สามเดือนให้หลัง
นางกำนัลฝ่ายในจากวังหลังถูกกะเกณฑ์ให้มาเข้าร่วมฝึกฝนยูโดที่ลานประลองใหญ่
พวกนางยืนเรียงแถวเป็นระเบียบมองระยะไกลเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยืนอยู่บนฟูกหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน แต่ละแถวจะมีนางกำนัลอาวุโสยืนกระจายตัวควบคุมอีกชั้นหนึ่ง นางกำนัลเหล่านั้นล้วนถูกฝึกฝนจากซือลี่หยางล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนจนชำนาญการแล้ว
เสียงซุบซิบดังขึ้นหลายระลอก พวกนางส่วนหนึ่งไม่ชอบใจกับเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ ซือลี่หยางไม่แปลกใจ เสื้อผ้าเหล่านั้นนางออกแบบใหม่ให้เป็นผ้าถักทอเนื้อโปร่งสบาย กางเกงขายาวแบบบุรุษเพศเพื่อการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไว มิได้งดงามแบบชุดนางกำนัลที่พวกนางเคยสวมใส่อยู่เป็นประจำ
“สตรีถูกฟ้าลิขิตให้มีรูปร่างเล็กกว่าบุรุษ ดูอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง จึงมักถูกบุรุษที่ตัวใหญ่กว่าข่มขู่และรังแกอยู่เสมอ” บนเวทีลานประลอง ซือลี่หยางตะโกนเสียงดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกสารทิศ กล่าวเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฮึกเหิม
“นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนวิชายูโดที่ถูกคิดค้นมาเพื่อป้องกันตัวสำหรับเราโดยเฉพาะ”
นางก้าวขาเดินไปมาบนเวที ยิ้มกล่าวอย่างตั้งใจ
นางกำนัลร่างผ่ายผอมนางหนึ่งยกมือขึ้น พลางตะโกนถาม “แล้วหม่อมฉันจะเรียนไปเพื่ออะไรกันเพคะ ในเมื่อสตรีก็เคยล่มบุรุษด้วยความงามและมารยามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วทั้งนั้น”
สิ้นเสียงเอ่ย พวกนางก็พากันก้มหน้าก้มตา หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
ซือลี่หยางรู้สึกเอือมระอา สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “พวกเจ้าจะใช้ความงามเพียงอย่างเดียว ไม่คิดจะใช้สมอง ใช้ความสามารถทำอะไรบ้างเลยหรือ...ไม่แปลกที่บุรุษเหล่านั้นจะมองเจ้าเป็นเพียงวัตถุงามชิ้นหนึ่งหรือไม่ก็เป็นแค่ดอกไม้ริมทางที่เมื่อเหี่ยวเฉาก็ถูกโยนทิ้งอย่างไร้ค่า”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยพลันสลายหายไปกับอากาศ แน่แล้วว่าถ้อยคำของซือลี่หยางกระแทกจิตใจของพวกนาง ใบหน้าจากเริงร่าจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนทันที
ซือลี่หยางพยายามมองสถานการณ์ภาพรวมอย่างเข้าใจ การจะยัดสิ่งใหม่ใส่ลงในหัวสมองของผู้ใด ล้วนไม่ง่ายดายนัก หากเป็นนางที่เกิดในยุคสมัยนี้ก็คงดื้อรั้นไม่ต่างกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงกล่าวต่ออย่างไม่แยแส "การเตรียมพร้อมร่างกายก็สำคัญไม่ต่างกัน พวกเจ้าจะต้อง…"
ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค นางกำนัลหน้ายาวนางหนึ่งก็ยกมือเอ่ยขัดขึ้นด้วยสีหน้าแววตาท้าทาย “หม่อมฉันขอไม่ฝึกได้หรือไม่เพคะ”
สิ้นเสียง สายตาทุกคู่ในลานประลองก็พลันจับจ้องไปที่นางเป็นตาเดียว
เมื่อมีหนึ่งคนต่อต้าน ก็จะมีสอง สามและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลายคนที่คิดเช่นเดียวกันกับนาง ต่างพากันแสดงตัว ยกมือขอปฏิเสธการเข้าร่วมอย่างไม่มีความเคารพยำเกรง
ซือลี่หยางรู้ดีว่านี่คือผลพวงจากการไม่เด็ดขาด เยว่ชิงคนเก่าอ่อนแอเกินไป นางกำนัลเหล่านี้คือต้นตอของการประโคมข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดพวกนางถึงได้เหิมเกริมถึงเพียงนี้
“เจ้ามีนามว่าอะไร” นางยิ้มละไมถาม
นางกำนัลหน้ายาวเชิดหน้าสูง ยิ้มบางตอบ “หม่อมฉัน ชุ่ยจิ้น เพคะ”
“เจ้าถือว่ามีความกล้าหาญมากที่ทำเช่นนี้”
“ขอบพระทัยเพคะพระชายา” ชุ่ยจิ้นคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ย่อกายคำนับอย่างมีจริต นางคิดว่านางคงรอดตัวแล้ว พระชายาเยว่ชิงผู้นี้ช่างโง่เขลาสมคำร่ำลือจริง ๆ!
ทว่าซือลี่หยางก็ไม่ปล่อยให้นางลำพองใจนาน ประกาศกร้าวเสียงแข็ง “ผู้ใดต้องการจะออกจากการฝึกฝนครั้งนี้ ขอให้เดินไปรวมกันทางฝั่งซ้าย ส่วนผู้ใดที่ต้องการฝึกฝนต่อให้เดินไปรวมกันทางฝั่งขวา”
สิ้นสุดคำพูด กลุ่มนางกำนัลก็ค่อย ๆ สลายตัวแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง หนึ่งส่วนเดินไปทางฝั่งซ้าย อีกสามส่วนเดินไปทางฝั่งขวา เห็นได้ชัดว่านางกำนัลที่เต็มใจฝึกฝนมีมากกว่านางกำนัลที่ต่อต้านอยู่หลายส่วน
ซือลี่หยางแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเดือดดาล “ทหาร! จับตัวนางกำนัลฝั่งซ้ายมาเฆี่ยนตีที่หน้าเวทีบัดเดี๋ยวนี้!!!”
สิ้นเสียง นางกำนัลฝั่งซ้ายทุกคนต่างหน้าถอดสี อกสั่นขวัญแขวนกันจนถ้วนทั่ว เหล่าทหารที่ยืนรายล้อมรับคำสั่ง กรูกันเข้ามาจับตัวพวกนางทันที พวกนางส่งเสียงร้องโวยวายไม่หยุด โดยเฉพาะ ชุ่ยจิ้น!
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากพระชายาทำเช่นนี้ หม่อมฉันจะนำเรื่องไปกราบทูลฮองเฮา” ชุ่ยจิ้นระเบิดอารมณ์ใส่นางอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม้ว่านางจะถูกจับมัดไว้กลางเวที ก็ยังไม่หยุดแผลงฤทธิ์
ซือลี่หยางเห็นท่าทางที่เกินเยียวยาของนาง พลันตวัดสายตาดูแคลน ตวาดแหว “สำหรับเจ้าที่ยโสโอหังที่สุด…ชุ่ยจิ้น! เจ้าจะได้รับรางวัลพิเศษเพิ่มจากสหายของเจ้าสามเท่า”
ชุ่ยจิ้นทรุดตัวล้มลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะหมดสติไป แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังต้องรับโทษอย่างสาสมอยู่ดี
เสียงไม้แดงที่ตวัดกลางอากาศและฟาดลงบนขาท่อนล่างของพวกนางดังขึ้นหลายระลอก เสียงนั้นเคล้ากับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน เหล่านางกำนัลที่กำลังยืนชมต่างหวาดผวา สะดุ้งโหยงกันไปตาม ๆ กัน คิดอย่างประหวั่นไม่รู้ว่าวันไหนจะถึงคราวซวยของตนเอง
ถึงแม้บทลงโทษจะดูเหี้ยมโหด ทว่าสามารถข่มขวัญเหล่านางกำนัลได้เป็นอย่างดี
ซือลี่หยางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง กล่าวเสียงดุดัน “พวกเจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ ว่าผลของการดูหมิ่นข้าเป็นเช่นไร”
"เพคะพระชายา" นางกำนัลฝั่งขวาส่งเสียงขานรับพร้อมกัน หลังจากนั้น ซือลี่หยางก็สั่งการให้เหล่านางกำนัลอาวุโสเข้าไปจัดแถวเรียงใหม่
กระทั่งการโบยไม้สุดท้ายสิ้นสุดลง นางกำนัลฝั่งซ้ายถูกนำตัวออกไปด้านนอกลานประลอง พวกนางหมดสภาพ บ้างก็สลบคาที่ บ้างก็เดินไม่ได้ ทหารวังหลวงจึงต้องพยุงแบกหาบพวกนางออกไป ทิ้งคราบเลือดสีแดงฉานบางส่วนเอาไว้บนพื้น
หัวหน้าขันทีจัดเตรียมบ่าวใช้เข้ามาเช็ดถูคราบเลือดเหล่านั้น ซือลี่หยางยกมือห้ามปรามไว้ บอกให้พวกเขาทำหลังจากการฝึกฝนยูโดเสร็จสิ้นลงแล้ว
"เรามาฝึกฝนยูโดต่อกันเถิด" ซือลี่หยางพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่ ก่อนจะเอ่ยต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่กระแสอารมณ์ในใจกระเพื่อมไหวไม่น้อย
"ยูโดเป็นวิชาต่อสู้ศาสตร์หนึ่ง ต้องมีสติและสมาธิแน่วแน่ ใช้แรงกาย ทุ่มตัวอีกฝ่ายลงพื้นเพื่อเอาชนะหรือหนีเอาตัวรอด บนพื้นของเจ้ายามนี้มีเบาะรองอยู่ ข้าสั่งการให้กองพระภูษาตัดเย็บออกแบบใหม่ รับรองว่าระหว่างการฝึกฝนนี้ พวกเจ้าจะไม่บาดเจ็บ แต่ในยามคับขัน บนพื้นปูนด้านนอกนั้น พวกเจ้าสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ อย่างไรเสีย ศีรษะกับพื้น พื้นย่อมแข็งกว่าเสมอ"
นางบรรยายและสาธิตกระบวนท่าต่าง ๆ ให้เหล่านางกำนัลดูอย่างละเอียด เมื่อไม่มีผู้ใดสร้างความวุ่นวาย ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเรียบลื่นราวกับคลื่นน้ำที่พลิ้วไหว
ยูโดต้องใช้ไหวพริบและมีสมาธิสูง ต้องรู้จังหวะเข้าและออกอย่างมีชั้นเชิง นางจึงค่อย ๆ เสี้ยมสอนกระบวนท่าที่สำคัญทีละเล็กทีละน้อย ถ่ายทอดความรู้ที่นางเล่าเรียนมาทั้งชีวิตอย่างตั้งใจ
เยี่ยเทียนที่แอบมายืนพิงกำแพงมองนางอยู่นานสองนาน แน่แล้วว่าเขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้
เขาเห็นด้วยที่นางลงโทษนางกำนัลหัวรั้นพวกนั้น พวกนางสมควรได้รับโทษแล้ว ทว่าส่วนลึกในใจยังคงไม่คลายความสงสัย นางเรียนรู้วิชายุทธ์พวกนี้มาจากที่ใด เขาคงต้องระวังตัวจากนางเป็นพิเศษเสียแล้ว
ซือลี่หยางชำเลืองมองเห็นร่างสูงโปร่งยืนอยู่จากที่ไกลๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นเยี่ยเทียน
เขาโบกไม้โบกมือเป็นกำลังใจให้นาง ส่งรอยยิ้มสดใสเจิดจ้าประหนึ่งแสงอาทิตย์
ซือลี่หยางรู้สึกอิ่มเอมใจ นางได้รับกำลังใจจากเขาอย่างเหลือล้น จนข่มกลั้นรอยยิ้มเปี่ยมสุขเอาไว้ไม่อยู่
จนเวลาล่วงไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี...
หลังจากที่เว้นว่างจากหน้าที่ในวังหลัง เหล่านางกำนัลก็จะมาเข้าร่วมฝึกฝนยูโดอย่างต่อเนื่อง
ทุกวันจะมีขันทีและทหารเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้สาธิต โดนนางจับทุ่มไม่ต่ำกว่าพันครั้ง เหล่านางกำนัลตั้งใจฝึกฝนและเชื่อฟังเป็นอย่างดี จนในที่สุดจิตวิญญาณของนักสู้ก็ถูกหลอมรวม พวกนางกลายเป็นอิสตรีที่มีทั้งความงดงามและแข็งแกร่งภายในคนคนเดียวกันอย่างที่วาดหวังเอาไว้