ตุบ! พอประตูรถเปิดออกหล่อนก็ถูกโยนไปตรงเบาะหลังเหมือนของไร้ค่า เจ็บจุกเล็กน้อยและหวาดระแวงในท่าทีมุทะลุของชายหนุ่ม สายตาอ่อนแรงมองตามร่างของเขาที่เดินอ้อมด้านหน้ารถไปเปิดประตูด้านคนขับแล้วเข้ามานั่งประจำที่
ใบหน้าคมกร้านประดับไว้ด้วยหนวดเคราไม่คุ้นหันมองหล่อนด้วยแววตามุ่งร้า
"สารรูปดูไม่ได้..." เขาก่อนเสียงกรอดผ่านไรฟัน ภาวนารีบก้มลงดูสารร่างของตนเองทันทีก็ต้องใจหายวาบซ้ำซ้อน เมื่อผ้าขนหนูผืนจิ๋วมันถลกเปิดขึ้นมาเกือบพ้นสะโพกอวบกลมมน ท่อนขาขาวเปลือยอวดผิวเปล่งปลั่งล่อตา เด็กสาวรีบขยับดิ้นหาที่ซุกตัวตามสัญชาตญาณ จะโทษหล่อนได้อย่างไรในเมื่อถูกมัดอยู่ และหล่อน...ไม่ได้ตั้งใจจะอวดสรีระส่วนไหนให้เขาเห็นเสียหน่อย
คนตัวเล็กอึดอัดจนอยากร้องโฮออกมาดังๆ ด้วยความกระดากอาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทัพไทแลเห็นหล่อนไปถึงไหนบ้างหากว่าเขาตั้งใจมอง
"ทุเรศ! พรึ่บ!!!" ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกหยิบจากที่นั่งข้างคนขับแล้วโยนใส่ปิดหล่อนไปทั้งตัวแม้แต่ใบหน้า ในน้ำเสียงเคร่งขรึมเชิงตำหนิดูหมิ่นนั้นใครจะรู้เล่าว่ามันกำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกอันไม่ควรเอาไว้ ทัพไทรีบเบนหน้าจากภาพร่างเล็กสะโอดสะองที่กำลังดิ้นเพื่อหาทางโผล่ศีรษะออกมาสูดอากาศหายใจ
ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว...ลมหายใจติดขัดแปลกๆ กับร่างกึ่งเปลือยขาวโพลนเต็มสัดส่วนความสาวเมื่อสักครู่
เขาเลี้ยงดูภาวนามาก็จริง แต่ความใกล้ชิดแบบสนิทสนมได้ห่างเหินมานานแล้วหลายปี ชายหนุ่มเริ่มตระหนักและขบคิดว่าบัดนี้เขากำลังมองเด็กสาวในแบบไหนกันแน่ ศัตรู หลานสาวตัวน้อย หรือผู้หญิงคนหนึ่ง...
"อื้อ!" รถออกตัวแรงจนหล่อนแทบร่วงลงจากเบาะลงไปกองด้านล่าง แต่ยังดีที่ยกเท้าค้ำกับเบาะหน้าเอาไว้ทัน มือที่ถูกมัดเอาไว้ด้านหลังทำให้ขาดอิสรภาพไปโดยสิ้นเชิงและรู้สึกเจ็บเมื่อถูกเสียดสีหนักเข้า ร่างเล็กยอมศิโรราบนอนหายใจหอบสั่นอยู่อย่างนั้นเมื่อสามารถโผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่มได้
ไทไม่ได้หันมาเสวนาด้วยอีกเลย ทุกอย่างรอบตัวตกอยู่ในความเงียบจนเหมือนจะได้ยินเสียงลมหายใจสะท้านไหวของตัวเอง อยากให้สิ่งทีเกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน เมื่อหล่อนตื่น...ชีวิตปกติก็จะกลับคืนมา
ความแค้นของทัพไทสะสมหนักหนาแค่ไหนหล่อนไม่รู้ และนั่นคือความน่ากลัวที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจะเอาคืนหล่อนอย่างไรบ้าง ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อาไทม์ของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
ฉะนั้น...ลืมไปได้เลยเรื่องจะเอาความผูกพันในอดีตมาเจรจา
ความสูญเสียของเขามันเปลี่ยน...เขา ให้กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ไร้ซึ่งหัวใจ มีแต่ความเจ็บปวดและความทรงจำอันเลวร้ายคอยหล่อเลี้ยงให้ยังชีพอยู่ แล้วหล่อนล่ะจะต้องชดเชยยังไงถึงจะเท่าเทียมกับความรู้สึกของเขา
การเดินทางยาวนานข้ามคืน ทัพไทไม่ได้หยุดพักเลยเขามุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางโดยขับเลี่ยงมายังทางลัดในบางครั้งเพื่อหลีกหนีจากด่านตรวจ
เกือบสิบชั่วโมงเต็มๆ ที่คนหนึ่งต้องทำหน้าที่พลขับราวกับเป็นหุ่นยนต์ ส่วนอีกต้องนอนขดตัวอยู่ในท่านั้นด้วยความทรมาน จะพลิกขยับก็ทำได้เพียงน้อยนิดจนเหน็บชากัดกินส่วนต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าวนซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
กว่ารถจะหยุดจอดก็เจ็บไปทั้งร่างเหมือนถูซ้อมตีอย่างหนัก เจ็บปวดเหมื่อยขบไปทั้งสรรพางค์กาย...
"ลุกมาสิ!" แขนเล็กถูกดึงทั้งที่ยังมีผ้าห่มคลุมอยู่จนหล่อนลุกขึ้นไปตามแรงของเขา ทัพไทเอาผ้าออกจากปากและผลักหล่อนหันหลังก่อนจะแกะผ้าที่มัดมือเอาไว้ออกให้ เด็กสาวรีบคว้าเอาผ้าห่มผืนนั้นมาพันตัวเอาไว้ ก้มหน้าก้มตาทำอะไรไม่ถูก
"ออกมา ถึงแล้ว..."
"ที่...ที่ไหน" น้ำเสียงละล่ำละลักเอ่ยถาม
"อยากรู้ไปทำไม หืม...มันไม่ได้ช่วยให้เธอหนีไปจากฉันได้หรอกภาวนา เป็นเด็กดี...แล้วฉันจะเวทนาให้มาก" มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบพวงแก้มขาวหยาบๆ แล้วตบแตะเบาๆ
"แล้วเราจะได้เล่นสนุกกันนานๆ...ถึงใจ" จู่ชายหนุ่มก็ระเบิดเสียงหัวเราะน่ากลัวออกมาจนร่างเล็กสะดุ้ง ก่อนที่หล่อนจะถูกฉุดให้ออกมาจากตัวรถและผลักให้เดินไปยังทางเดินด้านหน้า โดยมีเขาคอยตามประกบอยู่ด้านหลัง
ตรงนี้เป็นโรงรถ...สายตาลนลานยังมิวายลอบสำรวจรอบด้านซึ่งถูกก่อด้วยหินทั้งหมด หลังคามุงกระกระเบื้องสีแดงอิฐ อยู่ติดกับตัวตึกซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นบ้านหรืออาคารสำนักงานเพราะมันใหญ่มาก และหล่อนมองเห็นด้านข้างตรงที่ยืนอยู่เพียงด้านเดียว
ในนี้มีรถจอดเรียวอยู่สองคัน หนึ่งคือคันที่เขาพาหล่อนมา กับอีกคันเป็นรถเก๋งญี่ปุ่นสีขาวไม่คุ้นตา หล่อนถูกบงการให้เดินไปบนทางที่ทอดลึกเข้าไปด้านในซึ่งเริ่มเป็นอุโมงค์มืดลงเรื่อยๆ
หัวใจของหล่อนเต้นกระเส่า...ขลาดกลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กระชับผ้าห่มผืนเดียวแน่นเหมือนกับอยากให้มันช่วยปกป้องคุ้มภัยให้
สองฝั่งอุโมงค์มีโคมไฟเล็กๆ ส่องแสงสลัวให้พอมองเห็นทาง เดินเข้าไปเรื่อยๆ เดินเข้าไปเรื่อยๆ ลึกพอประมาณ ไม่มีทางแยก ไม่มีทางคดเคี้ยว...แต่มีประไม้บานใหญ่ขวางกั้นให้ไม่อาจดำเนินไปตามเส้นทางต่อไปได้
กริ๊ง! "กุญแจ ไขเข้าไปสิ..." ชายหนุ่มส่งยื่นพวงกุลแจดอกใหญ่ให้ หล่อนรับเอาไว้ด้วยมือเล็กที่สั่นเทาแล้วทำตามคำสั่งโดยไม่มีทางเลือก
กริ๊ก! ประตูบานใหญ่ถูกปลดแอก ชายหนุ่มเอื้อมมือผ่านร่างของหล่อนผลักไปที่บานประตูนั้นจนมันเปิดแยกออกจากกัน เผยให้เห็นความเร้นลับด้านใน...
ผิดคาดเล็กน้อย...ที่มันกลับสว่างโร่ไม่ได้มืดมิดอย่างเส้นทางอุโมงค์ตอนที่เดินเข้ามา หล่อนถูกผลักเตือนให้เดินเข้าไป สายตากลมโตมิวายกวาดมองสำรวจไปในตัว
เหมือนห้องชุดขนาดใหญ่...รอบด้านตกแต่งด้วยแจกันโรมันทรงสูง ดอกไม้ในแจกันยังคงสดใหม่บ่งบอกถึงความเอาใจใส่ไม่ได้ละเลย กำแพงด้านหนึ่งมีน้ำตกจำลองเล็กๆ ด้านบนเป็นโดม
พื้นหินขัด มีชุดโซฟาเบดปูคลุมด้วยผ้าขนสัตว์สีขาว ถัดเข้าไปด้านในมีผ้าม่านบางๆ กางกั้นพลิ้วไสว คาดว่าคงเป็นส่วนของห้องนอน พื้นตรงนั้นปูด้วยพรมอย่างดี มีฐานยกสูงเหนือระดับพื้นเล็กน้อย สี่ด้านล้อมไว้ด้วยเสาเล็กทั้งสี่ซึ่งใช้ยึดผ้าม่านดังกล่าว ประดับด้วยแจกันและโคมไฟทรงสูง สองด้านระหว่างทางเดินขึ้นไปบนนั้น...
กำแพงรอบๆ ห้องนี้ทึบ...แต่มีการเจาะเป็นช่องๆ ขนาดใหญ่ติดกระจกหนา เป็นแหล่งพลังงานให้แสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา เป็นเหตุให้ห้องนี้ไม่มืดอย่างที่ควรเป็น
การก่อสร้างหลักๆ มีหินที่ถูกตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ เป็นส่วนประกอบสำคัญ ราวกับเป็นความชอบส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งราคาคงไม่ธรรมดานัก ดูจากเฟอร์นิเจอร์ วัสดุ สไตน์การตกแต่งและการออกแบบแล้วบอกได้เลยว่าต้องเงินถึงจริงๆ จึงจะทำได้ ยิ่งเป็นห้องใต้ดินแบบนี้ด้วยก็ยิ่งต้องจ่ายสูง
ที่หล่อนสงสัยไปมากกว่านั้นคือ...ที่นี่มันที่ไหน ทัพไทมาค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นกับเขาถึงได้หายตัวไปหลายเดือนแล้วจู่ๆ ก็โผล่มาลากตัวหล่อนด้วยความจงใจ
"อยากรู้นักว่าพ่อของเธอมันจะเป็นยังไง ตอนที่รู้ว่าลูกสาวสุดที่รักคนเดียว มาตกอยู่ในมือฉันแล้ว...หึ หึ" วาจาน้ำเสียงที่เอ่ยถึงบิดาราวกับคับแค้นใจเอานักหนาทำให้ภาวนาหยุดหันไปมอง เขายิ้มมุมปากตะแคงใบหน้ามองหล่อน
"เสียใจกันมากไหมที่ฉันไม่ได้ตาย...อย่างที่พวกเธอต้องการ แปลกใจมากไหมที่ฉันกลับมาลากตัวเธอมาลงนรกจนได้...หืม"
"อาไทม์พูดเรื่องอะไร..."
"ยังมาทำหน้าไสซื่อได้สมจริงอีกนะภาวนา ไม่ต้องแล้วมั้ง...ถึงขั้นนี้แล้วไม่จำเป็นต้องทำเนียนเป็นสาวน้อยแสนดีแล้วล่ะ ฆ่าคนตายไปทั้งคน อีกคนก็เกือบตาย..." ปลายน้ำเสียงเน้นหนักดวงตาคมเข้มฉายแววอาฆาตน่ากลัว
"เอยไม่เข้าใจ อาไทม์หายตัวไปทุกคนตามหาแทบพลิกแผ่นดิน คุณปู่กับย่าภาเสียใจจนต้องเข้าโรงพยาบาลตั้งไม่รู้กี่รอบ...แล้วใครกันที่เกือบตาย..." หล่อนรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม เพราะถ้ามีเหตุเข้าใจผิดกันและมันแก้ไขได้นั่นก็หมายถึงหนทางรอดของหล่อน
"หือ...นี่อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้..." สีหน้าท่าทางจริงจังของหล่อนรวมถึงแววตาแสนสงสัยปนประหม่านั้นทำให้เขาเริ่มชั่งใจในสิ่งที่เชื่อมั่นมาก่อนหน้า
"อาหายไปไหนมา...เอย กับทุกคนเป็นห่วงอานะคะ เรากลับไปที่บ้านกันเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย"
"กลับบ้านเหรอ?!"
"ว้าย!" ใบหน้าคมกร้านห่างกับหล่อนแค่คืบในขณะที่เขาจับต้นแขนแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างกะทันหันเพียงหล่อนพูดประโยคนั้นออกไป
"กลับไปให้พ่อของเธอกับเธอ...เชือดฉันให้ตายตามเปรี้ยวไปงั้นสิ..."
"อาไทม์!!"
"จะบอกให้รู้ว่าฉันมันตายยาก...และถ้าฉันไม่ตายคนที่จะต้องอยู่เหมือนตายก็คือพวกเธอ!!”
"...เจ็บ!" มือเล็กพยายามแกะพันธนาการที่เปรียบเหมือนคีบเหล็กร้อนรัดต้นแขนของหล่อน อีกฝ่ายไม่ลดละสาดสายตาดุดันราวอยากจะเข่นฆ่าหล่อนเสียให้แดดิ้นอยู่ตรงนี้
"แค่นี้เจ็บงั้นเหรอ...แล้วสิ่งที่เปรี้ยวต้องเจอ ฉันต้องเจอ! มันควรเรียกว่าอะไร!"
"..." ภาวนามองหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องลี้หลบสายตาคมกล้านั้นด้วยไม่อยากปลุกเร้าโทสะของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก สิ่งที่หล่อนทำได้ในขณะนี้คือการอยู่ใต้อาณัติอย่างเงียบๆ
"เธอ...กับณราชจะต้องชดใช้ความเลวระยำที่ก่อเอาไว้!" เขาละมือออกจากการบีบจับต้นแขนของหล่อนแล้วล่าถอยออกมาเหมือนกลัวจะหักห้ามอารมณ์ทมิฬไม่ไหว ภาวนาอาจจะแหลกคามือเขาในพริบตาหากไม่รีบกดดับความขุ่นแค้นที่เดือดพล่านอยู่ในกาย
หญิงสาวเองก็รู้ตัวและรีบเดินออกห่างจากเขาพร้อมทั้งจับต้นแขนที่ถูกกำบีบเสียจนแทบหักวิ่น หายใจหอบถี่...