หลังจากสำรวจห้องพักของตัวเองเป็นที่พอใจแล้ว นลิสาจึงเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง แล้วพบว่าทั้งคนและแมวพากันหลับสนิทอยู่ที่โซฟาไปแล้ว เห็นเช่นนั้นเธอจึงค่อยๆ เดินย่องเข้ามาใกล้ ก่อนจะลอบมองคนที่กำลังหลับสบาย โดยมีเจ้าอ้วนนอนซบอยู่ที่กลางอกอย่างเพลิดเพลิน
ใครเลยจะไปคิดว่าเธอจะมีวันนี้!
วันที่ได้มาเห็นเขาในมุมที่คนปกติทั่วไปคงไม่มีโอกาสได้เห็น แม้จะแค่ชั่วคราว แต่เธอก็ตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เขาและย่าของเขาเลือก!
อย่างน้อยๆ ถ้าหากวันหนึ่ง
เธอจำต้องกลับไปเป็นนังนิ่ม เด็กสาวบ้านสวนธรรมดาคนเดิม เธอจะได้ไม่หลงลืมช่วงเวลาเหล่านี้ เวลาที่จะได้ใช้ทุกๆ นาทีหลังจากนี้ ไปพร้อมกับเขา...
ชายที่เป็นรักแรก และรักเดียวของเธอ!
พิชญ์ผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้ เขามาตื่นขึ้นมาอีกก็ตอนได้กลิ่นหอมๆ จากบางอย่าง พอลืมตาขึ้นดูก็พบเข้ากับแผ่นหลังบอบบางของใครบางคน ที่กำลังยืนทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว
‘ผีเหรอ! ผีในชุดนอนสีชมพูลายหมี!’
“ตื่นแล้วเหรอคะ ฉันขอโทษที่ถือวิสาสะใช้ครัวนะคะ กลัวว่าคุณพิชญ์ตื่นมาจะหิว หิวไหมคะ ฉันทำข้าวต้มหมูไว้ให้ ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ” กระทั่งเมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นว่าเขาตื่นเต็มตาแล้ว นั่นเองเธอถึงได้เอ่ยถามขึ้น ในขณะที่เขาก็เริ่มจะจำได้ลางๆ แล้วว่านอกจากตัวเองกับแมวสุดที่รักแล้ว ห้องนี้ยังมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน
“นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
“สองชั่วโมงเห็นจะได้ค่ะ นิ่มให้อาหารหนูแย้มเรียบร้อยแล้วนะคะ”เขายิ้มอย่างขอบคุณก่อนจะหันไปมองเจ้าแมวอ้วนที่กำลังหลับสบายอยู่ไม่ไกลกัน ถึงได้หันกลับมาเอ่ยบอกแม่ครัวในชุดนอนสีชมพูอีกครั้ง
“ขอเข้าไปล้างหน้าแปปเดียวนะ เดี๋ยวออกมา” ซึ่งเธอก็ยิ้มรับ ก่อนจะจัดแจงทุกอย่างเอาไว้รอ...
“ทำไมมีแค่ที่เดียว” แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นเข้าอีกจนได้ เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง พิชญ์ก็พบว่ามีแค่ข้าวต้มถ้วยเดียวเท่านั้นที่ถูกวางเอาไว้เลยทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นไปสอบถาม
“เดี๋ยวฉันค่อยทานทีหลังก็ได้ค่ะ”
เพราะสำนึกดีว่าตัวเองเป็นใคร และเขาเป็นใคร เธอจึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะรักษาความห่างระหว่างกันเอาไว้ อย่างน้อยก็ไม่อยากทำให้การมีอยู่ของตัวเอง ทำให้เขาอึดอัด ด้วยจะรู้มาบ้างว่าเขาชอบอยู่คนเดียวมากกว่าจะมีใครมาวุ่นวาย
“จะต้องรอทำไม ไปตักมากินด้วยกันเถอะ” ถึงจะรู้ว่านี่คงเป็นการกระทำของหล่อน ที่มักจะกระทำต่อย่าของเขา แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านสวน อีกครั้งสถานะของเธอ ก็ไม่ใช่สาวใช้เหมือนอย่างที่แล้วมาอีกแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ต้องมานั่งวางตัว
“แต่ว่า...”
“ถ้านิ่มไม่กิน ฉันก็ไม่กิน!” เมื่อเขายื่นคำขาดมาแบบนั้น คนที่เป็นห่วงสุขภาพของเขาเสียยิ่งกว่าของตัวเองอย่างเธอ จะว่าอะไรได้
นอกจากต้องรีบวิ่งเข้าไปที่ครัว เพื่อตักข้าวต้มสำหรับตัวเองอีกทีก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งๆ เขา ที่ต้องเป็นแบบนั้นเพราะตอนนี้เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ถูกแมวอ้วนยึดครองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แล้วนี่...คิดไว้รึยัง ว่าอยากทำลูกด้วยวิธีไหน”
“คะ! โอ้ย ร้อนๆๆ” คำถามที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นสร้างความตกใจแก่คนที่ไม่ได้ทันเตรียมใจรับมือจนเผลอทำข้าวต้มร้อนๆ ลวกปากตัวเองเข้าให้ เดือดร้อนคนที่เป็นต้นเหตุต้องรีบขยับไปดูด้วยความเป็นห่วง
“เอามือออกสินิ่ม ขอฉันดูหน่อย”
เธอจำต้องปล่อยมือตามคำสั่ง ไม่กี่อึดใจก็ต้องกลั้นหายใจเมื่ออยู่ๆ เขาก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ ความใกล้ชิดที่ไม่ทันจะได้เตรียมตัวตั้งรับนี้เอง ที่มันทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหวอย่างหนัก แต่กระนั้นก็ยังพยายามเก็บอาการเอาไว้ จะให้เขารู้ไม่ได้ ว่าเธอใจเต้นแรงแค่ไหน กับระยะใกล้ชิดที่กำลังเกิดขึ้น
“คะ...คุณพิชญ์ ฉัน...ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
เสียงร้องบอกเบาๆ ทำให้เขาพิชญ์รู้สึกตัว ว่าเขาน่าจะใกล้คนตัวเล็กมากไปหน่อยถึงได้ยอมขยับกายออกห่าง เว้นระยะห่างให้หล่อนได้หายใจหายคอ
“ถ้ายังไม่พร้อม เรารอไปก่อนก็ได้ ฉันเองก็ไม่ได้จะเร่งรัดอะไร ติดแต่คุณย่า ที่จากนี้คงโทรมาถามความคืบหน้าเช้าเย็น” ด้วยพอจะรู้จักนิสัยของย่าตัวเองอยู่บ้าง เขาถึงได้บอกออกไปเบาๆ แม้จะค่อนข้างมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายเองก็น่าจะรู้
“ฉันแล้วแต่คุณพิชญ์ค่ะ” เป็นอีกครั้งที่คนของย่าตามใจเขา แต่มันกับเป็นครั้งแรก ที่พิชญ์อยากจะให้บทเรียนแก่หล่อน ว่าบางครั้งบางที เราไม่ควรจะฝากชีวิตไว้กับการตัดสินใจของคนอื่น เพราะสุดท้ายแล้ว เราจะไม่ได้อะไรเลย!
“ถ้าแล้วแต่ฉัน ฉันก็คงต้องบอกตามตรง ว่าอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้” เขาเว้นช่วงไปครู่ถึงได้เอ่ยขึ้นต่อ...”เธอเองก็น่าจะพอรู้ใช่ไหม ว่าเด็กที่เกิดจากการทำกิฟต์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยแข็งแรง” ซึ่งเขาเองก็ค่อนข้างเป็นกังวลในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าพูดตามความจริงแล้ว จะด้วยวิธีไหน ก็น่าจะให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน!
เพราะฉะนั้นถ้าถามเขา เขาก็คงยืนยันในคำตอบเดิมที่เพิ่งจะบอกออกไป ส่วนอีกฝ่ายจะว่าไงนั้นก็คงสุดแล้วแต่เธอ
“ค่ะ”