ตอนที่ 21 : โอนอ่อนผ่อนตาม

1917 คำ
หลังจากปลอบประโลมหลิงเฟยครู่ใหญ่ พวกนางก็ตัดสินใจเดินกลับมาที่กระโจมเพื่อพักผ่อน ครั้นเมื่อสาวเท้าก้าวเดินมาถึงที่กระโจม สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาของซือลี่หยางก็คือบุรุษทั้งสามกำลังนั่งล้อมวงอยู่หน้ากองไฟ แน่ชัดว่า พวกเขากลับมาจากล่าสัตว์เรียบร้อยแล้ว "ท่านพี่ทั้งสอง กลับมากันแล้วหรือ" อ๋องเจ็ดโบกมือทักทาย ฉีกยิ้มเริงร่า เห็นฟันขาวเรียงตัวเด่นมาแต่ไกล อ๋องสี่ที่นั่งปิ้งปลาอย่างขะมักเขม้นอยู่ เมื่อรู้ว่าชายาของตนเดินกลับมา เขาก็รีบลุกขึ้นเดินอาด ๆ เข้าไปหานาง พร้อมทั้งยื่นปลาย่างให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซือลี่หยางเมียนมองตามลอบชื่นชมในใจ อ๋องสี่ผู้นี้นอกจากจะมีใบหน้าหล่อเหลาแล้วยังรักภรรยามากเหลือเกิน บุรุษเช่นนี้อิสตรีในใต้หล้าล้วนปรารถนาจะครอบครองทั้งสิ้น สิ้นสุดความคิด ใบหน้าของนางก็ยังผุดรอยยิ้มจาง ๆ ทว่าเมื่อหันไปมองที่เยี่ยเทียน รอยยิ้มเจิดจ้าก็พลันสลายหายไปทันที คงมีแต่พระสวามีของข้าเท่านั้นกระมัง ที่ทั้งเย็นชาและร้ายกาจ น่าเสียดายที่สวรรค์มอบใบหน้างดงามคมคายมาให้เขา หากเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเสียหน่อย คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย ซือลี่หยางเดินไปนั่งบนตอไม้ข้าง ๆ เยี่ยเทียน ใบหน้าประดับยิ้มจ้องมองเขาเหมือนคาดหวังอะไรบางอย่าง และใช่! นางกำลังคาดหวังให้เขาแสดงท่าทีโอนอ่อนรักใคร่ต่อหน้าผู้อื่น ถึงแม้จะเป็นการเสแสร้งก็เถอะ! นางไม่ถือสาทั้งสิ้น ทว่าเยี่ยเทียนกลับยังคงนั่งนิ่งใช้มือแกะปลาปิ้งด้วยความสำราญใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามาสบตากับนางเลยแม้แต่น้อย ชิ! ถึงแม้จะทำเหมือนข้าไม่มีตัวตน แต่ช่วยแสดงละครเป็นคนรักที่ดีต่อหน้าผู้อื่นมิได้เลยหรืออย่างไร? ซือลี่หยางมุ่ยหน้าตัดพ้อในใจ เยี่ยเทียนเห็นสีหน้านางไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก จึงยื่นปลาย่างที่ปิ้งเสร็จแล้วตัวหนึ่งให้ กล่าวเสียงห้วนว่า "รับไป!" ดวงตาที่เป็นประกายของซือลี่หยางจ้องมองใบหน้าของเยี่ยเทียนอย่างลังเลใจ ในที่สุดก็ดึงปลาย่างเสียบไม้มากินด้วยความหิวโหย "เจ้าหายไปไหนมา…" เยี่ยเทียนโพล่งถาม ซือลี่หยางที่อิ่มหนำสำราญกับปลาย่างตัวใหญ่ ตอบกลับเสียงอู้อี้ในลำคอ "หม่อมฉันออกไปที่ลำธารกับพระชายาหลิงเฟยมาเพคะ" เยี่ยเทียนชำเลืองมองนางที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ แก้มป่องขาวกระจ่างใสกลมเป็นลูกส้มผลเล็กไม่วางตา ยิ่งนางยัดเนื้อปลาเข้าไปมากเท่าไร แก้มนั้นยิ่งขยายมากขึ้นเท่านั้น นางคิดว่านางเป็นสัตว์เล็กเก็บอาหารไว้ที่กระพุ้งแก้มหรืออย่างไร เดี๋ยวกินเร็วอย่างนั้นเดี๋ยวก็สำลักออกมาหรอก... เพิ่งคิดได้ไม่นาน ซือลี่หยางก็ไอสำลักออกมาหลายระลอก เพราะเนื้อปลาที่เยอะเกินไปและก้างที่หลุดเข้าไปติดในลำคอ นางจึงไอจนหน้าแดงก่ำ เยี่ยเทียนยื่นมือไปตบหลังนางเบา ๆ ก่อนจะส่งกระบอกน้ำไม้ไผ่ยื่นให้ นางควานมือรับอย่างลนลาน ไม่รีรอรีบกระดกน้ำใสสะอาดจากกระบอกไม้ไผ่ลงคอหลายอึก หลังจากนั้นจึงกลับมาใช้มือกัดแทะปลาย่างในมือกินต่ออย่างมูมมามเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เยี่ยเทียนมองนางด้วยสีหน้าฉงน ลอบคิดในใจ นี่นางโดนปีศาจตัวไหนเข้าสิงมากันแน่ สตรีที่มีอากัปกิริยาอ่อนหวาน เรียบร้อยผู้นั้นหายไปไหน เหตุใดนางถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ? ซือลี่หยางเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจับจ้อง นางก็ช้อนตาเงยหน้ามองและส่งยิ้มให้เขาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร นางเดินทางมาทั้งวัน ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่อย่างเดียว ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา หากนางหิวโหยอย่างยิ่งยวดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตรงไหนและปลาย่างนี่ก็ช่างอร่อยถูกปากเสียเหลือเกิน... เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อน ทุกคนจึงแยกย้ายกันเข้าไปในกระโจมของตนเอง กระโจมของเยี่ยเทียนและซือลี่หยางตั้งอยู่ตรงกลางลาน เป็นกระโจมผ้าสีดำสักลายนกเฟิ่งหวงสยายปีกสีทองบ่งบอกถึงความเคร่งขรึมและน่าเกรงขามของเขาได้เป็นอย่างดี ซือลี่หยางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยืนทำใจอยู่หน้ากระโจมนานสองนาน ที่ผ่านมานางกับองค์รัชทายาทไม่เคยร่วมหลับนอนกันเลยสักครั้ง ครั้นพอต้องมานอนด้วยกันแบบนี้ ในใจกลับรู้สึกวิตกระคนหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก “หากเจ้าอยากนอนแข็งตายอยู่ข้างนอก...ข้าก็ไม่ว่าอะไร” เยี่ยเทียนตะโกนเสียงออกมา ซือลี่หยางที่กำลังยืนใจลอย ได้ยินเช่นนั้นก็รีบตามเข้าไปในกระโจมอย่างลนลานทันที “ข้านึกว่าเจ้าจะยอมแข็งตาย น่าเสียดายจริง ๆ ” เยี่ยเทียนชำเลืองตามองซือลี่หยางด้วยท่าทางยียวน บนแคร่นอนนั้น เขานอนเยียดขา เอามือไพร่ศีรษะอย่างสบายอารมณ์ ซือลี่หยางอ้าและหุบปากอย่างเก้อ ๆ ก่อนแย้งว่า “เป็นท่านมากกว่าที่ต้องไปนอนแข็งตาย...หาใช่ข้า” เอ่ยจบ นางก็รีบเดินไปนั่งบนเตียงนอนอีกฝั่งหนึ่ง ขมวดมุ่นผ้าห่มเป็นม้วนหนา ๆ กั้นกลางระหว่างเขากับนาง ก่อนจะเอนกายลงนอนด้วยท่าทางทุลักทุเล เยี่ยเทียนแค่นเสียงหัวเราะในลำคอพลางกล่าว “ทำอย่างนั้น มีหวังเจ้าได้หนาวตายในไม่ช้า” นางไม่ตอบอะไร เพียงข่มตาให้หลับไปเท่านั้น ทว่าจิตใจที่ไม่สงบสุขก็ทำให้นอนไม่หลับ ในหัววนเวียนอยู่กับเรื่องโศกนาฏกรรมความรักของหลิงเฟย รู้สึกสะเทือนใจและหดหู่ไม่น้อย นางเริ่มคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ การมาที่นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นางกับรัชทายาทอาจมีวาสนาต่อกันก็เป็นได้ สู้ปรับตัวยังดีเสียกว่าหลีกหนี เพียงทำให้อีกฝ่ายเปิดใจและวางตัวเป็นชายาที่ดี หากลองตรองดูดี ๆ เขาก็ไม่ใช่คนน่ากลัวเท่าไรนัก ไม่เคยทำร้ายร่างกายนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้จะดูเย็นชาและร้ายกาจในบางเวลา แต่ก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เยว่ชิงทำอะไรกับเขาไว้บ้าง อาจจะเป็นเรื่องไม่ดีเกินกว่าที่จะให้อภัยก็เป็นได้ ถึงแม้จะยากสำหรับหญิงวัยยี่สิบที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่มันก็คงไม่ยากเกินไป ผู้ใดก็ทำได้ทั้งนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตากลมโตก็ค่อย ๆ ขยับเปิดขึ้น โพล่งเอ่ยเรียกเยี่ยเทียนเสียงแผ่วเบาว่า "...พี่เยี่ย" เยี่ยเทียนเปิดม่านตาขึ้นตื่นกะทันหัน คิ้วหนาเข้มขมวดน้อย ๆ ความแปลกประหลาดเกาะกุมจิตใจอย่างยั้งไม่อยู่ "เมื่อครู่...เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ" "พี่เยี่ย ข้าเรียกท่านเช่นนี้ได้หรือไม่" เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเย็นชา "เจ้าปรารถนาจะเรียกอย่างไร ก็สุดแต่ใจเจ้า ข้ามิได้เป็นเจ้าของชีวิตเจ้าเสียหน่อย" ซือลี่หยางอมยิ้มบาง ๆ พึงพอใจกับคำตอบอยู่ไม่น้อย รัชทายาทผู้นี้เป็นบุรุษปากแข็งเสียยิ่งกว่ากระไร หากเขาไม่ชอบถูกเรียกแบบนี้ ก็คงจะโมโหและตวาดโวยวายไปแล้ว "หากเยว่ชิงในอดีต เคยทำร้ายจิตใจพระองค์ สร้างความขุ่นหมองข้องใจ เยว่ชิงในวันนี้จะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว" นางเอ่ยเสียงนุ่มนวล ฉับพลันนั้น บรรยากาศในกระโจมก็แผ่คลุมด้วยความอึมครึมทันที เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไป ครุ่นคิดในใจ... นี่นางจะมาไม้ไหนกันแน่? ซือลี่หยางสูดลมหายใจลึก รวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยออกไปว่า "หม่อมฉันไม่ใช่เยว่ชิงเพคะ แต่คือซือลี่หยาง เป็นเพียงดวงวิญญาณที่มาสิงสถิตอยู่ในร่างของนางเท่านั้น" วาจาประหลาดพิกลทำให้หว่างคิ้วดกเข้มของเยี่ยเทียนขมวดมุ่นเข้าหากัน เอ่ยด้วยความงุนงง "เจ้าว่าอย่างไรนะ…" "พระองค์คงจะคิดว่าหม่อมฉันสติฟั่นเฟือน เช่นนั้น...หม่อมฉันจะพยายามพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงให้รับรู้ หม่อมฉันจะเป็นชายาที่ดีของพระองค์เพคะ องค์รัชทายาทได้โปรดทำดีกับหม่อมฉันด้วย" ซือลี่หยางให้คำมั่นน้ำเสียงหนักแน่น ฟังถึงตรงนี้ ในใจของเยี่ยเทียนก็พลันเปี่ยมล้นด้วยความสับสนงุนงง คำถามผุดขึ้นในใจมากมายราวกับเส้นด้ายที่พันขมวดมุ่นผูกเป็นปมแน่นยุ่งเหยิงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แผลใจจากการถูกหักหลังและปองร้ายมิอาจลบล้างด้วยวาจาอ่อนหวานโดยง่าย เขาคิดว่านางกำลังใช้กุศโลบายบางอย่างเล่นงานเขาอย่างเงียบ ๆ เขายังไม่ไว้ใจนาง แต่ถึงกระนั้นหากยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ก็คงจะทำให้เขาสามารถเข้าถึงความคิดความอ่านของนางได้มากยิ่งขึ้น เมื่อหลุดออกจากห้วงภวังค์ เยี่ยเทียนก็ค่อย ๆ เขยิบกายเข้าประชิดตัวนาง ใช้มือหนาดันร่างแบบบางเข้ามาโอบกระชับ ทั้งสองใกล้กันมากจนปลายจมูกแทบจะชนกัน "หยางเอ๋อร์...หากเจ้าปรารถนาจะเป็นชายาที่ดี คืนนี้เจ้าคงต้องปรนนิบัติข้า" เยี่ยเทียนแสร้งทำเสียงกระเส่าเย้ายั่ว ขณะเอ่ย ดวงตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์ของเขาก็พลันทอประกายระยับ จับจ้องไปที่ใบหน้างามไม่หยุด คล้ายกับหมาป่าที่จ้องจะกินเหยื่อตรงหน้าทั้งตัวก็มิปาน ซือลี่หยางรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่รินรดใบหน้า หัวใจเต้นระส่ำไม่หยุด ทว่าพยายามทำใจดีสู้เสือ "เพคะ คืนนี้หม่อมฉันจะปรนนิบัติพระองค์ให้ดีที่สุด" ดวงตาของเยี่ยเทียนกระตุกเล็กน้อยอย่างหวาดหวั่น แทบไม่เชื่อหู เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก "ตะ แต่ในกระโจมไม่สะดวก อากาศหนาว ไว้วันอื่นจะดีกว่า" ซือลี่หยางเลื่อนมือเรียวบางแช่มช้า ไล้ไปตามแขนหนากำยำ ก่อนที่จะประสานมือของเขากับนางเข้าด้วยกัน กล่าวว่า "หม่อมฉันไม่หนาวเพคะ เราทำกันใต้ผ้าห่มก็ย่อมได้" สิ้นเสียง ดวงหน้าและใบหูของเยี่ยเทียนก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อราวกับนำสีชาดมาแต่งแต้ม แม้แต่ลำคอก็เช่นกัน ซือลี่หยางเห็นท่าทีของเยี่ยเทียนเช่นนั้น ก็อดหัวเราะออกมามิได้ นางหันกายหนี กล่าวทิ้งทวนก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา "เรามาพยายามไปด้วยกันเถิดนะเพคะ หม่อมฉันจะปรับตัวเพื่อพระองค์" สิ้นสุดคำพูด นางก็รีบปิดม่านตาลง หลับใหลด้วยรอยยิ้ม ทว่าเยี่ยเทียนกลับแน่นิ่งไปราวกับต้องคำสาป ในความสับสนระคนหวาดหวั่น ในใจกลับมีความแช่มชื่นแทรกซึมอยู่ในนั้นอย่างน่าประหลาด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม