เวลาต่อมา...
อพาร์ทเมนต์ S
ตึก... ตึก...
สุดท้ายแพลนการเข้าไปนั่งดูหนังเอาใจเด็กก็เป็นอันต้องพังลง เพราะสิ่งที่ทำอยู่จริงๆในช่วงเวลาที่หนังเริ่มนั้นคือการพาเด็กทร่มาด้วยกันกลับสู่ที่พัก พูดง่ายๆก็คือเสียงเงินค่าตั๋วหนังฟรีก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เสียเปล่า
เพราะอย่างน้อยการได้ถูกกอด มันก็คุ้มค่าเกินค่าตั๋วหนังอยู่พอดูเหมือนกัน แถมวันนี้นี้ผมยังมีโอกาสใกล้ชิดเธอมากกว่าครั้งไหน ถ้าจำไม่ผิดราวๆ 10 วินาทีได้มั้งที่เทียนยอมให้ผมจับมือ ก่อนจะสะบัดออกไปให้ความสนใจกับสิ่งรอบกาย ถามว่าเสียดายไหม บอกเลยว่าไม่ เพราะที่ได้มามากกว่าการจับมือก็คงเป็นการอุ้มเธอมาขี่หลังนี่แหละ...
ใช่! ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังถูกผมแบกไว้ที่หลัง ด้วยเพราะท่าทางเธอดูเหนื่อยหลังจากผ่านนาทีฉุกเฉินของโจรปล้นธนาคาร ผมจึงทำตัวเป็นคนดี อาสาแบกเธอขึ้นหลังแล้วพามาส่งห้อง แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูไม่ค่อยสมยอมเท่าไหร่ก็เถอะ
ซึ่งการที่เธอทำแบบนั้นมันกำลังทำให้ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีกครั้ง
ตึก...
“ยังกลัวอยู่หรือเปล่า?”
ผมถามขึ้นขณะเท้าเดินไปตามโถงทางเดินชั้น 4 ของอพาร์ทเม้นต์ที่พักอาศัยโดยยังแบกคนตัวเล็กไว้บนหลัง
“ไม่ค่ะ ไม่กลัวแล้ว...” ยัยจิ๋วตอบเสียงอ่อนคล้ายกับยังหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันจะผ่านมาได้เกือบ 30 นาทีจนกระทั่งเท้าผมหยุดลงบริเวณหน้าห้องพักของกันและกัน เสียงของเธอยังฟังดูไม่สดใสแบบตอนแรก “ปล่อยหนูลงสักที หนูเดินเองได้ค่ะ...”
แต่ยังคงมีถ้อยคำเดิมๆ สำหรับใช้เพื่อป้องกันภัยให้ตัวเองอยู่ดี...
แต่เพราะว่าตอนนี้เราทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักของกันและกันแล้ว ผมจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องดื้อด้านต่อไป จำต้องย่อตัวลงเพื่อให้คนตัวเล็กกระโดดลงจากหลังตามอย่างที่เธอต้องการมาตลอด พลางเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อดูท่าที และเหมือนเธอจะรู้ตัวจึงได้ใช้มือขยี้ตาเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ด้วยท่าทางที่ดูง่วงนอน
“ขอบคุณนะคะ...ที่ช่วยหนูวันนี้…หาวว” คำพูดที่เหมือนพยายามจบบทสนทนาระหว่างเราทำผมเงียบไป อยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้เธอจะทำอย่างไรต่อ
คนตัวเล็กยิ้มนิดๆ มุมปากคล้ายกับคนไม่มีอะไรจะพูด ก่อนหันไปจัดการใช้กุญแจห้องไขปลดล็อกกลอนประตู สายตาเวลานี้เปรียบเสมือนกล้องถ่ายรูปที่จับโฟกัสทุกท่วงท่าและอากัปกิริยาอีกฝ่ายแบบไม่ให้คาดเคลื่อน ตั้งแต่ท่าจับกุญแจ ท่าทางการไขกุญแจ สีหน้า และท่าทาง
แต่ไม่นาน ความที่เทียนดูเป็นเด็กฉลาดและไหวพริบดีเกินตัว มันเลยทำให้เธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาล่ะมั้ง เพราะเมื่อสิ้นเสียงปลดล็อกกลอน เด็กหญิงตัวเล็กก็เหลือบมองผมอีกครั้ง ใบหน้าน่ารักของเธอกำลังยิ้มราวกับเป็นการส่งท้าย ดูขัดกับแววตาที่ใช้มองตอบกลับมา
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่ขา...ถ้าไม่ได้พี่ วันนี้หนูต้องแย่แน่ๆ” พอได้ฟังเธอพูด ในหัวมันก็ดันนึกถึงภาพเหตุการณ์และสิ่งที่เด็กตรงหน้าทำไปท่ามกลางเหตุวิกฤตขึ้นมา ภาพของเด็กผู้หญิงที่โคตรเท่และไร้อาการหวาดเกรงคนนั้น ดูต่างจากที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้โดยสิ้นเชิง
“ค่ะ” ด้วยความที่ในหัวเอาแต่นึกถึงภาพเหตุการณ์ชวนระทึก ครั้งนี้ผมทำแค่รับคำและส่งยิ้มให้ ปล่อยน้องเทียนเปิดประตูกลับเข้าห้องไป ไม่ได้คิดจะจับต้องหรือรู้สึกอยากแตะเนื้อเนียนนุ่มแบบเด็กที่หลงใหล
และปฏิเสธไม่ได้ว่าบางอย่างและความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของเธอมันกำลังทำให้ผมแคลงใจ...
กึก! ตึง!
สิ้นเสียงประตูห้องของเทียนปิดลง เกือบ 1 นาทีเห็นจะได้ที่ผมนั่งนิ่งในท่าเดิมอยู่หน้าห้องเธอแบบนั้น พอรู้สึกตัว ผมจึงลุกขึ้น หันหลังเดินกลับห้องตัวเอง มือหนึ่งจัดการกับถุงข้าวที่ซื้อไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวันออกจากลูกบิดประตูและเปิดเข้าไป ส่วนอีกมือก็หยิบโทรสัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงกดโทรหาใครบางคนและรอ...
[มีไรวะธูป?] จนกระทั่งปลายทางกดรับสาย
“มีเรื่องอยากให้มึงช่วยนิดหน่อย”
[ช่วยไรวะ]
“กูอยากให้มึงช่วยเช็กประวัติเด็กคนหนึ่งให้หน่อย”