15 นาทีต่อมา...
ทั่วบริเวณชั้นสีของอพาร์ทเม้นต์เต็มไปด้วยผู้เช่าพักห้องอื่นๆภายในชั้นเดียวกัน แม่บ้านดูแลตึก รวมถึงตำรวจหลายนายที่พากันมายังที่เกิดเหตุหลังจากฉันรีบโทรหาหมวดยูเพื่อให้เข้ามาดูสถานการณ์
ฉันทำคดีมาหลายหลากแล้ว เห็นเลือดหรือศพคนตายจากเหตุฆาตกรรมมาก็หลายหน แต่ว่าครั้งนี้มันโหดร้ายเกินไป แม้ไม่ได้เกิดขึ้นกับมนุษย์ แต่กับสัตว์มันก็ดูไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับเสียงเคาะและเสียงขูบเล็บกับบานประตูนั่น
“โอเคขึ้นหรือยังคะ?” เสียงเข้มของผู้ชายทักถามขึ้นโดนที่แขนของเขายังกอดรัดกายฉันไม่ปล่อยไปไหน
เขาคือนายอสุรา ใช่! นายอสุราคือผู้ชายคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นบริเวณทางเดินชั้น 4 หลังจากฉันกรี้ดออกมาอย่างสุดเสียง
ช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้สนใจอย่างอื่นรอบตัวเลย เขาวิ่งตรงมาที่หน้าห้องดันฉันเข้าไปข้างในแล้วกอดเอาไว้ จนถึงตอนนี้ตอนที่สถานที่เกิดเหตุเต็มไปผู้คนเขาก็ดูท่าไม่ยอมปล่อยฉันออกจากอ้อมกอดง่ายๆ
“เหตุเกิดเวลากี่โมงแม่หนู จำหน้าคนร้ายได้หรือเปล่า” เสียงของตำรวจนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้น หลังจากวุ่นวายกับการถามไถ่ผู้คนที่พากันมามุงดูสถานที่เกิดเหตุรวมถึงจัดการเก็บศพลูกแมวสภาพอเน็ดอนาถใส่ถุงดำเพื่อเอาไปทำลายทิ้ง
ฉันได้แค่ส่ายหน้าและให้คำตอบตามสภาพเหตุการณ์จริง
“น่าจะสักประมาณสี่โมงนิดๆค่ะ” อาจด้วยเพราะเขาเป็นนายตำรวจใหม่ และคาดว่าน่าจะไม่เคยทำงานในพื้นที่มาก่อน คำพูดคำจาของเขาที่ใช้จึงเหมือนกับว่า ฉันเป็นเด็กผู้โชคร้ายที่เจอเรื่องน่ากลัวจากพวกกลจริต แต่อย่างที่บอกช่วงนี้คดีเกี่ยวกับเด็กมันล้นจนเกลื่อนเมือง การที่มีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นกับเด็ก(ที่เขาคิดว่าเป็นเด็กจริงๆ) ทำให้การสอบปากคำผู้ร่วมพักอาศัยภายในอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ไม่จบลงง่ายๆ
“พวกคุณไม่พบใครท่าทางน่าสงสัยบ้างเลยเหรอครับ?” ตำรวจนายเดิมหันไปถามผู้เช่าตึกคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็เอาแต่ส่ายหน้า เช่นเดียวกับฉันในตอนแรก ก่อนเบี่ยงความสนใจมายังนายอสุราที่กอดฉันไม่ยอมปล่อย “แล้วคุณล่ะ มาถึงที่เกิดเหตุคนแรกเลยไม่ใช่หรือไง เจออะไรน่าสงสัยบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ...ผมไม่เห็นอะไรเลย” เขาให้ปากคำกับตำรวจแบบนั้น ส่วนสายตาก็หลุบมองหน้าฉันคล้ายกับเป็นห่วง
โอเค เขาเป็นห่วงอันนี้ก็เข้าใจ แต่ไอ้ที่กอดไม่ปล่อยแบบนี้ มันก็ดูจะมีนัยยะแอบแฝงเกินไปหน่อย ยิ่งด้วยก่อนหน้าเกิดเหตุสะเทือนขวัญ เขาก็เพิ่งจะ...
‘ตอนแรกอ่ะบังเอิญ แต่ที่ทำเมื่อกี้...พี่จงใจ’
“ปะ ปล่อยหนูได้แล้ว...” อาการวูบร้อนที่เกิดขึ้นข้างแก้มอีกยามนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ทำฉันดิ้นขลุกขลักและพยายามใช้มือผลักตัวเขาออกห่าง แต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ ยังพูดจาเอาแต่ใจแสดงนัยยะแอบแฝงของตัวเอง
“ปล่อยไม่ได้ค่ะ ต้องกอดเรียกขวัญแบบนี้ก่อน...” แต่ครั้งนี้เขาไม่ทันได้พูดจบ เสียงของใครอีกคนก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ถ้าคุณไม่ปล่อยปล่อยเด็กคนนั้น ผมก็คงต้องเชิญตัวคุณไปลงบันทึกประจำวันแบบครั้งก่อนนะครับคุณอสุรา”
เสียงนอบน้อมแต่ยามนี้ดูขึงขังสมหน้าที่ ทำคนฟังค่อยๆปล่อยปล่อยวงแขนที่กอดตัวฉันไว้ออกอย่างช้าๆ เบนสายตาไปยังเจ้าของเสียงเฉกเช่นเดียวกับที่ฉันทำก่อนพบเข้ากับนายตำรวจชุดเดียวกับกรมตำรวจที่ฉันทำงานอยู่ เดินตรงเข้ามาภายในห้องเกิดเหตุ
“สวัสดีครับผู้หมวด!” นายตำรวจคนแรกที่เข้ามาดูแลที่เกิดเหตุรีบยกมือตะเบ๊ะใส่หมวดยูทันทีที่เขาเข้ามาถึง
“คดีนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณช่วยให้ความร่วมมืออย่างเดียวก็แล้วกัน”
“ได้ครับผู้หมวด!”
ตึก...
เมื่อเห็นหมวดยูปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ฉันจึงไม่รอช้ารีบหาทางปลีกตัวออกห่างจากนายอสุราวิ่งตรงเข้าไปสวมกอดเอวหมวดยูแทบจะทันที อาศัยจังหวะในช่วงที่นายตำรวจรายเดิมก้าวเท้าออกไปสอบปากคำผู้คนนอกด้านนอกอีกครั้ง กระซิบกระซาบถามหมวดยูเสียงเรียบ
“ทำไมถึงได้มาช้านักล่ะยู” แต่แล้วความไวของหางตาจะสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างซึ่งติดมากับเสื้อสูทตัวนอก อะไรอย่างเช่นขนแมวสีขาวออกครีม
แบบเดียวกับศพของลูกแมวที่ถูกฆ่าหน้าห้องนั่นล่ะ
“ผมมัวแต่วุ่นกับคดีลูกแมวมูลค่าหลายแสนหายไปจากงานประกวดน่ะ...”
“แมวหายเหรอ?” ฉันเงยหน้ามองหน้าหมวดยูเล็กน้อย
“ครับ ลูกแมวเปอร์เซีย ลูกแมวที่เป็นตัวเก็งในกองประกวดน่ะครับ มันหายไป กว่าจะหาตัวเจอเล่นเอาวุ่นกันไปหมด” ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพราะในหัวกำลังเริ่มคิดถึงภาพศพลูกแมวหน้าห้องเมื่อไม่กี่นาทีก่อน จริงอยู่ที่แมวตัวนั้นกับขนที่ติดเสื้อนอกของยูจะมีลักษณะสีคล้ายกัน ถึงอย่างนั้นสภาพของศพลูกแมวกับขนที่ติดอยู่บนเสื้อของยูก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าแมวตัวดังกล่าวเป็นตัวเดียวกัน
“ฮัดชิ้วววว!” เสียงจามของคนตัวใหญ่ตรงหน้าทำฉันหลุดจากภวังค์ความคิด ช้อนตามองหน้าคนตัวสูงเบื้องหน้า ก่อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จังหวะเดียวกับที่หมวดยูเองก็พูดขึ้นเช่นกัน “ให้ตายสิ วันนี้ผมคงต้อง...ฮะ ฮัดชิ้ววว! ซัดยาแก้แพ้เป็นกระปุกอีกแน่ๆ”
และใช่! หมวดยูเป็นพวกแพ้ขนแมวขั้นรุนแรง เขาเป็นแบบนี้มานานนับตั้งแรกครั้งแรกที่เรารู้จักกัน
“เพราะมีขนแมวติดเสื้อนอกของนายอยู่ยังไงล่ะ นายถึงได้จาม” ฉันกระซิบว่าพลางใช้มือหยิบขนเส้นเล็กออกจากเสื้อนอกของเขา ก่อนต้องรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆจากด้านหลัง พลันต้องรีบเหลือบมองไปยังต้นสายปลายเห็นและพบว่า นายอสุราที่คล้ายกับถูกลืมไปชั่วขณะกำลังยืนกอดอก หรี่ตาเพ่งจ้องมายังเราทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“หมวดยู ตามแผน...” เมื่อรู้ว่าถูกมองฉันจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยระดับเสียงซึ่งมีเพียงเราเท่านั้นที่ได้ยิน และนั่นจึงทำให้หมวดยูเริ่มให้ความร่วมมือทันที
“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวน้าจะย้ายมาอยู่กับหนูที่นี่” หมวดยูพูดพลางใช้มือลูบผมฉันไปด้วยราวกับตั้งใจปลอบขวัญเด็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ในอาการหวาดกลัวก่อนเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจังกับการทำงาน “ผมทราบมาว่าคุณอสุราคือคนที่เข้ามาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรกถูกไหมครับ”
“อา...ฮะ” ฉันไม่ได้หันไปมองนายอสุราตอนที่เขาให้คำตอบยูหรอก เพียงแค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้สึกได้ถึงความยียวนชวนทะเลาะได้ชัดเจนจนพอเดาได้ว่าสีหน้าเขายามนี้ก็คงไม่ต่างจากเสียงเท่าไหร่
“คุณเห็นใครมีท่าทางแปลกๆ เดินสวนออกไปบ้างหรือเปล่า?”
“ก็ไม่นี่” ให้ตายสิ! เขาจะตอบคำถามแบบปกติไม่ได้เลยหรือไง?
“งั้นถ้าคุณไม่เกี่ยวข้องอะไรกับที่เกิดเหตุหรือเด็กคนนี้ ผมต้องขอรบกวนคุณออกไปจากที่นี่ด้วย…” สุดท้ายฉันก็อดไม่ไหวจำต้องเหลียวกลับไปมองคนฟังเพื่อดูท่าที ก่อนต้องพบว่าสีหน้าของเขาในตอนแรกที่เคยดูไม่สบอารมณ์ตอนนี้ยิ่งดูไม่พอใจรุนแรงขึ้นยิ่งกว่าเก่า ยามถูกไล่ “ผมมีเรื่องต้องสอบปากคำช่วงเวลาเกิดเหตุของเด็กคนนี้ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมอยากให้คุณช่วยออกไปรวมกับผู้เช่าอพาร์ทเม้นต์รายอื่นด้านนอกห้องด้วย”
“ทำไมผมถึงต้องออกไป ในเมื่อผมเป็นคนเข้ามาในที่เกิดเหตุคนแรก?” ส่วนนั่นคงเป็นคำตอบของเขาซึ่งฟังคล้ายกำลังแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง โดยขณะเดียวกันก็แสดงความเอาแต่ใจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำถามต่อมา “หรือคุณมีความลับ จำเป็นต้องคุยกันสองต่อสอง จนคนถึงที่เกิดเหตุคนแรกแบบผมฟังด้วยไม่ได้?”
หมวดยูกัดฟันกรอดหลังถูกเด็กหนุ่มยอกย้อน ส่วนฉันก็ได้แค่กำกระชับเสื้อตัวนอกบริเวณด้านหลังเขาเอาไว้ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นก่อนส่งเสียงกระซิบ
“ให้เขาฟังด้วยก็ได้...” รู้ได้ว่าหมวดยูยอมอ่อนลงเมื่อได้ฟังแบบนั้น “ถ้าเขาต้องการจะจับผิด เราก็โชว์ความบริสุทธิ์ใจจอมปลอมกลับไป”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าคุณอยากฟังด้วยก็ตามใจ” ยูเป็นคนฉลาด เขารีบตอบโต้คำถามนายอสุราทันทีโดยไม่ทิ้งช่วงไว้นานจนผิดสังเกต ขณะเดียวกันนั้นฉันก็ค่อยๆ คลายกอดที่โอบรอบกายเขาออกไปด้วยเช่นกัน
“งั้นน้าจะเริ่มสอบปากคำหนูเลยก็แล้วกันนะครับ”
“อื้อ”ฉันพยักหน้ารับคำพูดของหมวดยูอย่างไม่ต้องสงสัย มองอีกฝ่ายย่อตัวลงนั่งจนระดับสายตาของเราอยู่ในระนาบเดียวกัน คงการแสดงเพื่อกุมความลับไว้อย่างแนบเนียน ทว่า ตอนนั้นเอง น้ำเสียงฉุนเฉียวคล้ายกับไม่พอใจก็ดังขึ้นอีก
“จะนั่งจ้องตา สอบปากคำตรงนั้นให้มันได้อะไรเล่าคุณตำรวจ!?” มันคือเสียงชวนหาเรื่องของผู้ชายคนเดิม พลอยให้เราทั้งคู่ต้องหันขวับมองไปยังเจ้าของเสียง ที่เวลานี้ทำตัวประหนึ่งเป็นเจ้าของห้อง เดินไปยังโซฟาส่วนปากก็ยังพูดด้วยโทนเสียงเดิม “มานั่งเรียงหน้ากระดานกันตรงนี้ดีกว่า”