บทที่ 1 ตอนที่ 3

1967 คำ
มื้อค่ำเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขชื่นมื่น...ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตายกเว้นก็แต่ภาวนาที่ขอตัวเข้านอนก่อนโดยอ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อเอาตัวรอด หล่อนนั่งเจ่าอยู่บนเตียงกว้างของตัวเอง หยิบของขวัญของใช้ต่างๆ ที่เคยได้รับในวันสำคัญจากมือของอาไทม์ในวันวานมันยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเสมอแม้ในวันนี้มันจะไม่ได้ถูกจดจำจากคนให้แล้วก็ตาม ในอดีต...ทุกย่างก้าวในชีวิตของทัพไทจะต้องมีหล่อนเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ ทั้งเที่ยว กิน เล่น นอน แม้กระทั่งอาบน้ำก็อาบด้วยกันบ่อยๆ สมัยที่หล่อนยังเป็นเด็ก และค่อยๆ มาห่างกันในช่วงหลังตามความเหมาะสม กระนั้นก็ไม่ได้ห่างเหินจนเหมือนกลายเป็นคนอื่นอย่างเช่นในตอนนี้            ปาหนัน...ผู้หญิงคนนั้นมาพรากทุกความรู้สึกของเขาไปจากหล่อน            "แม้แต่จะมองหน้าเอย อาไทม์ยังไม่อยากมอง อาไทม์เกลียดเอยแล้วจริงๆ ใช่ไหม" น้ำตาไหลพรากในยามที่ตัดพ้ออยู่กับตัวเอง มีบ้างในช่วงบางเวลาที่หล่อนลืมหายความรู้สึกกดดันเช่นนี้ แต่พอได้ยิน ได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขาความเจ็บปวดมันก็ตอกย้ำเสียดแทงอยู่ร่ำไป                อาจฟังดูตลกสำหรับคนอื่นที่เด็กหญิงคนหนึ่งมีความผูกพันกับน้องชายบุญธรรมของพ่อถึงขั้นปักใจเลยเถิดไปในทางชู้สาว แต่สำหรับหล่อน...หล่อนรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกฉาบฉวย            "เอยจะขอเก็บอาไทม์เอาไว้ในใจอย่างนี้ ตลอดไป...เอยสัญญาว่าจะไม่ทำให้ชีวิตครอบครัวของอาไทม์มีปัญหา ขอเพียงอาไทม์กลับมารักเอย ดีกับเอยเหมือนเดิมก็พอ แม้จะเป็นแค่ในฐานะ...หลาน ก็ได้..." ร่างเล็กยังพรรณนากับตัวเองในขณะที่ทิ้งตัวลงนอนโดยไม่คิดเช็ดซับน้ำตาที่มันรินไหลให้เหือดแห้ง            หล่อนอยากระบาย อยากให้น้ำตาช่วยชะล้างความปวดหนึบหม่นหมองในใจให้เจือจางลงไปบ้าง เผื่อจะได้มีลมหายใจอยู่ต่อไปเพื่อมองดูเขา แม้ทุกครั้งที่เฝ้ามองจะเป็นเหมือนเดินเข้าไปหาคมหอกคมดาบให้เข้ามาทิ่มแทงตัวเองหล่อนก็ยอม            เมื่อรักไปแล้ว ปักใจไปแล้ว...มันไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดหรอกว่า            ทำไมถึงงมงายขนาดนี้ เพราะอะไร...ถึงไม่ยอมรามือถอยห่างทั้งที่มันผิดทั้งศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงาม... วันใหม่มาเยือน...ภาวนาตื่นสาย เพราะกว่าจะนอนหลับได้เมื่อคืนก็ปาเข้าไปดึกมากแล้ว หล่อนอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเอื่อยเฉื่อยก่อนจะเดินออกจากห้อง มีความหวังลึกๆ ว่าทัพไทและภรรยาของเขาคงออกไปทำธุระข้างนอกกันแล้ว            โดยปกติแล้วหากหล่อนลงไปรับประทานมื้อเช้าสายอย่างนี้ ย่าเลี้ยงจะต้องให้คนขึ้นมาตาม หรือไม่ก็ขึ้นมาตามเองถึงห้องก็มี แต่วันนี้ท่านกลับเมินเฉย นั่นแสดงว่าท่านคงรู้ว่าหล่อนยังไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับใครในบ้าน โดยเฉพาะสองสามีภรรยาคู่นั้น...            "เดี๋ยวทางอู่จะเอารถมาให้เราเอง...ไทม์จะได้อยู่คุยกับคุณแม่ไม่ต้องยุ่งยาก เปรี้ยวจัดการให้แล้วค่ะ" เสียงแว่วหวานของอาสะใภ้ทำให้สองเท้าของภาวนาสะงักกึก หล่อนถอนหายใจและกำลังจะเดินเลี่ยงไปจากห้องรับแขกที่กำลังครึกครื้นพร้อมหน้า ทั้งคุณปู่ของหล่อน ย่าภา และทัพไทกับปาหนัน หล่อนคงเป็นส่วนเกินหากเข้าไปหรือไม่ก็อาจทำให้วงแตกเสียอารมณ์กันเปล่าๆ                      "ที่รักของผมรอบคอบตลอด..."            "แหม่...หวานกันขนาดนี้เมื่อไหร่จะมีหลานให้แม่กันล่ะ หืม...หรือแกไม่มีน้ำยาห๊ะ เจ้าไทม์" ย่าประภาเอ่ยแทรกการเย้าหยอกของสองสามีภรรยา บางครั้งทัพไทก็มักทำเหมือนมีเขากับปาหนันอยู่กันสองคนบนโลกใบนี้... "คุณแม่จะไปรู้อะไร...อย่าดูถูกลูกชายตัวเองสิครับ" ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอารมณ์ดี สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ภาวนาที่ตั้งใจไปให้ไกลจากตรงนั้นต้องหยุดเท้าเอาไว้อีกครั้ง            "หืม...ยังไงล่ะ หรือว่าจะมีข่าวดี..." ประภาเอ่ยถามยิ้มร่า พร้อมกับหันไปจับมือสามี            "ครับ...ผมตั้งใจจะมาบอกเรื่องนี้กับคุณลุงแล้วก็คุณแม่ด้วย..."            "ไทม์คะ..." ปาหนันปรามความตื่นเต้นจนออกนอกหน้าของเขา            "เราไม่แน่ใจนัก...แต่เปรี้ยวตรวจเองเบื้องต้นผลมันใช่ วันนี้ผมตั้งใจจะพาเขาไปโรงพยาบาลตรวจให้ละเอียดอีกรอบ"            "จริงหรือนี่...แม่กำลังจะได้หลานแล้วจริงๆ เหรอหนูเปรี้ยว! ขอบใจมากนะจ๊ะ แม่รอวันนี้มานานนักหนา ในที่สุดหลานย่าก็มาเสียที"            "ลุงเองก็ไม่คิดว่าแก่ปูนนี้แล้วจะได้เลี้ยงหลานตัวเล็กๆ อีกครั้ง นี่ข่าวดีข่าวมงคลเลยนะ ไทม์ต้องพาหนูเปรี้ยวย้ายกลับมาอยู่บ้านเรานะลูก จะได้มีคนคอยช่วยดูแล ลุงไม่ไว้ใจเลยไปอยู่กันสองคนไกลๆ แบบนั้นเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง กลับมาอยู่เสียที่นี่ดีกว่า นะ..." ปู่นพราชเอ่ยขึ้นด้วยความยินดีไม่ต่างกัน "ยังไม่ได้ตรวจแน่นอนเลยค่ะคุณลุง...คุณแม่ อาจมีอะไร...ผิดพลาดก็ได้"            "ไม่หรอกมั้ง...ถึงขนาดเราตั้งใจจะซื้อเครื่องตรวจ เราเองก็คงมีความรู้สึกถึงความผิดปกติอยู่แล้วใช่ไหม เอาอย่างนี้นะ...."            ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ... เสียงมือถือของหญิงสาวดังขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างออกรส            "ขอโทษค่ะ...อู่ที่เปรี้ยวเอารถของไทม์ไปซ่อมโทร.มา" หล่อนกล่าวพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารีบสาย แล้วลุกโน้มตัวเดินออกไป            "เดี๋ยวแม่ไปโรงพยาบาลด้วยนะไทม์...แม่ตื่นเต้นอยากรู้เต็มทีแล้วว่าเมียเราท้องจริงไหม แต่แม่ค่อนข้างมั่นใจ..."            "ผมก็มั่นใจในฝีมือผมครับแม่...เปรี้ยวท้องแน่ๆ เรากำลังมีลูกด้วยกัน...ผมดีใจที่สุดเลย" หลังจากที่ปาหนันเดินห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อคุยโทรศัพท์พวกเขาก็ยังพูดคุยกันเกี่ยวกับข่าวดีของครอบครัว              โดยไม่ได้รู้เลยว่ามันช่างเป็นเรื่องเลวร้ายเหลือเกินสำหรับคนตัวเล็กที่ยืนฟังตัวสั่นอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่ แต่หากมีกำแพงช่วยกำบังหล่อนเอาไว้เท่านั้นเอง            "ผมต้องเตรียมอะไรรับขวัญหลานคนใหม่ดีละคุณ หืม...ผมทำตัวไม่ถูกแล้วเนี่ย ตื่นเต้นแทนเจ้าไทม์มันจริงๆ"            "นั่นสิคะ...ฉันก็เหมือนกัน หึ หึ" ให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน ประภาลุกขึ้นเดินไปยังตรงนั้นโดยอัตโนมัติด้วยพอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น            "อะไรกันเพียว...เกิดอะไรขึ้น..."            "อูย...คุณท่าน คุณเอยค่ะ วิ่งมาชนเพียวแล้วก็ออกไปข้างนอกแล้วค่ะ เห็นร้องไห้ด้วยนะคะ" เพียวสาวใช้บอกกับผู้เป็นนาย ในขณะที่พยุงตัวลุกขึ้นเพราะถูกชนจนล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อสักครู่            "แย่แล้ว..."            "เกิดอะไรขึ้นกันคุณ" นพราชสมทบเดินเข้ามา            "ยัยเอยค่ะ...คงบังเอิญมาได้ยินเรื่องที่เราคุยกันเข้า เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้"            "เอย..." นพราชอุทานชื่อหลานสาวคนเดียวด้วยความเป็นห่วง ท่าทีของท่านลุกลี้ลุกลนก่อนจะย่างสามขุมตามออกไปโดยที่ประภายังยืนหันไปหันมาตัวสั่นอยู่ตรงนั้น            ทางด้านทัพไทถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอาด้วยพอจะลำดับเหตุการณ์ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น            เขาหันละสายตาจากตรงจุดเกิดเหตุไปยิ้มให้ภรรยาสาวที่กำลังเดินเข้ามาหา...            "อู่ให้คนเอารถมาให้แล้ว อยู่ด้านนอก...มีอะไรกันหรือเปล่าคะไทม์"           "ไม่มีอะไรหรอก...ไปดูรถกันเถอะ อย่าสนใจเรื่องไร้สาระเลย" ทัพไทกล่าวพลางลุกขึ้นไปจูงมือหญิงสาวแล้วพาออกไปด้านนอกเนื่องจากทางอู่ที่เอารถไปซ่อมไว้ได้นำรถมาคืนแล้ว ชายหนุ่มหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ความสุขในการสนทนาระหว่างครอบครัวต้องมาดับร้าวไปด้วยความเอาแต่ใจของภาวนา            เขารับรู้ได้ถึงความริษยาของหล่อนที่เพิ่มพูนขึ้นเมื่อลูกของเขากำลังจะเกิดมา หล่อนถูกตามใจจนเคยตัวเพราะเป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูล มาบัดนี้กำลังถูกแทนที่ มันจึงไม่แปลกที่จะแสดงความไม่พอใจ เรียกร้องความสนใจขนาดนั้น            "ไทม์...ดูน้องด้วยนะ แม่เป็นห่วง"            "เธอต้องยอมรับความจริงให้ได้ครับแม่...ไม่อย่างนั้นเราก็เหมือนสนับสนุนให้เธอหลอกตัวเองแบบนี้ไปตลอด" กล่าวจบเขาก็พาปาหนันเดินผ่านหน้ามารดาไปทันที อยากพาภรรยาสาวไปให้ไกลจากที่นี่เหลือเกินในตอนนี้ด้วยไม่อยากให้หล่อนต้องมาเป็นกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของเขา            เขากลัว...มันจะมีผลกระทบถึงลูกในท้อง            "หนูอยากอยู่คนเดียว! ต่อไปนี้หนูคงต้องหัดอยู่ตัวคนเดียวให้ชิน คุณปู่ไปเตรียมตัวรับขวัญหลานรักคนใหม่ดีกว่าค่ะ อย่ามาสนในหนูเลย" เด็กสาวหยุดวิ่งแล้วหันมาตอบกลับนพราชทั้งน้ำตานองหน้า หล่อนไม่ได้อิจฉาหรอกที่จะมีสมาชิกใหม่ในบ้าน แต่หล่อนน้อยใจ...ที่กำลังจะค่อยๆ กลายเป็นส่วนเกินมากเข้าไปทุกที            พวกเขาแทบเห็นหล่อนเป็นธาตุอากาศยามทัพไทกับปาหนันมาที่บ้าน บัดนี้...ทั้งคู่ทั้งคู่ก็กำลังจะมีลูกน้อยมาเป็นแม่เหล็กดึงเอาความอาทรทั้งหลายที่หล่อนเคยได้รับอย่างเต็มเปี่ยมไปอีก แล้วหล่อนจะเหลืออะไร...            ปาหนัน...ช่างร้ายกาจราวกับเป็นภูตผี ตั้งแต่มีผู้หญิงคนนี้เข้ามาอะไรๆ ในชีวิตของหล่อนก็เปลี่ยนไปหมดเลย            "ไม่ใช่อย่างนั้นนะเอย...ไม่มีใครแทนที่ใครได้ ปู่ดีใจที่จะมีหลานเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าปู่และคนอื่นๆ จะรักเอยน้อยลงเลยนะลูก อย่าเข้าใจผิด" นพราชพยายามปลอบใจหลานสาวพร้อมกับเดินเข้าไปหา       "คุณปู่อย่ามาโกหกหนูเลย มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกคน...กำลังจะลืมหนู ตั้งแต่อาไทม์ คุณย่าภา คุณปู่ ต่อไปก็คงเป็นคุณพ่อด้วย...หนูไม่มีความหมายกับใครอีกแล้ว!"            "โธ่เอย...ทำไมคิดแบบนั้น"            "เพราะผู้หญิงคนนั้นไงคะ...ตั้งแต่มีมันเข้ามาชีวิตหนูก็พังไปหมดเลย หนูเกลียดมัน!! ถ้ารักหนูคุณปู่ก็อย่าให้มันเข้ามาในบ้านอีกสิคะ! คุณปู่ทำได้ไหม!!" ภานาตะโกนปาวๆ ด้วยอารมณ์น้อยใจเสียใจสุดแสน ความรู้สึกกลัวครอบงำให้หล่อนควบคุมตัวเองไมได้โดยสิ้นเชิง                    ทัพไทและปาหนันเดินเข้ามาพอดี...ชายหนุ่มรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้ากับประโยคที่ได้ยินจากปากของเด็กสาวซึ่งเขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จากความโกรธ...มันกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียด! จนไม่อยากเอ่ยคำใดตอบโต้ แม้แต่จะด่าทอ ไม่อยากเสียสายตามองด้วยซ้ำไป            ทางด้านปาหนันหล่อนได้แต่หลบสายตาของภาวนาที่มองมาด้วยความชิงชัง รู้สึกหายใจติดขัดวางตัวไม่ถูก            ก่อนหน้าก็รู้อยู่ว่าเด็กสาวไม่ใคร่ชอบใจหล่อนนัก ตลอดเวลาที่แต่งงานกับทัพไทแทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำนอกจากทักทายกันธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะถูกเกลียดจนถึงขั้นเป็นเหตุให้ครอบครัวสามีต้องเดือดร้อนถึงเพียงนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม