สองเดือนต่อมา...ช่อเอื้องเข้าเรียนปีหนึ่งที่มหา’ลัยดัง ท่ามกลางสีหน้าและสายตาขวางๆ แม่ทัพ ที่แม้จะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ เพราะวันนี้สาวเจ้าต้องย้ายเข้าไปอยู่ในหอพักนักศึกษาหญิงของมหา’ลัย แถมพอใส่ชุดนักศึกษาก็ดูเปล่งออร่าซะจน...รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ตายจริง! หนูเอื้องน่ารักอะไรอย่างนี้เนี่ยลูก?” มาลีนเอ่ยชมพลางสังเกตสีหน้าท่าทางของบุตรชาย ที่ดูนิ่งขรึมไปอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าลืมอ่านและตอบไลน์ของพี่นะครับ” แม่ทัพบอกคนที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่เช้า ไม่สนว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร ที่ต้องอยู่ห่างกัน แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ห้าวัน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนต้องจากกันเป็นปี
“ค่ะ” คนที่กำลังจะได้เข้าไปใช้ชีวิตนักศึกษาน้องใหม่ในรั้วมหา’ลัย เป็นครั้งแรก ขานรับอย่างรู้สึกตื่นเต้น
“อ้าว! ทำไมทัพทำหน้าบูดแบบนั้นฮะลูก” มาลีนหันไปแหย่บุตรชายอย่างอดไม่ได้
“โธ่! แม่อย่าเพิ่งกวนผมตอนนี้ได้ไหมครับ” แม่ทัพหันไปมองค้อนมารดาที่กำลังจะดึงดราม่ามาใส่ตน
“ให้ตายสิ! แม่ถามเพราะสงสัย มากล่าวหาว่าแม่กวนได้ยังไงกัน” มาลีนออกตัวอย่างขำๆ
“เฮ้อ...ผมว่าแม่รู้ดีที่สุดว่าทำไมหน้าผมถึงเป็นแบบนี้” แม่ทัพกลอกตาที่มารดายังไม่ยอมหยุดล้อ
“เอ่อ...หนูไปก่อนนะคะพี่ทัพ เจอกันวันศุกร์ค่ะ” ช่อเอื้องบอกหลังจากที่เก็บของใส่รถตู้คันใหญ่เสร็จ
“มาหอมแก้มพี่ก่อนครับ” แม่ทัพอ้อนตรงๆ อย่างไม่อายบุคคลที่ 3-4 และ 5 ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ...คือว่า...” ช่อเอื้องอึกอัก ทำตัวไม่ถูก ครั้นจะให้เดินเข้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายก็กระไรอยู่
มาลีนพยักหน้าให้คนสนิทขึ้นไปนั่งรอในรถ แล้วหันไปกระซิบเด็กสาว “หอมๆ ไปเถอะจ้ะ ไม่งั้นทัพอาการหนักแน่ๆ”
“คะ...ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าชายที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ อย่างไม่มีทางเลือก
“จำข้อตกลงของเราได้ใช่ไหม?” แม่ทัพเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งๆ
“จำได้ค่ะ” ช่อเอื้องตอบก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มคนหล่อทั้งสองข้างเบาๆ “เจอกันวันศุกร์นะคะ”
“ครับ” แม่ทัพขานรับด้วยสีหน้าเซ็งๆ มองดูสาวเจ้าวิ่งขึ้นรถไปด้วยสายตาละห้อย อยากจะขับรถตามไปส่งเอง แต่ก็ถูกมารดาสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปเหยียบในมหาวิทยาลัย เพราะตนออกสื่อบ่อย เลยกลัวว่าช่อเอื้องจะถูกจับตาและถูกนินทาหาว่าเป็นเด็กเสี่ยได้
ชั่วโมงต่อมา...หลังจากที่คนสนิทของคุณหญิงมาลีนยกกระเป๋าเดินทางสามใบขึ้นไปส่งที่หน้าห้องพักเสร็จ ช่อเอื้องก็ยกกระเป๋าเข้าไปในห้องพักซึ่งมีเตียงคู่แบบสองชั้นสองเตียง มีโต๊ะที่นั่งทำงานซึ่งติดกับตู้เสื้อผ้า 4 ชุด มีห้องน้ำในตัวและระเบียงหลังห้องพัก
พอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะที่ยังว่างเสร็จ ก็รีบลงไปข้างล่างหอพัก เพื่อจะกล่าวขอบคุณหญิงมาลีนที่ใจดีมาส่งและเป็นผู้ปกครองให้กับเธอ
“ขอบคุณคุณแม่มากๆ นะคะที่มาส่งเอื้อง” ช่อเอื้องยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างรู้สึกซาบซึ้งใจ
“เรื่องเล็กจ้ะ ว่าแต่...มหาลัยนี้น่าเรียนมากๆ เลยนะ ทั้งร่มรื่นกว้างขวาง สะอาด ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสุดๆ” มาลีนเอ่ยชมหลังได้เข้ามาเห็นภายในมหา’ลัย เป็นครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจในความสวยงาม อีกทั้งยังมีโรงแรม ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ กับหอพักอีกด้วย
“ค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มรับบางๆ
“สู้ๆ นะนักศึกษาใหม่ มีอะไรก็โทรหาแม่ได้ตลอด ส่วนเรื่องทัพน่ะ เขาค่อนข้างจะเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้น...บางเรื่องถ้ามันไม่ถูกต้องหรือรู้สึกขัดใจ ก็ไม่ต้องไปยอมซะทุกอย่างนะลูก เดี๋ยวเอะอะอะไรก็จะข่มขู่เอื้องอยู่ตลอด”
“ค่ะ”
“โอเค! เป็นเด็กดีนะ แม่ขอตัวกลับไปดูทัพก่อน ไม่รู้ป่านนี้นั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หรือเปล่า” มาลีนบอกก่อนจะเข้าไปนั่งในรถตู้ที่คนสนิทเปิดรอ
“ค่ะ เจอกันวันศุกร์นะคะ” ช่อเอื้องยืนโบกมือและมองตามจนกระทั่งรถหรูแล่นออกไปลับตา จึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในหอพักอย่างรู้สึกตื่นเต้นที่กำลังจะได้ใช้ชีวิตเหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆ
สองนาทีต่อมา...ช่อเอื้องเปิดประตูเข้าไปในห้องพักก็เห็นเพื่อนร่วมห้องพัก กำลังยืนสำรวจข้าวของของเธออยู่
“สวัสดี เธอคือช่อเอื้องใช่ไหม?” ดรีม เน็ตไอดอลที่เพิ่งจะบินไปศัลยกรรมเหลาใบหน้า เสริมจมูกและเพิ่มขนาดหน้าอกที่เกาหลีมาได้หมาดๆ ทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังเห็นในไลน์กลุ่มของนักศึกษาใหม่ว่ามีใครบ้างที่เป็นรูมเมท ซึ่งโปรไฟล์ของสาวตรงหน้า ก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“ใช่! เธอคือ...” ช่อเอื้องถามค้างไว้อย่างไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร ระหว่าง...ดรีม แฮปปี้ หรือ เอ็นจอย แม้จะเห็นรายชื่อของรูมเมทในแชตไลน์กลุ่มหอพักแล้วเมื่อคืน แต่เธอก็ยังไม่ได้@ไลน์ไปทำความรู้จักกับใครเลยสักคน เพราะถูกเจ้าชายหื่น เอ๊ย! เจ้าชายสายเปย์ เอาแต่คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
“ฉันชื่อดรีมยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“เช่นกันจ้ะ เรียกเราว่าเอื้องก็ได้”
“ว้าว! นี่เธอใช้ไอโฟนรุ่นใหม่ด้วยเหรอเนี่ย?” ดรีมถามอย่างสนใจหลังเห็นอีกฝ่ายล้วงมือถือออกมากดดูที่หน้าจอ
“เอ่อ...จ้ะ” ช่อเอื้องขานรับอย่างเขินๆ
“สวยจริงๆ เลย เราอยากได้บ้างจัง” ดรีมจ้องมองอย่างรู้สึกอิจฉา อยากจะได้มือถือรุ่นใหม่ แต่ว่าเงินของเธอถูกใช้ไปกับการศัลยกรรมหมดแล้ว เลยจำต้องใช้รุ่นก่อนหน้าต่อ
“...” ช่อเอื้องส่งยิ้มให้อย่างทำตัวไม่ถูก เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนมาจ้องมองกระเป๋าที่เธอสะพายอยู่
“อ๊ะ! ใช้กระเป๋าแบรนด์ดังซะด้วย” ดรีมตาโตขึ้นมาทันทีทันใด ไม่คิดว่ารูมเมทจะมีฐานะดีถึงขั้นใช้กระเป๋าใบเป็นแสน
“เอ่อ...เรารีบไปรายงานตัวกันเถอะ” ช่อเอื้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“โอเคๆ” ดรีมเข้าไปควงแขนรูมเมทเดินออกจากห้องพักไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งเพื่อนรักที่รู้จักกันมาตั้งชั้นอนุบาล
รีสอร์ตอินธิรากรณ์...
มาลีนกลับมาถึง ก็รีบตรงไปหาบุตรชายในบ้านพัก กลัวว่าจะกำลังเครียดเรื่องของช่อเอื้อง ซึ่งพอเข้าไปก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งดื่มบรั่นดีอยู่
“ทัพ! โอเคไหม?” มาลีนเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วถามอย่างเป็นห่วง
“ผมพยายามจะโอเคครับแม่” คนที่ดื่มไปสองแก้วหันไปส่งยิ้มให้กับมารดา
“เฮ้อ...ทนเอาหน่อยน่า แป๊บเดียวก็วันศุกร์แล้ว เผลออีกทีเอื้องก็เรียนจบ จบเมื่อไหร่ แม่จัดงานแต่งให้ทันทีเลย” มาลีนรีบปลอบ
“หากครบสี่ปีแล้ว ทุกอย่างไม่เป็นไปเหมือนที่แม่บอกล่ะ หากเอื้องไปเจอหนุ่มๆ ในมหาลัยจีบ แล้วเกิดมีใจให้ไอ้บ้านั่น บอกทีว่าผมต้องทำยังไง?” คนที่ไม่ได้เตรียมใจมาสำหรับเรื่องไม่คาดคิด ถามกลับด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ลูกก็ต้องปล่อยเอื้องไปตามทางของเขา”
“โธ่! แล้วผมจะทำใจยังไงไหวครับ ตรงนี้ของผมมันเป็นของเอื้องไปแล้ว” แม่ทัพบอกอย่างไม่อาย เพราะในชีวิตที่ผ่านมา ตนไม่เคยมานั่งเป็นทุกข์เป็นกังวลกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน
“เฮ้อ...แม่ว่าเราอย่าไปคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะดีกว่านะ ห่วงแต่สาวๆ ในสต็อกของลูกเถอะ จะจัดการเคลียร์ตัวเองตอนนี้ หรือจะรอให้มีข่าวเข้าหูของเอื้องก่อนแล้วค่อยเคลียร์ก็เลือกเอานะ” มาลีนเตือนเรื่องสำคัญ
“ผมจะรีบจัดการครับ”
“ดี! เพราะความรักหากเริ่มต้นด้วยการไม่ซื่อสัตย์แล้ว อีกฝ่ายก็จะจมอยู่กับความหวาดระแวงไปตลอดชีวิต”
“เหมือนที่แม่ไม่เคยรักพ่อได้อย่างสนิทใจ” แม่ทัพหันไปเอ่ยหยอกมารดา
“ใช่! อย่าว่าแต่ตอนที่มีชีวิตเลย ตอนที่พ่อตายไปแล้วแม่ก็ยังระแวงไม่หาย ต้องไปไล่เช็คดูว่ามีกิ๊กเก่าคนไหนของพ่อตายตามไปบ้าง” มาลีนกลอกตาเมื่อต้องเอ่ยถึงสามีที่ครั้งหนึ่งเคยนอกใจไปแอบกิ๊กกับนางแบบดังจนเป็นข่าวฉาวขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ให้ได้อับอาย แม้ว่าเขาจะเลือกเธอกับบุตรชาย แต่ความเชื่อใจมันก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย
“ฮ่าๆๆ” คนที่กำลังเครียดๆ หัวเราะขึ้นอย่างเบรกไม่อยู่
“จริงๆ นะ บางทีแม่ก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะแอบไปมีซัมติงกันในนรกอยู่ก็ได้” มาลีนเห็นบุตรชายอารมณ์ดีขึ้นมา จึงปล่อยมุกต่อ
“ฮ่าๆๆ” แม่ทัพที่หัวเราะจนหน้าแดงก่ำ รีบวางแก้วบรั่นดีลงแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำที่หางตาออก
“แม่ไม่อยากให้ลูกทำพลาด ไม่อยากให้เอื้องต้องมาจมอยู่กับความระแวงเหมือนกับแม่นะทัพ”
“ผมรักเอื้องจริงๆ ครับ รักแบบ...ไม่รู้สิ! ไม่เคยมั่นใจอะไรขนาดนี้มาก่อน ผมอยากจะเป็นโลกทั้งใบของเธอ ไม่อยากจะแบ่งปันรอยยิ้มหวานๆ นั้นให้กับผู้ชายคนไหนมอง” แม่ทัพบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“แม่ว่า...ขณะที่ลูกกำลังพยายามจะเป็นโลกทั้งใบของเอื้อง แต่เอื้องน่ะกลับเป็นโลกทั้งใบของลูกไปแล้ว”
“พระเจ้า! ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนครับ” แม่ทัพหยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“หายเครียดแล้วก็แวะเข้าไปหาผู้จัดการหน่อยนะ เห็นว่ามีเรื่องจะปรึกษาลูกเกี่ยวกับการเพิ่มเมนูที่ห้องอาหาร” มาลีนบอกยิ้มๆ
“ครับ” แม่ทัพขานรับ
“งั้นแม่ไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องนั่งเครื่องไปเชียงใหม่ต่อ” มาลีนบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน
แม่ทัพลุกตามแล้วดึงมารดาเข้ามากอด “เดินทางปลอดภัยครับ”
“จ้ะ รักลูกนะ” มาลีนฉีกยิ้มหวานให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
“ผมก็รักแม่ครับ” แม่ทัพหอมที่แก้มของมารดาเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปส่งขึ้นรถที่ด้านนอก จากนั้นก็ขับรถออกไปที่ออฟฟิตของรีสอร์ต เพื่อคุยงานกับ ผู้จัดการต่อ
เวลา 16:40 น. หลังจากไปรายงานตัวเสร็จช่อเอื้องกับดรีม ก็นั่งรถของมหา’ลัย ที่มีไว้บริการรับ-ส่ง นักศึกษาไปเรียนยังตึกต่างๆ โดยจะแวะเวียนมารับและส่งที่หน้าหอพักทุกๆ 5-10 นาที
ช่อเอื้องไขกุญแจห้องเข้าไป ก็เห็นรูมเมทอีกสองคนกำลังจัดของและเสื้อผ้าใส่เข้าตู้ของตัวเอง จึงรีบเอ่ยแนะนำตัว “สวัสดีจ้ะเราชื่อเอื้อง”
“เราดรีมจ้า” ดรีมส่งยิ้มให้สองสาวที่กำลังหันหน้ามาอย่างรู้สึกอึ้ง
“สวัสดีเราชื่อแฮปปี้ ส่วนนี่เอ็นจอย” แฝดสาวหันมายิ้มตอบและเอ่ย แนะนำตัว
“ว้าว! เรามีรูมเมทเป็นฝาแฝดด้วย” ดรีมอุทานอย่างดีใจ
“นั่นสิ! ยินดีที่ได้รู้จักนะ แฮปปี้ เอ็นจอย” ช่อเอื้องฉีกยิ้มหวานให้กับสองสาวอย่างมีมิตรไมตรี
“เช่นกันจ้ะ เอื้อง ดรีม” แฮปปี้กับเอ็นจอยส่งมือไปจับกับรูมเมททั้งสองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดหนึ่งปีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พวกเธอเพิ่งจะมาถึงเหรอ?” ดรีมถามพลางดึงเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของตัวเองออกมานั่ง
“ใช่ เครื่องบินดีเลย์น่ะ ก็เลยมาช้า” เอ็นจอยตอบพลางถอนหายใจอย่างรู้สึกเซ็งๆ
“พวกเธออยู่จังหวัดอะไร?” ดรีมถามต่ออย่างสนใจ
“พวกเราอยู่กรุงเทพ” แฮปปี้ตอบพลางโยนหมอนขึ้นไปบนเตียงที่อยู่ ชั้นสอง
“ว้าว! เรามีเพื่อนเป็นเด็กเทพด้วยนะเอื้อง” ดรีมเอ่ยแซว
“แล้วเอื้องกับดรีมคนจังหวัดอะไร?” เอ็นจอยถามกลับอย่างอยากรู้
“เราคนเชียงราย” ดรีมตอบ
“เอ่อ...เราคนกรุงเทพฯ. เหมือนกันจ้ะ” ช่อเอื้องบอกก่อนจะดึงเก้าอี้ออกมานั่งตามอย่างรู้สึกเมื่อยขานิดๆ
“อ้าว! แบบนี้ก็สามรุมหนึ่งน่ะสิ” ดรีมบอกพลางหัวเราะเบาๆ
“คิกๆๆ” ช่อเอื้องกับแฮปปี้หัวเราะขึ้นอย่างรู้สึกขำๆ
“เราว่าเอื้องกับดรีมรีบจัดของเถอะ เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินด้วยกัน” เอ็นจอยบอกสองสาวที่ยังไม่ได้จัดที่นอนกับเก็บของใส่ตู้เสื้อผ้า
“ฉันอยากไปกินร้านบุฟเฟต์ที่อยู่ตรงทางเข้ามหาลัย พวกเธอว่าไง?” แฮปปี้ถามความเห็น
“ก็โอเคนะ” ช่อเอื้องบอกอย่างเห็นด้วย
“เยี่ยม! รีบๆ หน่อยก็ดีนะสองสาว เดี๋ยวโต๊ะเต็ม” เอ็นจอยเร่งเพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ
“รับทราบจ้า” ช่อเอื้องกับดรีมรีบไปจัดข้าวของตัวเอง โดยมีแฮปปี้และเอ็นจอยคอยช่วยหยิบนั่นนู่นนี่ส่งให้อยู่ตลอด
รีสอร์ตอินธิรากรณ์...แม่ทัพฟังแผนการตลาดใหม่คร่าวๆ ร่วมสามชั่วโมง แต่จิตใจกลับเอาแต่คิดถึงช่อเอื้อง ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้กำลังทำอะไรอยู่ จึงหยิบมือถือมากดส่งข้อความไลน์ไปถาม
แม่ทัพ : ทำอะไรอยู่ครับ
ช่อเอื้อง : กำลังจะออกไปทานข้าวกับรูมเมทค่ะ
แม่ทัพ : ใครบ้าง?
ช่อเอื้อง : ดรีม แล้วก็ฝาแฝด แฮปปี้กับเอ็นจอยค่ะ
แม่ทัพ : ไปทานที่ไหนกันครับ
ช่อเอื้อง : ร้านบุฟเฟต์หมูกระทะที่อยู่ตรงทางเข้ามหาลัยค่ะ
แม่ทัพ : คิดถึงจัง
ช่อเอื้อง : คิดถึงเหมือนกันค่ะ
แม่ทัพ : จริงเหรอ?
ช่อเอื้อง : จริงสิคะ แล้วพี่ทัพทานข้าวหรือยัง กำลังทำอะไรอยู่?
“เอ่อ...บอสคิดยังไงบ้างครับกับแผนที่ผมเสนอไป” เมธี (ผู้จัดการของรีสอร์ตอินธิรากรณ์ สาขา เชียงราย) เอ่ยถามหลังจากที่เสนอแผนงานต่างๆ เสร็จ
“อืม...เข้าท่าครับ รีสอร์ตของเพื่อนๆ ผมก็ทำกันอยู่” แม่ทัพพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ผมว่าเราอาจจะได้ลูกค้าทั้งในรีสอร์ตและลูกค้าข้างนอกเพิ่ม”
“ใช่ครับ แต่ต้องวางแผนโปรโมทโดยใช้เมนูที่หาทานยากแล้วก็วัตถุดิบที่พรีเมียมกว่าที่อื่นๆ” แม่ทัพเพิ่มเติมส่วนสำคัญ
“ถ้าบอสรับของทะเลโดยตรงจากคุณภัคคินัย ผมว่าทุกอย่างคงจะออกมาดีมากๆ” เมธีแนะนำ
“นั่นสิ! คุณหิวข้าวหรือยัง?” แม่ทัพเลิกคิ้วถามหลังก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ
“นิดๆ ครับ” เมธีตอบยิ้มๆ
“งั้นไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“เอ่อ...หมายถึง...”
“ไปทานที่ข้างนอกครับ เอารถผมไป” แม่ทัพพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ได้ครับบอส” เมธีลุกตามและเดินออกไปที่ด้านนอก แล้วเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตสุดหรูของผู้เป็นนายอย่างดีใจ เพราะทุกครั้งที่ถูกชวนออกไปเที่ยวข้างนอก มักจะมีสาวแจ่มๆ มาร่วมทานข้าวด้วยเสมอ
ยี่สิบห้านาทีต่อมา...ร้านหมูกระทะย่างเนย
“เอ่อ...บอสจะกินที่ร้านนี้จริงๆ เหรอครับ” เมธีถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าผู้เป็นนายจะพามากินหมูกระทะใกล้กับมหา’ลัยดัง
“ครับ คุณเมธีมีอะไรหรือเปล่า” แม่ทัพถามก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ด้านหน้าของร้าน
“ปะ...เปล่าครับ” คนที่คาดหวังว่าจะเจอสาวๆ รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ก็คุณเสนอให้เปิดร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่าง ผมก็พามาสำรวจตลาดไงครับ” แม่ทัพให้เหตุผลก่อนจะเปิดประตูก้าวออกจากรถไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เมธีกลอกตาก่อนจะรีบตามไปติดๆ “แหม...ไอ้ผมก็ตกใจ นึกว่าบอสจะพามาดูนักศึกษาสาวๆ ที่นี่ซะอีก”
“ผมเลิกเกี้ยวสาวนานแล้วครับ” แม่ทัพหันไปบอก
“ฮั่นแน่! แสดงว่าเจอคนที่ถูกใจแล้วใช่ไหมครับ” เมธีเอ่ยแซว เพราะรู้สึกผิดสังเกตที่ผู้เป็นนายเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านพักมาร่วมสองเดือนเต็ม เพิ่งจะโผล่ออกมาที่ออฟฟิตก็วันนี้ ตอนที่ตนตั้งใจเสนอแผนงานก็ทำหน้าเหมือนเบื่อโลก แต่พอมาถึงร้านหมูกระทะกลับอารมณ์ดีขึ้นมาซะงั้น
“ก็ทำนองนั้นครับ” แม่ทัพยอมรับก่อนจะส่งสายตามองหาใครบางคน ที่ทำให้ตนเอาแต่คิดถึง
“มากี่ที่ครับ” พนักงานชายเดินเข้าไปต้อนรับหนุ่มหล่อที่ขับรถหรูมาจอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าร้าน เรียกสายตาของเหล่าพนักงานและลูกค้าคนอื่นๆ ให้พากันหันไปมองกันเป็นแถว
“สองที่ครับ” แม่ทัพฉีกยิ้มบางๆ เมื่อเหลือบไปเห็นช่อเอื้องกำลังลุกเดินไปตักของที่ซุ้มอาหาร
“เชิญทางนี้ได้เลยครับ” พนักงานชายผายมือเชิญ แล้วออกเดินนำไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ
“ลูกค้าเยอะจังเลยนะครับ” เมธีบอกอย่างรู้สึกเขินๆ เพราะภายในมีแต่นักศึกษามหา’ลัย แทบจะทุกโต๊ะ
“นั่นสิครับ” แม่ทัพหันไปตอบคนสนิท
“โต๊ะนี้นะครับ” พนักงานชายบอกลูกค้าทั้งสองคนที่เดินตามมาติดๆ
“ครับ เอ่อ...ไปตักของได้เลยใช่ไหม?” แม่ทัพถามอย่างใจลอยพลางเหลือบไปมองที่ซุ้มอาหารอีกครั้ง
“ตักได้เลยครับ” พนักงานชายตอบด้วยรอยยิ้ม
“งั้นคุณเมธีสั่งเครื่องดื่มรอได้เลยนะครับ” แม่ทัพบอกคนสนิทจบก็รีบเดินตรงไปยังซุ้มอาหารทันที
“ครับ” เมธีขานรับพร้อมกับมองตามอย่างมึนงง ‘อะไรกัน? นี่คุณทัพหิวมากขนาดนั้นเลยหรือไงวะ’
ด้านคนที่กำลังเลือกตักของอย่างเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งจนหน้าเหวอ เมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนกระแอมขึ้นที่ข้างๆ หู
“อะฮึ่ม!”
ช่อเอื้องหันไปมองก็ตกใจที่เห็นเจ้าชายของเธอยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง “พะ...พี่ทัพ! มาได้ไงคะเนี่ย”
“พี่มากับผู้จัดการของรีสอร์ตครับ พอดีเพิ่งจะคุยแผนงานเสร็จ ก็เลยชวนกันขับรถออกมาหาอะไรทาน” แม่ทัพตอบด้วยสีหน้าระรื่น ไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่กำลังพากันจับจ้องมาที่ตนแต่อย่างใด
“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ กลัวว่าเพื่อนๆ จะหันมามองที่เธอกับเขาสุดๆ
“ไม่ต้องกลัวครับ พี่ไม่ได้มากวนเรานะ แค่มาสำรวจตลาดบุฟเฟต์เท่านั้น” แม่ทัพรีบบอกให้สาวเจ้าคลายกังวล
“พี่ทัพจะเปิดที่รีสอร์ตเหรอคะ” ช่อเอื้องถามอย่างสงสัย
“ใช่ครับ” แม่ทัพอยากจะดึงนางฟ้าคนสวยเข้ามากอดและหอมที่แก้มนวลสักสองฟอดใหญ่ๆ ให้หายคิดถึง หรือไม่ก็อุ้มไปขึ้นรถที่หน้าร้านแล้วขับกลับไปนอนที่รีสอร์ตให้รู้แล้วรู้รอด แต่กระนั้น...ก็ต้องหักห้ามใจ
ดรีมที่กำลังตักอาหารอยู่อีกซุ้ม เผลอเหลือบไปเห็นหนุ่มหล่อเจ้าของค่ายมวยดัง ยืนคุยกับเพื่อนร่วมห้องพัก จึงรีบเดินเข้าไปหาทันที
“เอื้อง! เสร็จหรือยัง?”
“สะ...เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” ช่อเอื้องตอบก่อนจะรีบดึงเพื่อนสาวเดินกลับไปที่โต๊ะ
“ใครเหรอครับบอส” เมธีที่เดินมาตักของ เอ่ยถามอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเข้าหาสาวคนไหนมาก่อน แต่เมื่อครู่กลับพูดคุยด้วยรอยยิ้ม ประหนึ่งว่ารู้จักกันมานาน
“ตักของเถอะครับ” แม่ทัพหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแสร้งหันไปตักอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ครับ” เมธีกลอกตา แล้วเดินไปตักน้ำจิ้มที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไม่หายแคลงใจ