“พี่ไข่หวานคิดว่าคุณแม่ และคุณตาคุณยาย จะรู้ไหมคะว่าพวกเรากำลังลำบากอยู่”
บัณฑิตาประคองใบหน้างามของน้องสาวไว้ พลางทำหน้าที่เอ่ยปลอบแฝดน้องอีกครั้ง เพราะบุพการีทั้งสามท่านที่น้องสาวกล่าวถึงนั้น ได้สิ้นบุญไปรอพวกเธออยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว
“ไข่ตุ๋นจ๋า ฟังพี่นะ คุณตาคุณยายรวมทั้งคุณแม่ ท่านได้เฝ้ามองพวกเราทั้งสองคนในทุกวินาที และก็คอยให้กำลังใจเราสองคนพี่น้องในทุกวินาทีเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากไข่ตุ๋นอ่อนแอ ถ้าไข่ตุ๋นร่ำไห้ และท้อแท้ในการดำเนินชีวิต พี่เชื่อว่าท่านทั้งสามคนจะต้องไม่สบายใจ และเป็นห่วงพวกเราเป็นอย่างมาก ไข่ตุ๋นเลิกร้องไห้ได้แล้วนะ ไม่งั้นเสียงร้องไห้ดังสามบ้านแปดบ้านของไข่ตุ๋น จะดังไปถึงหูของพวกท่านบนสรวงสวรรค์ พลอยทำให้คุณตาคุณยาและคุณแม่ นอนตายตาไม่หลับนะไข่ตุ๋น”
พอพี่สาวเท้าความถึงวีรกรรมในสมัยเด็กๆ ของตนเอง บุญธิสาก็ตีหน้าม่อย เอ่ยค้านพี่สาวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก
“พี่ไข่หวานก็พูดเกินไป ไข่ตุ๋นไม่ได้ร้องไห้เสียงดังขนาดนั้นสักหน่อย”
“ใครว่าล่ะ” บัณฑิตาย้อนกลับกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงสดใสเต็มไปด้วยความสุข “คุณตาบอกว่าไข่ตุ๋นนะแสบกว่าพี่มาก ไข่ตุ๋นปอดดีที่สุด กระบังลมดีที่สุด เวลาตะโกนร้องไห้ที คุณตาคุณยาย ต้องรีบเดินหนีไปในสวนหลังบ้านแทบทันที ท่านบอกพี่ว่าถ้าไข่ตุ๋นไม่เลิกร้องไห้ คุณตากับคุณยายก็จะไม่กลับเข้าบ้านเป็นเด็ดขาด ไม่งั้นมีหวังแก้วหูแตกไปตามๆ กัน”
พอพี่สาวพูดถึงเรื่องความแสบซนของตนเองในยามเยาว์วัย อีกทั้งยังนึกถึงสีหน้าแววตาของคุณตาคุณยาย ที่มักจะส่ายหน้าราวกับระอา เวลาเธอแผลงฤทธิ์อาละวาดบ้านแทบพัง บุญธิสาก็หัวเราะคิกด้วยความขบขำ พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความสุขใจไม่แพ้กัน
“พี่ไข่หวานรู้ไหมคะว่าไข่ตุ๋นชอบที่สุด ที่คุณตาตั้งฉายาให้ไข่ตุ๋นว่าเจ้าของเสียงร้องไห้สามบ้านแปดบ้าน เวลาได้ยินคุณตาพูดถึงฉายานี้ ไข่ตุ๋นรู้สึกได้ว่าคุณตาและคุณยายรักไข่ตุ๋นมาก”
“ใช่แล้วจ้ะ คุณตาบอกว่าท่านรักไข่ตุ๋นมาก อืม...รักมากกว่าพี่ด้วยซ้ำไป เพราะไข่ตุ๋นชอบหาเรื่องให้คุณตาปวดหัว และลงท้ายด้วยการหัวเราะขบขำกับลูกอ้อนของไข่ตุ๋น ที่สามารถละลายความโกรธออกไปจากใจของคุณตาได้อย่างรวดเร็ว”
บัณฑิตาเอ่ยยิ้มๆ สีหน้าและแววตา อีกทั้งน้ำเสียงที่เอื้อนวาจาออกมา ไม่มีวี่แววว่าอิจฉาริษยาในตัวน้องสาว ที่ได้รับความรักจากคุณตามากกว่าตัวเธอ
ส่วนบุญธิสา พอได้ยินพี่สาวพูดออกมาเช่นนั้นก็ไม่สบายใจเล็กน้อย หญิงสาวเงยใบหน้างามทอดมองแฝดพี่แสนสวย พลางเอ่ยถามต่อ
“พี่ไข่หวาน เอ่อ...ไม่อิจฉา ไม่น้อยใจหรือคะ ที่คุณตารักไข่ตุ๋นมากกว่าพี่ไข่หวานนะคะ”
บัณฑิตาอมยิ้มขณะส่ายหน้าปฏิเสธ จากนั้นก็เอ่ยบอกถึงความลับที่น้องสาวไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
“ไม่โกรธเลยจ้ะ เพราะคุณยายกระซิบบอกพี่ว่าคุณยายรักพี่มากกว่าไข่ตุ๋นเหมือนกันจ้ะ”
“โอเค ถ้างั้นก็ถือว่าเจ๊ากันนะพี่ไข่หวาน”
บุญธิสาแสร้งเอ่ยตอบเสียงเข้ม ทว่าในน้ำเสียงนั้นไม่มีแววโกรธพี่สาวเช่นเดียวกัน จากนั้นสองพี่น้องก็หัวเราะร่วนสวมกอดกันไว้แน่นด้วยสายใยแห่งรักที่มักจะมอบให้แก่กันเสมอ
บัณฑิตาปล่อยให้น้องสาวสวมกอดอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะดันกายออกห่างเล็กน้อย แล้วยกนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กมองเวลา ก่อนจะเอ่ยบอกแฝดน้อง
“พี่ต้องไปทำงานแล้วนะไข่ตุ๋น พี่ทำอาหารเก็บไว้ให้ในตู้เย็นแล้ว ถ้าหิวก็เอามาอุ่นกินก่อนไปทำงานนะ”
บุญธิสายกนาฬิกาข้อมือราคาถูกแสนถูกของตนเองมามองเวลาบ้าง พลางถอนหายใจเฮือกๆ แล้วเอ่ยตอบพี่สาวอย่างคนเกียจคร้าน
“เฮ้อ...คงไม่มีเวลากินข้าวแล้วค่ะ อีกสามสิบนาที ไข่ตุ๋นก็ต้องไปสแกนนิ้วเข้าทำงานเหมือนกันค่ะ”
“ถ้างั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ ดึกๆ ค่อยเจอกันอีกที ถ้าวันนี้โชคดีได้ทิปมาบ้าง พี่จะซื้ออาหารไทยที่ไข่ตุ๋นชอบมาฝากนะจ้ะ”
“ค่ะพี่ไข่หวาน” บุญธิสาสวมกอดร่างบางระหงของพี่สาวไว้อีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมปฏิเสธในสิ่งที่พี่สาวได้เอ่ยบอกมา
“พี่ไข่หวานไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกค่ะ ไข่ตุ๋นเสียดายเงิน เก็บไว้เป็นค่าตั๋วเครื่องบินดีกว่านะคะ”
ในยามนี้เงินทองทุกบาททุกสตางค์มีค่ากับเธอและพี่สาวมากที่สุด เธอจะต้องประหยัดตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ทุกอย่างออกไปให้หมด
เมื่อร่างบางอรชรของพี่สาวเดินออกไปจากห้องพักแล้ว บุญธิสาก็นั่งจ้องมองกองเหรียญ ธนบัตร รวมทั้งซากออมสินรูปช้างที่ตนเองอุตริทุบเสียเละ เพื่อนำเงินออมมานับว่ามีเท่าไรแล้ว และเมื่อความจริงแล่นเข้าสู่โสตประสาท หญิงสาวก็ยกมือเขกหัวตัวเองหนักๆ ให้สมกับความโง่เขลาอันใหญ่โต
“ไข่ตุ๋นนะไข่ตุ๋น ทุบเจ้าช้างน้อยแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี แล้วเธอจะเอาออมสินจากไหนมาไว้หยอดเหรียญละทีนี้”
เจ้าของใบหน้างามบ่นอุบกับความโง่เขลาของตนเอง จากนั้นก็โกยเศษช้างน้อยสีชมพูหวาน ที่ถูกทุบซะเละทั้งงวงทั้งหาง และลำตัวแตกละเอียดไปทิ้งลงถังขยะ พอหันกลับมามองกองเหรียญและธนบัตร ซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่กลางเตียงนอนเล็ก ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ ด้วยความหนักใจ จากนั้นก็คว้าธนบัตรทั้งหมดมากำไว้แน่น พร้อมกับหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาสวมทับร่างกายป้องกันอาการหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้อง เพื่อไปดิ้นรนใช้แรงงานเสาะแสวงหาคำว่า เงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิตของใครต่อใครหลายคนไปแล้ว
บุญธิสาเดินกอดอกมอบความอบอุ่นให้กับตนเอง เมื่อเดินออกมาจากคอนโดที่พักแล้วต้องกับลมหนาวเย็นของอากาศในยามพลบค่ำ ที่เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมแผ่นดินประเทศฮาริยาพร้อมๆ กับพระสุริยาที่ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
ในช่วงสองสามเดือนแรก ที่มาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินผืนนี้ เธอและพี่สาวปรับตัวกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันไม่ได้ เพราะตอนพระสุริยาสาดส่อง แผ่นดินแห่งนี้จะร้อนระอุแทบไหม้ แต่พอพระสุริยาเริ่มอัสดงลาลับขอบฟ้าทีละเล็กทีละน้อย ลมหนาวเย็นก็เริ่มเคลื่อนตัวมาแทนที่ความร้อนระอุเช่นเดียวกัน ส่งผลให้สองพี่น้องจากแผ่นดินประเทศไทย ซึ่งไม่คุ้นเคยกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันภายในวันเดียว ถึงกับผลัดกันล้มป่วยเป็นว่าเล่น