“ถ้าย่าอยากให้ผมแต่ง ผมก็จะแต่งให้ครับ” ไม่รู้เพราะอยากจะประชดชีวิต หรือเพราะอะไรกันแน่ ที่มันทำให้พิชญ์เลือกที่จะตอบกลับท่านไปแบบนั้น ใจมันคิดแต่ว่าหากไม่ใช่อดีตคนรักแล้ว เขาก็ไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับใครทั้งนั้น! แต่ครั้นจะให้เมินเฉยต่อความต้องการของย่าไปเลย ก็กลัวว่าตัวเองต้องกลับไปนั่งรู้สึกผิดอีกสุดท้ายจึงอยากทำให้ทุกอย่างมันจบ
“รู้ใช่ไหม...ว่าพูดแล้วจะกลับคำไม่ได้”
“ครับ”
“ถ้าเรายืนยันมาแบบนี้ ย่าก็จะหาผู้หญิงมาช่วยอุ้มท้องให้ รับรอง...ว่าคนนี้สะอาดหมดจด” เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะเชื่อในฝีมือของย่า หากท่านเลือกแล้ว ทุกอย่างจะต้องดีต่อเขาอย่างแน่นอน
อีกทั้งย่าเอง...ก็เหมือนจะมีคนในใจอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงไม่อยากขัดต่อความต้องการของท่าน นาทีนี้ใครก็ได้ทั้งนั้น
เพราะว่ามันคงไม่ได้สำคัญอะไรกับเขามากนัก!
หลังจากอยู่พูดคุยกับผู้เป็นย่าจนหมอปากหอมคอแล้ว พิชญ์ก็ขอตัวออกมาเดินเล่นที่สวนมะม่วงหลังบ้าน ซึ่งนานๆ จะได้กลับมาบ้านทั้งที ก็ต้องยอมรับว่าทุกสิ่งรอบด้านนั้นไม่ได้ดูเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ในความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะแปลงกุหลาบของแม่ ที่ยังอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
เมื่อตอนยังเด็ก จำได้ว่าเขาเคยวิ่งเล่นอยู่แถวนี้ โดยมีแม่และย่านั่งมองอยู่ห่างๆ
“อื้อ พี่โก๋อย่าดูดแรงนักสิจ๊ะ...เดี๋ยวเป็นรอย!” เสียงไม่พึงประสงค์ที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องรีบสาวเท้าเข้าไปดู ก่อนจะพบเข้ากับแผ่นหลังบอบบางของใครคนหนึ่ง ซึ่งกำลังหลบซ่อนอยู่ที่หลังต้นไม้ สายตากำลังมองไปยังภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเล่นหนังสดกันกลางสวนมะม่วง ซ้ำยังเป็นเวลากลางวันๆ แสกๆ อย่างไม่วางตา
“มายืนทำอะไรตรงนี้!” / “ว้าย!”
เพราะเสียงร้องของหล่อน ทำให้เขาต้องรีบยกมือปิดปาก ด้วยกลัวว่าชายหญิงคู่นั้นจะได้ยินเข้า แม้ว่าการกระทำของทั้งคู่จะเป็นเรื่องผิด และหากย่าของเขารู้เรื่องเข้าก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก แต่เขาก็มีมารยาทพอ ที่จะไม่ทำลายสวรรค์ของคนพวกนั้นให้ต้องทลายลง
“ไม่รู้รึไง ว่าแอบดูคนอื่นมันเสียมารยาท...“ ปากถาม ทว่าสายตาก็ลอบมองใบหน้าอวบอิ่มไปพลางๆ เหมือนจะจำได้ว่าเคยเห็นเด็กนี่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ ย่าของเขา ส่วนจะชื่ออะไรนั้นเขาจำไม่ได้
โตจนป่านนี้แล้วเหรอ เขาจำได้ว่าตอนเห็นเธอครั้งสุดท้าย ยังตัวเล็กเท่าลูกแมวอยู่เลย แต่นี่เวลาแค่ไม่กี่ปีโตเป็นสาว อีกทั้งยังสวยจนเกือบจำไม่ได้ เวลาช่างผ่านไปไวจริงๆ
“คะ...คุณปล่อยฉันก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะดีไม่ดี”เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบาๆ รู้สึกวูบวาบไปกับมือไม้ของเขาที่กำลังเกี่ยวรัดโอบรอบเอวกันอยู่ไม่น้อย ไม่บ่อยนักที่จะได้ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามแบบนี้ อีกทั้งคนที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน แต่เป็นชายในฝัน ที่เธอเฝ้าแอบรักอยู่เพียงลำพังมานาน
“เธอ...คือเด็กที่ชอบทำตัวติดคุณย่าของฉันบ่อยๆ ใช่ไหม ชื่ออะไรนะ ฉันลืมแล้ว” คนถูกถามรู้สึกเจ็บช้ำไม่น้อย เพราะแม้แต่ชื่อเขาก็ยังจำไม่ได้ ในขณะที่เธอจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาได้จนหมด แต่ถึงจะเจ็บช้ำหัวใจแค่ไหน ก็จำต้องเอ่ยบอกออกไปอย่างเสียไม่ได้...
“นิ่มค่ะ”
“สวัสดีนิ่ม...ไม่ได้เจอกันนาน โตขึ้นเยอะเลยนะ” คนพูดหยุดนิ่งไปครู่ เมื่อเสียงกิจกรรมเข้าจังหวะของชายหญิงคู่นั้น ดังแทรกเข้ามาในบทสนทนาระหว่างเขากับคนตรงหน้า
”แล้วนี่...เรียนจบแล้วรึยัง”
แม้เขาจะกลับมาเยี่ยมคุณย่าอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอคนตรงหน้าสักเท่าไหร่ ซึ่งหากจำไม่ผิด หล่อนถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำตั้งแต่มอสาม จะได้กลับบ้านสวนก็แค่ในช่วงปิดเทอมเท่านั้น จึงไม่แปลกที่จะไม่ค่อยได้เจอหน้าเธอ
“เพิ่งเรียนจบค่ะ ตอนนี้กำลังหางานทำอยู่” เสียงที่ดังตอบกลับมานั้นดูน่าฟังชอบกล แม้จะเป็นการพูดสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอยากที่จะละสายตาไปไหน โดยเฉพาะกลิ่นหอมบางอย่างที่มันลอยฟุ่งอยู่รอบตัวของคนตรงหน้า ก็ชวนทำให้อยากเข้าไปสูดดมใกล้ๆ แต่ทั้งหมดที่ว่าไปนั้นก็ทำได้แค่คิด เพราะเอาเข้าจริงเขาก็ไม่กล้าไปยุ่งวุ่นวายกับเด็กในปกครองของย่ามากนัก ด้วยพอจะรู้มาอยู่บ้าง ว่าผู้เป็นย่าของเขานั้น ค่อนข้างที่จะ ‘หวง’ เด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ
“อ๊ะๆ พี่จ๋าเร่งหน่อย ไม่ไหวแล้ว แรงอีก! อ่าส์ กรี๊ดดดด!!” ยังไม่ทันที่เธอและเขาจะได้พูดอะไรต่อ เสียงกรีดร้องโหยหวนของคนสองคนก็ดังแทรกมาตามอากาศ ส่งผลให้หญิงสาวที่ไม่เคยมีแม้แต่แฟนคนแรกหน้าขับสีด้วยความอับอาย ใครจะไปคิดว่าแค่อาสาออกมาเก็บมะนาวในสวน จะทำให้เธอต้องมาเจอเข้ากับภาพอะไรแบบนี้ วินาทีแรกที่ได้เห็น มันทำให้เธอตาค้างอยู่นับนาที เพราะจดจำคนทั้งสองได้ซึ่งหนึ่งในนั้นหากจำไม่ผิด เหมือนจะมีสามีอยู่แล้ว
“รีบไปจากตรงนี้กันเถอะ หรือถ้าเธออยากอยู่ดูต่อจนจบ...ก็ตามใจนะ” แน่นอนว่าใครเลยจะอยากอยู่ดู เธอคนหนึ่งละที่ไม่อยากเลยสักนิด
สุดท้ายนลิสา ก็ไม่มีทางเลือก จำต้องเดินตามเขากลับขึ้นเรือนไปอย่างเสียไม่ได้...
ซึ่งภาพของคนสองคนที่เดินเคียงคู่กันขึ้นมาบนเรือน ก็ยิ่งทำให้คนที่นั่งรออยู่รู้สึกว่าตัวเองคิดถูก...
“มานั่งนี่สิแม่นิ่ม” เสียงจากผู้มีพระคุณที่นอกจากจะใช้หนี้แทนครอบครัวของเธอแล้ว ท่านยังรับเธอมาอุปการะหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิต ส่วนพ่อก็ไปมีครอบครัวใหม่ของท่าน นานทีปีหนเท่านั้นถึงจะแวะกลับมาให้ได้เจอหน้า แต่การมาของท่านแต่ละครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเพิ่งรู้ว่าพ่อเรียกร้องเงินจากคุณหญิงไปสองล้านเพื่อแลกกับการที่เธอจะได้มาอยู่กับท่าน
“นี่แม่นิ่ม เป็นยังไง...น่ารักไหม” คำถามที่ส่งตรงมาจากผู้เป็นย่า ทำให้พิชญ์ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ เขามองหล่อนอย่างตั้งใจ ไม่ใช่ผิวเผินเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา
ซึ่งจะเรียกแบบนั้นก็ได้ คนของย่าน่ารักอย่างที่ท่านว่า ติดแต่เด็กไปหน่อย แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเรียนจบแล้วก็เถอะ!
“แม่นิ่มคนนี้แหละ ที่ย่าจะให้มาอุ้มท้องลูกของพิชญ์”
“ได้ครับ...ครับ! คุณย่าว่าอะไรนะครับ!”
“ตกใจอะไรขนาดนั้น ย่าแค่บอกว่าแม่นิ่มนี่แหละ ที่ย่าจะให้มาช่วยตั้งท้องลูกของเราให้ ทำความรู้จักกันไว้เสียสิ อีกหน่อยก็ไม่ใช่คนอื่นอื่นไกลกันแล้ว” เมื่อผู้เป็นย่ายืนยันกลับมาเช่นนั้น ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของเขาแล้วที่ต้องเอ่ยถามออกไป
“จะไม่เด็กไปหน่อยเหรอครับย่า ผมว่า...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนจะจ้องมองคนข้างกายย่าอย่างสำรวจ ซึ่งสายตาของเขาที่จ้องมองกันราวกับกำลังจะประเมินค่านั้นทำเอาคนถูกมองเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเรื่องอะไรกัน อุ้มท้องอะไร ใครอุ้ม แล้วทำไมต้องอุ้ม
“เด็กเดิกอะไรกัน! ยี่สิบห้าแล้ว เจ้านี่เขาหน้าเด็กเฉยๆ”
“เธอโอเคเหรอ กับเรื่องนี้ อุ้มท้องเด็กคนหนึ่งเชียวนะ!” เมื่อขัดผู้เป็นย่าไม่ได้ พิชญ์จึงหันไปถามอีกคนแทน ซึ่งเท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่า‘เด็กของย่า’ นั้นแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด เพราะสีหน้าของเธอในตอนนี้นั้นดูตกใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก!
“เอ่อ...ค่ะ” เพราะไม่อาจขัดผู้มีพระคุณได้ นลิสาจึงต้องตอบรับกลับไปเบาๆ