เช้าวันรุ่งขึ้น…ซือลี่หยางตื่นขึ้นมาโดยไร้เงาของเยี่ยเทียนข้างกาย
แสงแดดอ่อน ๆ ราวปีกใสของแมลง ทอประกายแจ่มจ้าลอดผ่านเข้ามาในกระโจม นางยกฝ่ามือเล็กบดบังแสงแดด หันมองข้างกายด้วยท่าทางงัวเงีย เมื่อไม่พบผู้ใด นางจึงเลิกผ้าห่มบนกาย ลุกขึ้นเดินแหวกม่านออกไปนอกกระโจม
ครั้นพอก้าวเท้าออกมายืนด้านนอก นัยน์ตากระจ่างใสดุจน้ำพุที่ไหวกระเพื่อมก็พลันมองไปเห็นพระอาทิตย์ที่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะกำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออก ท้องของนางส่งเสียงร้องโครกครากออกมาราวกับเสียงคำราม จริง ๆ เวลานี้นางต้องกินอาหารเช้าแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกหิวจนตาลายไปหมด
“ท่านพี่ตื่นแล้วหรือ…” เสียงร้องเรียกสดใสทักทายขึ้น เสียงนั้นคือเสียงของอ๋องเจ็ด บุรุษผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยนที่สุดในวังหลวง
ซือลี่หยางมองไปตามต้นเสียง เห็นอ๋องเจ็ดนั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมหน้ากองไฟ พวกเขากำลังกินอาหารเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย เห็นเช่นนั้นจึงไม่รีรอ รีบสาวเท้าเข้าไปสมทบวงทันที
หลิงเฟยส่งยิ้มละไมพลางยื่นจานใบเล็กที่มีเนื้อย่างให้นาง
ซือลี่หยางยื่นมือรับ สายตาเพ่งมองเนื้อสัตว์ในจานอย่างสงสัย นางไม่รู้ว่าในจานนั่นคือเนื้ออะไร ทว่ายามนี้ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ความหิวครอบงำจิตใจ เอาอะไรมาฉุดยั้งก็เอาไม่อยู่
“เมื่อคืนท่านพี่สามเก่งกาจนัก ดึกดื่นป่านนั้น ยังยิงเกาฑัณท์ถูกลูกหมาป่า ไม่เช่นนั้นเราก็คงไม่ได้กินอาหารเช้าที่เลิศรสปานนี้”
สิ้นเสียงเอ่ยของอ๋องสี่ ซือลี่หยางที่กำลังอิ่มเอมกับเนื้อชิ้นโต ก็พลันรู้สึกกระอักกระอ่วน อยากจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้ นางรีบคว้ากระบอกน้ำไม้ไผ่ขึ้นมากระดกดื่มอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเอ่ยถามเสียงติดขัด “ทะ ท่านว่าอย่างไรนะ เนื้อหมาป่าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่แค่เนื้อหมาป่า แต่เป็นเนื้อของลูกหมาป่า” อ๋องเจ็ดตอบอย่างภาคภูมิใจ
ซือลี่หยางฉีกยิ้มฝืดเฝื่อน ลูกหมาป่า...ที่มีสีน้ำตาล ตาดุ ๆ หอนในคืนพระจันทร์เต็มดวงนะหรือ? เกิดมาในชีวิต เคยกินแต่เนื้อหมูกับไก่ เพิ่งจะเคยกินเนื้อหมาป่าก็ยามนี้
โธ่...ไฉนชีวิตข้าในร่างนี้ถึงน่าสงสารนัก!
“เป็นความดีความชอบของท่านพี่สาม” อ๋องสี่เอ่ยชมเชยพี่ชายอย่างออกหน้าออกตา
เยี่ยเทียนยิ้มกรุ้มกริ่มเบา ๆ ช้อนตามองชายาของตน เขาอยากรู้ว่านางจะมีท่าทีเช่นไร ทว่าเมื่อเห็นใบหน้างามซีดขาวดุจกระดาษ รอยยิ้มอ่อนจางก็พลันเปลี่ยนเป็นเก้อกระดากทันที
“เห็นว่าท่านพี่เยว่มาจากเมืองเจิ้งผิง ที่นั่นมีป่าใหญ่สำหรับล่าสัตว์ในเทศกาลล่าปา ไว้ท่านพาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่” อ๋องเจ็ดแย้มยิ้มเอ่ย
ซือลี่หยางส่งเสียงอื้มและพยักหน้าหงึกหงักเคลื่อนคล้อยไหลลื่นไปตามน้ำ ป่าใหญ่อะไร เทศกาลล่าปาอะไร นางไม่รู้จักทั้งนั้น...อ๋องเจ็ด เจ้าคาดหวังกับข้าเกินไปแล้ว
“วันนี้เราไปล่ากระต่ายก่อนกลับดีหรือไม่ เนื้อกระต่ายย่างหมักเครื่องเทศ คงจะหอมกรุ่นไม่น้อย” อ๋องสี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ได้ยินเช่นนั้น ซือลี่หยางก็พลันชะงัก เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก “จะ เจ้าว่าอะไรนะ กระต่ายหรือ…”
“ใช่! กระต่าย หูยาว ๆ ขนปุกปุยน่ารัก ยิ่งเป็นลูกกระต่าย เนื้อยิ่งหวานหอม” อ๋องสี่สาธยายรูปลักษณ์ของกระต่ายด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
ซือลี่หยางฟังแล้วนึกคิดตาม เห็นภาพกระต่ายสีขาวนวลตัวเล็กอวบอ้วน...กระต่ายตัวนั้นเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของนางในมิติเดิมมาก่อน สองมือน้อย ๆ จับผักบุ้งยกขึ้นมากัดแทะกินอย่างสำราญใจ ยามจ้องมองช่างน่ารัก น่าเอ็นดูอย่างยิ่ง!
เมื่อหวนสติคืนกลับมา นางก็พลันโวยวายเสียงแหลม “พวกท่านเป็นอะไรถึงได้ชอบฆ่าแกงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางสู้ รู้หรือไม่ว่า...ข้าเคยเลี้ยงกระต่ายมาก่อน แค่ฆ่ากระต่ายข้าก็ปวดใจแล้ว นี่ยังจะมาฆ่าลูกกระต่ายอีก พวกท่านนี่มันเหลือเกินจริง ๆ "
นางบ่นอุบอิบไม่หยุด องค์ชายทั้งสามได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ รู้สึกราวกับกำลังถูกมารดาสั่งสอนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ต้องล่าอะไรอีกแล้ว ข้าจะปกป้องสัตว์ตัวน้อย ๆ เหล่านี้ด้วยตัวของข้าเอง หากผู้ใดขัดขืน ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!” ซือลี่หยางถลึงตาโตเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
ทุกคนสลดสีหน้าลงอย่างรู้สึกผิด อ๋องเจ็ดที่เห็นด้วยกับนางอยู่แล้ว รีบเอ่ยสำทับทันที “ชะ ใช่ ๆ เราจะไม่ล่าสัตว์ตัวน้อยแสนน่ารักอีกแล้ว ข้าสนับสนุนท่านพี่เยว่ กินเนื้อย่างเสร็จแล้ว เรากลับวังกันเถิด”
ได้ยินเช่นนั้น ซือลี่หยางก็รู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ใบหน้าเคร่งขรึมผ่อนคลายลง มุมปากหยักยิ้มอย่างมีความสุข อย่างน้อยเนื้อที่ข้ากินในเช้าวันนี้ก็เป็นเนื้อของหมาป่า หากเป็นเนื้อของกระต่ายละก็...ข้าคงรู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิตเป็นแน่
ระหว่างทางกลับวังหลวงราบรื่นไร้อุปสรรค ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามกับอีกหนึ่งก้านธูป สุดระยะสายตา ก็เริ่มเห็นโครงร่างสันหลังคาของวังหลวงที่หรูหราโอ่อ่าเลือนรางแล้ว
ในที่สุด อาชาพ่วงพีก็ย่ำกีบเท้าม้ามาถึงหน้าวังหลวง เพิ่งถึงได้ไม่นาน ขันทีอาวุโสในชุดทรงกระบอกคอกลมสีแดงอมน้ำตาลก็รีบเร่งรุดเข้ามาพลางค้อมกายคำนับอย่างสุภาพนอบน้อม
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง ทว่าเมื่อขันทีชราเอ่ยปากทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง "ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้องค์รัชทายาทเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
เยี่ยเทียนนิ่งงันไป ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าเบา ๆ ทุกคนกลับไปยังตำหนักของตนเอง ยกเว้นเพียงเขาที่หันเหทิศทางมุ่งหน้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อพบบิดาตามพระประสงค์
"ท่านพ่อมีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ" เสียงทุ้มเข้มดังขึ้น ก่อนที่เยี่ยเทียนจะเดินอาด ๆ เข้ามาในห้องโถง
สายตาที่ฉายแววกังขาของฮ่องเต้กวังถงหยุดนิ่งที่ฎีกาฉบับหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองบุตรชาย กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า "รอก่อน!"
คิ้วเข้มดกของเยี่ยเทียนขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย
ทันใดนั้นเอง ฝีเท้าตึง ๆ ก็ดังแว่วมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงของป้ายหยกที่ดังกระทบกระทั่งเป็นจังหวะ
เพียงไม่นาน เสียงนั้นก็มาหยุดข้างกายเขา ครั้นเมื่อชำเลืองตามองเห็นว่าเป็นอ๋องห้า ความสงสัยก็พลันเกาะกุมจิตใจอย่างห้ามไม่อยู่
การประชันหน้าของเขากับน้องชายต่างมารดาลำดับที่ห้ามีไม่บ่อยครั้งนัก จะมีก็แต่เคยร่วมงานรื่นเริงในวังหลวง โฉบเฉี่ยวผ่านไปมา หาได้มีปฏิสัมพันธ์อันดีงามแต่อย่างใด พวกเขามิได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น
แต่ว่ายามนี้...ทำไมกันล่ะ?
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องห้าค่อย ๆ ค้อมกายลง คารวะบิดาด้วยท่วงท่าสง่างาม ชุดคลุมยาวสีฟ้าหมอกห่อหุ้มเรือนร่างอย่างพอเหมาะ รัดเกล้าทองคำบนศีรษะทอแสงระยิบระยับ ในมือไม่เว้นว่าง ถือพัดจีบกวัดแกว่งไปมาอยู่ไม่สุข มองเผิน ๆ ดูคล้ายกับองค์ชายเจ้าสำราญไม่มีผิด
“เมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ข้าก็จะไม่เสียเวลา” ฮ่องเต้กวังถงลดฎีกาในฝ่ามือลง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวอย่างจริงจัง "พวกเจ้าคิดอย่างไรกับข่าวลือเรื่องกบฏที่แฝงตัวอยู่ในรั้ววัง"
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ท่านพ่อวิตกกังวลคือเรื่องกบฏอย่างนั้นหรือ?
เยี่ยเทียนตรึกตรองคิดใคร่ครวญในใจ การเรียกพบในเรื่องสำคัญเช่นนี้สำหรับเขาที่เป็นรัชทายาท มิใช่เรื่องแปลก ทว่าสำหรับอ๋องห้า…ย่อมมิใช่เรื่องปกติ
ในราชวงศ์ต้าฉู่มีองค์ชายทั้งหมดสิบห้าพระองค์ ทว่าอ๋องห้ากลับเป็นบุตรชายคนเดียวที่ฮ่องเต้กวังถงไว้วางใจมอบหน้าที่อันใหญ่หลวง ทั้ง ๆ ที่อ๋องห้ามิได้มีอะไรโดดเด่นชัดเจน ไม่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เรื่องเด่นเรื่องเดียวเห็นจะเป็นเรื่องคารมคมคาย วาจาเปี่ยมเสน่ห์ โน้มน้าวจิตใจคนได้ดีราวกับร่ายมนตร์ การได้รับอภิสิทธิ์หลายครั้ง หากจะกล่าวว่า ‘ลำเอียง’ ก็คงไม่มีผู้ใดคัดค้าน
อ๋องห้าประสานมือตอบ “ข่าวลือย่อมมีมูล การเตรียมรับมือย่อมดีกว่านิ่งเฉยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินมาว่ากบฏหลบซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง เคยแม้แต่ลอบปลงพระชนม์ท่านพ่อกับองค์รัชทายาท ทว่าทำไม่สำเร็จ เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ยามนี้ไม่มีหลักฐาน กระหม่อมไม่อาจยืนยันได้พ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของฮ่องเต้กวังถงก็พลันถอดสี หัวใจหนาวสะท้านประดุจกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงน้ำเหมันตฤดู ตวาดกร้าว “บังอาจนัก! ชั่วช้า! พวกมันกล้าดีอย่างไร”
เยี่ยเทียนแน่นิ่งไป กระแสความหวาดหวั่นพุ่งพรวดถาโถมจิตใจราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ คนลอบสังหารเขามีเพียงผู้เดียวคือ 'ไป๋เยว่ชิง' ชายาเอกของตน...อ๋องห้าผู้นี้ไปล่วงรู้อะไรมากันแน่!
สิ้นสุดความคิด เขาก็รีบแย้งขึ้น “ในตำหนักบูรพาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเสริมเติมแต่งขึ้นมา ท่านพ่ออย่าได้กังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์รัชทายาท…ท่านแน่ใจหรือ” อ๋องห้าหันหน้ามาแสยะยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มนั้นแฝงด้วยความเย่อหยิ่งและน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย
เยี่ยเทียนนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำใดกลับไป บนใบหน้าคมคายราบเรียบไร้อารมณ์ มิได้แสดงความขุ่นเคืองอันใดออกมาแม้แต่น้อย เห็นเช่นนั้นอ๋องห้าก็ยิ่งร้อนรนในใจมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
ฮ่องเต้กวังถงพรูลมหายใจอย่างหนัก ใบหน้าที่มีเส้นเลือดปูดโปนเปี่ยมไปด้วยความกลัดกลุ้ม "อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หน้าที่ของพวกเจ้าในยามนี้ ก็คือจับตัวกบฏมาลงโทษให้จนได้!”
“เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น กระหม่อมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องห้ายิ้มเอ่ยพลางประสานกำปั้นมือค้อมคำนับ
เยี่ยเทียนนิ่งเงียบ เพียงก้มคำนับตามมารยาทและหันกายก้าวขายาวออกไป สัญชาตญาณอันแรงกล้าสั่งการให้เขามีสติ อ๋องห้าผู้นี้คือบุคคลอันตรายและเขาต้องระวังให้มากที่สุด