไม่ยอมรามือสงบปากสงบคำ
"ก็คุณน่ะอะไรก็ไม่รู้...ทะลึ่งทั้งวันเลย" หล่อนพะเง้าพะงอดแบะปากเหล่ตาใส่เขา แม้เวลาเปลี่ยนไปเท่าไหร่แต่ความรู้สึกกับสิ่งที่ทัพไทปฏิบัติกลับไม่เปลี่ยนไปเลย
"มีเมียน่ารักแล้วก็สวยมาก ใครจะอดใจไม่ทำให้คิดไหวล่ะครับ...ลองเปรี้ยวมาเป็นผมแล้วมีเมียครบเครื่องแบบนี้สิแล้วจะรู้สึก...ว่าการอดเปรี้ยวไว้กินหวานน่ะ...มันทรมานแค่ไหน"
"พอๆ ค่ะ เปรี้ยวเริ่มจะเปรี้ยวปากแล้วเนี่ย สงสัยจะมีคนแถวนี้เจ็บตัว..." ดวงตากลมโตเหลือบเหล่ไปมองฝ่ายสามีที่ยังยิ้มกรุ้มกริ่มไปพลางขับรถไปพลาง
"เปรี้ยวชอบแบบไหนผมเคยขัดเหรอ บังเอิญผมมันโรคจิตด้วยสิ ยอมเมียแล้วมีความสุข..." ชายหนุ่มหันไปยิ้มอ่อนยื่นมือไปคว้าเอามือเล็กมากุมกำเอาไว้แน่น บีบเคล้นนวดเบาๆ ให้หล่อนรู้สึกผ่อนคลาย
ร่างเล็กเอนพิงหลังไปกับเบาะก่อนจะปรับให้มันเอนพอเหมาะกับความสบายตัว
"โอเคๆ ผมไม่กวนคุณดีกว่า ดูคุณจะเหนื่อยจริงนะวันนี้ สงสัยลูกๆ ของเราคงฤทธิ์เยอะน่าดูทำเอาซุปเปอร์เกิลคนเก่งอ่อนเพลียได้ขนาดนี้"
"ลูกๆ..." หล่อนหันศีรษะที่พิงนอนไปกับเบาะทำหน้างุนงงเป็นคำถามทอดสายตามองเขา
"หลายคนไง...อาจจะสองหรือสามผมมั่นใจใจฝีมือนะ เชื่อสิ..." ทัพไทคุยโวด้วยความมั่นอกมั่นใจจนอีกฝ่ายอดที่จะหัวเราะรื่นเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้กับความขี้เล่นของเขา จากนั้นก็หลับตาลงผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะ
รอยยิ้ม...เริ่มเลือนหายไปจากใบหน้างดงาม...
กลับเป็นทัพไทที่ยังยิ้มปริ่มเต็มใบหน้าด้วยความสุข แม้จะเหนื่อยจากการทำงานและต้องขับรถระยะทางไกลๆ แต่เขาก็ไม่เคยละเลยที่จะดูแลให้ความสำคัญกับคู่ชีวิต สายตาและสมาธิที่ควรจดจ่ออยู่กับท้องถนนมักเหลือบกลับมามองคนรักอยู่บ่อยๆ ครั้งเสมอตลอดระยะทาง พร้อมกับมือที่กำจับเอาไว้ไม่เคยคิดปล่อย...
"อาไทม์!" ร่างเล็กวิ่งตัวลิ่วออกมาจากในบ้านเมื่อทราบข่าวการมาของคนสำคัญ แต่เมื่อมาถึงหล่อนกลับถูกสายตาพิฆาตเย็นชาสาดใส่ให้ต้องชะงักกึก รอยยิ้มที่แย้มปริเต็มใบหน้าพลันหดหายพร้อมๆ กับเสียงของหัวใจที่เต้นโครมคราม
"เปรี้ยวไม่สบายครับคุณแม่...เธอ..."
"ไทม์คะ คุณแม่...นี่ก็เย็นมากแล้วเปรี้ยวว่าเรารีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า เปรี้ยวหิวจะแย่แล้วค่ะอยากทานฝีมือทำกับข้าวคุณแม่เร็วๆ จังเลย" หญิงสาวตัดบท เหลือบมองภาวนาที่ยกมือไหว้แล้วยิ้มให้เป็นการทักทาย ในขณะที่กำลังสนทนาอยู่กับแม่ของสามี
"ได้สิ...ไทม์นี่ยังไงปล่อยให้เมียหิวขนาดนี้ แวะกินอะไรก่อนไม่ได้รึ รีบร้อนอะไรกันเกิดเป็นลมเป็นแล้งขั้นมามันจะแย่เอา" ประภาหันไปเล่นงานบุตรชายตาเขียวปั๊ด
"ผมชวนแล้วนะ...แต่เปรี้ยวเขาอยากเก็บท้องไว้ทานฝีมือคุณแม่ต่างหาก มาโทษผมได้ยังไง ต้องโทษคุณแม่ที่ทำกับข้าวเก่งถึงขนาดเมียผมยอมอดอยากปากแห้งหิ้วกระเพาะมาถึงนี่ หึ หึ"
"ปากร้ายนักเชียวตาคนนี้นี่...งั้นก็มาเถอะจ้ะ แม่เตรียมของที่เราสองคนชอบเอาไว้ทั้งนั้นเลย"
"แม่ผมรู้ใจที่สุด...นอกจากเมียแล้วก็คนนี้แหละที่จะไม่นอกใจไปตลอดชีวิตเลย" คนตัวใหญ่ก้มน้อมลงมาหอมแก้มมารดาเป็นการเอาใจเสียฟอดใหญ่ จนถูกตีแขนกลับมาหนึ่งทีเพราะความเจ้าเล่ห์
"ไปครับเปรี้ยว...กินข้าวเสร็จแล้วเราจะได้ไปกินกันต่อ..." ทัพไทพูดขึ้นมาดื้อๆ ต่อหน้าประภาและภาวนาที่ยืนถลึงตาอึ้งงัน เด็กสาวก้มหน้าหลบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในขณะที่ชายหนุ่มจูงมือเมียสาวเข้าไปในบ้านผ่านหน้าหล่อนโดยไม่คิดทักทายแม้แต่น้อย
"ไทม์เนี่ย! แหย่ได้ตลอดเวลาเลยนะคะ"
"ก็ชอบแหย่...เปรี้ยวก็รู้นี่ว่าผม 'แหย่' เก่งแค่ไหน หึ หึ"
สองคนยังคงหยอกเย้าหวานแหววประหนึ่งเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันจนเดินลับหายเข้าไปในบ้าน
"มาด้วยกันสิจ้ะเอย...ย่าก็ทำกับข้าวที่เราชอบเอาไว้เหมือนกันนะ..." ประภาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเหงาหงอยนั้น นางรู้สึกสงสารเด็กสาวอยู่ไม่น้อยเพราะรับรู้อะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเป็นตัวกลางให้กับทุกคน
"เอยไม่หิวค่ะย่าภา...เอยจะลดความอ้วน ขอตัวก่อนนะคะ" พูดจบหล่อนก็หันหลังแล้วจากไปอีกคน จากการเดินเร็วในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นวิ่งและหายขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง
ประภาส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่...ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องชวนอึดอัดเช่นนี้ขึ้นในบ้านหรอก แม้แต่ตัวนางเอง
แต่ในเมื่อไม่อาจขีดเส้นให้ใครเดินอย่างที่ใจหวังได้ไว้ก็คงได้แค่มองและประคับประคองกันไปจนกว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้นในสักวัน เวลาผ่านไปตั้งสามปีภานาเองก็โตขึ้น อย่างน้อยความคิดความอ่านก็คงเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย หล่อนคงเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ
ตัวนางและสามีก็อายุมากแล้ว...อนาคตในวันข้างหน้าย่อมอยากเห็นลูกเห็นหลานมีความสุขก่อนเวลาอันน้อยนิดของพวกเขาที่ค่อยๆ สั้นลงๆ มันจะหมดมอดดับไปในที่สุด...