เจ้าสัวพริ้มตา ในทันทีที่วิไลครอบริมฝีปากอวบอิ่มลงมาเขมือบส่วนปลายสีแดงก่ำ
พอโดนปลายลิ้นแตะต้อง ไล้เลียดูดดุน สีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มในทันที เพราะโลหิตที่แล่นล้อมเข้ามาคัดคั่งอยู่ในแท่งแข็ง
“อูยยยย...เสียว...”
เจ้าสัวคราง
วิไลรีบปล่อยทีเด็ด ใช้ปลายลิ้นไล้เลียตวัดรอบๆ รอยคอดหยักจนน้ำหล่อลื่นของสามีปริ่มเล็ดออกมาเต้นหมุบๆ ตรงรอยแยกรูปดวงตาน้อยๆ ก่อนจะทะลักออกมาโดนหน้าหล่อน
วิไลตวัดลิ้นไล้เลียเมือกเหนียวและคาวโดยไม่ได้รังเกียจ ก่อนจะครอบริมฝีปากรับความยาวใหญ่ ค่อยๆ เขมือบลึกเข้ามาถึงคอหอย
อั้ก...
เจ้าสัวเริ่มแอ่นสะโพกโยกกระเด้าขึ้นมาเบาๆ รับริมฝีปากอิ่มที่ครอบลึกลงมาดูดเลียความแข็งแกร่ง
“ใหญ่มากค่ะ...”
หล่อนยอมรับว่าตื่นเต้นทุกครั้ง ไม่ชินกับความใหญ่โตของสามีคนนี้เสียที ค่อยๆ ถอนริมฝีปากเปียกเยิ้มออกมาตะแคงใบหน้าดูดเลียท่อนเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย
“อ่า...สะ...เสียว...ลีลาเธอเด็ดจริงๆ”
เจ้าสัวพริ้มตา ริมฝีปากห่อรัดเป็นรูปวงกลม เสียวจนต้องหยัดสะโพกขยักยกขึ้นหาริมฝีปากของภรรยาที่ครอบรัดลงมาอย่างเร่าร้อนรุนแรง
“อูย...สะ เสียว”
เสียงครางของเจ้าสัวทำให้วิไลรีบกดริมฝีปากลึกลงมาตามดุ้นลำเท่าที่หล่อนจะทำได้ แต่ไม่มีทางถึงโคนอย่างแน่นอน
“โอ้ว...จะแตกแล้ว”
ใบหน้าของเจ้าสัวบิดเบ้ ขณะเรียวลิ้นนุ่มอ่อนไล้เลียรอบๆ รอยคอดหยักของส่วนปลายแดงก่ำ
บางครั้งก็ปาดเช็ดลงมาตามแท่งร้อนผ่าว เมื่อสุดโคนก็เขมือบลูกเงาะสีดำเข้ามาดูดดุนในอุ้งปาก
“อ๊ากกก...อูย”
สองมือของเจ้าสัวขยุ้มศีรษะวิไลเอาไว้แน่น แอ่นบั้นท้ายกระเด้ารับขึ้นมารับริมฝีปากครอบดูดแท่งเนื้อหนุบหนับลงมาถึงโคนพวงสวรรค์ ก่อนจะตวัดลิ้นไล้เลียลูกเงาะสองใบที่เชื่อมอยู่กับโคนแท่งเนื้อนั้นอีกครั้ง
“วันนี้ขอแตกในปากนะจ๊ะ”
เจ้าสัวหน้าบูดหน้าเบี้ยวบอกหล่อน
“เต็มที่เลยค่ะท่าน”
วิไลเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขา
จากนั้นเจ้าสัวธนาก็ส่งสัญญาณด้วยอาการกระตุกตุบของดุ้นเสียวอยู่ครู่สั้นๆ
“อา...”
เสียงครวญครางถูกขับออกมา จากนั้นสองมือก็กดศีรษะของภรรยา โน้มลงมารับลำเอ็นที่กระเด้ารัว ความแข็งแกร่งเสียดสีกับกลีบปากนุ่ม เข้าๆ ออกๆ นับครั้งไม่ถ้วน เมือกคาวของความใคร่ หลั่งชุ่มเจิ่งนองอยู่ในอุ้งปากของวิไล
“อ๊ากกกก...ซี้ด”
เจ้าสัวคราง น้ำรักพวยพุ่งเข้าใส่อุ้งปากของวิไล
หล่อนกลืนกินความรักสีขาวข้นราวกะทิของสามีทุกหยาดหยดอย่างไม่นึกรังเกียจ
“เธอนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ...”
เจ้าสัวเอ่ยชม หมายถึงหล่อน ‘เก่ง’ เพราะวิไลทำแบบนี้กับเจ้าสัวมาตั้งแต่ครั้งที่เริ่มใช้ชีวิตร่วมกันใหม่ๆ เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสัวหลั่งน้ำรักเอาไว้ในปาก...วิไลจะกลืนกินทุกหยาดหยดของเขาจนไม่เหลือ
ในเวลาต่อมา
ขณะรถของเจ้าสัวธนากำลังเคลื่อนออกไปจากลานจอดรถที่หน้าบ้าน จู่ๆ สายตาก็พลันปะทะเข้ากับเรือนร่างสะดุดตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเดินออกไปจากประตูบ้านพร้อมกับหญิงสาววัยกำดัด
เจ้าสัวย่นหน้าผากสงสัย ถ้าสังเกตจากหน้าตาสะสวยสะดุดตาซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกัน ก็พอจะเดาได้ว่าสองคนนี้ต้องเป็นแม่กับลูกอย่างแน่นอน
“นั่นใครน่ะ”
เจ้าสัวธนาถามลุงดำซึ่งเป็นคนขับรถประจำตัว
“อ๋อ...ผู้หญิงคนนี้มาสมัครเป็นคนรับใช้ครับนาย...แต่คุณชุลีไม่รับ”
ลุงดำกล่าวไปตามที่รู้มาจากปากของป้าชื่นผู้เป็นภรรยา
“อ้าว...ทำไมไม่รับ”
เจ้าสัวธนาสงสัย มองจนเหลียวหลัง ผู้หญิงคนนี้สวยสะดุดตาเหลือเกิน ผิวพรรณแลดูสะอาดสะอ้านเปล่งปลั่งหมดจดงดงาม
“นังชื่นเมียผมบอกว่าผู้หญิงคนนี้สวยเกินไป...ไม่เหมาะที่จะเป็นคนรับใช้ครับนาย”
ลุงดำกล่าวติดตลก
เจ้าสัวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลุงดำ
“ใช่...สวยจริงๆ ด้วย...หยุดรถ”
เจ้าสัวพึมพำ ก่อนจะสั่งเสียงดังจนลุงดำตกใจ
“เธอ...บ้านอยู่ทางไหน...ฉันจะไปส่งให้”
เจ้าสัวลดกระจกลงมาถาม ส่งยิ้มทักทายสองแม่ลูก
“อยู่ท้ายซอยในตลาดค่ะ”
ผู้หญิงคนนี้ชื่อคนางค์ หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทั้งที่รู้สึกเกรงใจคนที่อยู่บนรถหรูราคาหลายสิบล้าน แต่แสงแดดที่สาดความร้อนแรงจนแลเห็นสายเหงื่อไหลรินลงมาจากไรผมของลูกสาวหล่อน ก็ทำให้จำต้องติดรถของเจ้าสัวธนามาจนถึงตลาด
“เธอยังอยากทำงานมั้ย”
เจ้าสัวถามตอนที่คนางค์กำลังจะพาลูกสาวลงจากรถ
“งาน...”
คนางค์อึกอัก
“ใช่...ก็เธอเพิ่งเข้าไปสมัครเป็นคนรับใช้ในบ้านฉัน”
“อ๋อ...ค่ะ อยากค่ะ...”
คนางค์ตอบไม่อ้อม ทุกวันนี้ทางเลือกในชีวิตของหล่อนเหลือน้อยเต็มที หลังจากสามีเสียชีวิตลงด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความเครียดเรื่องหนี้สินและโรมหัวใจรุมเร้า หล่อนกับลูกสาวก็ต้องต่อสู้ชีวิตกันมาอย่างยากลำบาก ไม่นานบ้านก็โดนยึด สุดท้ายต้องพาลูกระหกระเหินมาเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่ที่ท้ายซอยในตลาด
กระทั่งคนางค์ได้เจอกับป้าชื่นในวันหนึ่ง ป้าชื่นรู้สึกสงสารคนางค์กับลูกสาว เลยชักชวนให้มาสมัครงานเป็นคนรับใช้ในบ้านของท่านเจ้าสัว
“โอเค...ถ้าเธออยากทำงาน พรุ่งนี้มาทำได้เลย”
เจ้าสัวสรุปสั้นๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสะสวยและทรวงอกอวบใหญ่ของคนางค์
“ท่านพูดจริงหรือคะ”
คนางค์ตกใจ
“จริงสิจ๊ะ...”
เจ้าสัวตอบเสียงหวาน
คนางค์รีบยกมือไหว้
“ขวัญ...ไหว้ท่านสิจ๊ะลูก”
คนางค์หันมาสะกิดบอกลูกสาวซึ่งมีชื่อจริงว่า ‘พลอยขวัญ’ หญิงสาวรีบยกมือไหว้ท่านเจ้าสัวธนา
“ชื่อขวัญหรือเรา...”
เจ้าสัวยิ้มเอ็นดูสาวน้อยใบหน้าสะสวย ถอดรูปมาจากคนางค์ผู้เป็นมารดาไม่มีผิดเพี้ยน
“หนูชื่อพลอยขวัญค่ะ”
หญิงสาวตอบ
จากนั้นสองแม่ลูกก็พากันก้าวลงจากรถ ยืนมองส่งจนรถเบนซ์คันหรูสีทองอร่ามวิ่งฝ่าไปท่ามกลางประกายแสงแดดของยามสาย กระทั่งลับไปจากสายตา คนางค์จึงหันมากล่าวกับลูกสาว
“หนูจะได้เรียนจนจบอย่างแน่นอน...ถ้าได้ทำงานที่บ้านเจ้าสัว แม่ก็จะมีเงินเดือนมาจ่ายค่าเทอมให้หนู”
เสียงของคนางค์มีความหวัง เอื้อมมือข้างหนึ่งมาแตะแขนของพลอยขวัญผู้เป็นลูกสาว
วันนี้โชคเข้าข้างหล่อน ใครเลยจะคิดว่าความหวังที่ริบหรี่ลงไปแล้วเมื่อครู่ หลังจากภรรยาของท่านเจ้าสัวปฏิเสธที่จะรับหล่อนเข้าทำงาน จู่ๆ ก็เหมือนมีแสงเรืองรองของความหวังผุดวาบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความกรุณาปรานีของเจ้าสัวธนาผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์
วันรุ่งขึ้น
คนางค์มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ของเจ้าสัวธนาตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนั้นเจ้าสัวยังไม่ออกไปทำงานเลยด้วยซ้ำ
ป้าชื่นไม่ตกใจที่เห็นคนางค์มาทำงาน เพราะลุงดำผู้เป็นสามีเล่าเรื่องของคนางค์ให้ฟังแล้ว แต่คนที่ตกใจกลับกลายเป็นชุลี ภรรยาของเจ้าสัว
“เมื่อวานฉันคิดว่าได้พูดชัดเจนแล้วนะว่าไม่รับ”
ชุลีเสียงแหว เดินลิ่วออกมาจากห้องรับแขกเมื่อเห็นป้าชื่นกำลังพา คนางค์เดินแนะนำให้รู้จักส่วนต่างๆ ของบ้าน และแจกแจงงานซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของคนใช้