ตอนที่ 7
“หยุดได้แล้วกันต์”
แต่แทนที่กันต์ศักดิ์จะหยุด เขายิ่งพูดจาหยามหมิ่นและเสียดสีพฤกษ์หนักขึ้นไปอีก “โธ่...นึกว่าจะกล้า ที่แท้ก็ลูกแง่ ชอบมุดอยู่ใต้กระโปรงพี่ ไปหากระพี่มาใส่เลยไป๊”
น้ำเสียงเยาะเย้ยและดวงตาที่ถากถางอยู่ ทำให้อารมณ์ที่เขาพยายามจะกดลงไว้ใต้ฝ่าเท้าลุกพรึบเหมือนกับไฟที่ไหม้กองฟาง พฤกษ์สะบัดมือพี่สาวออกและโถมกายไปหาน้องชายพร้อมหมัดหนักๆ เสยเข้าที่ปลายคางกันต์ศักดิ์
“ไม่นะพฤกษ์ โอ๊ย!” ใบหน้าปฐมพรหงายขึ้นด้านบน สองมือสองแขนจิกเกร็งและกายบอบบางกระตุกถี่ยิบๆ
“พี่พร!!” สองพี่น้องตะโกนเรียกพี่สาวพร้อมๆ กัน ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงจนทำให้อาการป่วยของปฐมพรกำเริบ แต่คนที่รู้สึกผิดไปมากที่สุด ก็ไม่พ้นพฤกษ์นั่นแหละ
พฤกษ์หันไปคว้าร่างปฐมพรลงจากเก้าอี้ ให้พี่สาวนอนราบกับพื้น “พี่พรครับ พี่พร” ชายหนุ่มตบหน้าพี่สาวเบาๆ เพื่อเรียกคืนสติกลับมา
กันต์ศักดิ์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน รีบกระโดดจากเตียงถลามาหาพี่สาวด้วยความร้อนใจ ไม่คิดว่าความสนุกของเขาจะล้ำเส้นเกินขอบเขต จนทำให้อาการชักกระตุกของพี่สาวซึ่งห่างหายไปนานเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาเบียดร่างกับพฤกษ์เพื่อให้ได้ใกล้ชิดปฐมพรมากที่สุด
“พี่พรครับผมขอโทษ ฟื้นซิครับพี่พร”
“แกไปเอายาและตามหมอมาด้วย” พฤกษ์ตวาดใส่กันต์ศักดิ์ที่ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก ที่ไม่ได้ไปเองเพราะเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ เลยไม่รู้ว่าพี่สาวเก็บยาเอาไว้ที่ไหน
“แกนั่นแหละไปเอามา แกจะให้ฉันเดินโทงๆ ไปในสภาพแบบนี้ได้ยังไงกัน หมาได้ไล่เห่าจนฉันวิ่งหนีไม่ทันเท่านั้นเอง” แม้จะอยู่ในช่วงที่จะต้องร่วมมือกันแต่กันต์ศักดิ์ก็ยังคงไม่ยอมให้พฤกษ์เป็นคนสั่งการ
ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้น นารีรัตน์ซึ่งขาดสติไปโดยไม่รู้ตัวเริ่มมีสติรับรู้ถึงเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู แพขนตายาวงอนกะพริบพี่ ก่อนจะลืมขึ้นทีละน้อย แต่ต้องปิดลงใหม่เมื่อเจอแสงที่สาดส่องมาทำให้ตาพร่ามัว ไหนจะความปวดร้าวทางร่างกายที่แผ่ซ่านจากกึ่งกลางเรือนกายสาวจนเจ็บแปลบ แม้จะกระดุกกระดิกกายก็แทบจะทำไม่ได้ แต่เสียงที่ดังอยู่ไม่ไกลก็เรียกร้องให้ต้องลืมตามอง
หญิงสาวค่อยๆ หรี่ตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกะพริบปริบๆ เพื่อสู้แสงที่ส่องเข้าพร้อมเสียงครางเพราะเจ็บปวด...ทำไมถึงได้เจ็บตรงนั้นถึงขนาดนี้ด้วย แล้วก็เหนียวเหนอะเหนอะเหมือนกับจะมีประจำเดือนด้วย แต่มันเพิ่งจะหมดลงไปก็เมื่อไม่กี่วันนี่น่า นารีรัตน์ไม่มีเวลาคิดนาน เพราะเสียงโวยวายที่ดังอยู่ไม่ไกลเรียกความสนใจได้ชะงัก ที่ทำให้เธอตกใจเมื่อได้เห็น
“พฤกษ์!” ใช่เธอนัดชายหนุ่มเอาไว้ คิดว่าจะไปเที่ยวถ้ำน้ำตกกัน พากันขับรถกินลมเล่น แต่แผนการที่วางไว้คงจะเป็นหมัน เพราะรู้สึกว่าตอนนี้มันสายจนตะวันแยงก้นแล้ว แต่เธอยังคงนอนอยู่บนเตียง ที่ในห้องก็ยังมีคนอื่นอยู่อีกด้วย
พี่พร...มาทำอะไรที่ห้องเธอ แล้วนั่นใคร...แต่งกายไม่เรียบร้อยด้วย เพราะความอยากรู้ นารีรัตน์กัดฟันข่มความเจ็บที่มียันลุกขึ้น แต่เพียงพ้นจากชายผ้าเท่านั้น ไอเย็นก็แผ่ซ่านเข้ามาคลุมกายจนเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำไมร่างกายของเธอเปลือยเปล่าแบบนี้และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบอกกับเธอว่า...
ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้ แต่นั่น...เสื้อผ้าของเธอและมีเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็นของผู้ชายหล่นกองอยู่บนพื้น เมื่อย้อนกลับมามองตัวเองบนเตียงนอน...สภาพยับย่นเหมือนกับมีการต่อสู้กัน คงไม่สู้ร่องรอยแดงเป็นจ้ำบนกายที่มาพร้อมกับความทรงจำซึ่งจางหายไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เธอรู้...เสียใจและเจ็บปวดจนอยากจะหลับตาลงไปใหม่และไม่ยอมตื่น ทว่า...
“ตื่นแล้วใช่ไหมรัตน์ รีบแต่งตัวมาช่วยกันหน่อย” พฤกษ์สั่งการ ขณะช้อนร่างพี่สาวขึ้น เขาเกือบจะพาไปที่บ้านแล้วก็นึกอะไรได้เสียก่อน
“แกก็เหมือนกันไอ้กันต์ รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตามไปที่บ้านใหญ่ เร็วๆ ด้วย” พูดจบพฤกษ์ก็รีบพาพี่สาวไปที่บ้านใหญ่ พร้อมร้องเรียกให้คนงานที่เดินผ่านไปมาช่วยเรียกหมอมารักษาปฐมพรโดยด่วน
ชายหนุ่มเอนตัวอิงเก้าอี้ซึ่งด้านหลังเป็นเหล็ก ด้านล่างเป็นเบาะนุ่มๆ เขาเข้ามานั่งในร้านอาหารกึ่งผับนี้นานแล้ว อาหารก็พอใช้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้อึดอัดจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ก็คงจะเป็นเสียงอึกกะทึกครึกโครมที่ดังอยู่รายรอบตัว
แสงสีอันเนื่องมาจากการตกแต่งตามผนังห้องด้วยแบลคไลท์หลากสีสัน ไฟดาวตก ไฟฝนดาวตกและที่สำคัญคือลูกบอกกระจกลูกใหญ่ที่หมุนวนเวียนไปไม่ไกลจากศีรษะนี่แหละ ส่องไปมาทำให้เขาปวดที่กระบอกตาเป็นอย่างมาก
แต่แสงไฟก็ทำให้เห็นว่าคนที่อยู่ภายในร้านส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่ม สาววัยรุ่นอายุอานามไม่น่าจะเกิดยี่สิบปี ที่ทำให้เขารู้สึกว่าสังคมเดี๋ยวนี้น่ากลัว เพราะภัยซ่อนเร้นที่มีอยู่มากมายเหลือเกิน ผู้หญิงที่ไม่ประสาที่หลงแวะเวียนเข้ามาเที่ยวอาจจะตกเป็นเหยื่ออันเลยร้ายโดยไม่ทันจะรู้ตัว ทว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวทั้งหลายยังคงเต้นด้วยความหฤหรรษ์ โดยไม่สนใจสิ่งใด นอกจากความสุขและสนุกสนานของตัวเอง
ถ้าเขามีน้องเป็นผู้หญิง หรือไม่ก็มีลูกมีหลานเป็นผู้หญิง คงจะต้องดูแลกวดขันให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้มีอิสระส่วนตัว แต่การที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ ควรที่จะต้องมากับคนที่ปกป้องคุ้มครองดูแลไม่ให้ได้รับอันตรายจากทุกๆ สิ่ง
แต่ก็นั่นแหละ ถึงเวลาจริงๆ สิ่งที่คิดคงจะยาก เพราะนิสัยเด็ก มักอยากรู้ อยากลองไปเสียหมดทุกอย่าง ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ แม้สิ่งนั้นจะฝืนความรู้สึกของตัวเองก็ตาม ชายหนุ่มเป่าลมออกจากปากหนาสีแดงสดด้วยไม่เคยแตะต้องของไม่ดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่หรือเหล้า ยกเว้นในครั้งนี้ที่เขากลับดื่มน้ำเมาเหมือนกับมันเป็นน้ำ
ชายหนุ่มมองไปที่ผู้หญิงหน้าตาดีที่ตอนนี้มีชายหนุ่มหลายรายรุมล้อม เขาได้แต่สงสัย คนพวกนี้ชอบเข้าไปได้ยังไง อากาศเต็มไปด้วยควันบุหรี่ สู้บ้านเขาก็ไม่ได้ เสียงสายลมที่ผัดแผ่วพลิ้วให้บรรยากาศเย็นสบายไม่ร้อนรุ่มเหมือนกับสถานที่แห่งนี้ ยามค่ำคืนก็มีเสียงร้องของเหล่าแมลงกลางคืนดังก้องพงไพร คอยขับกล่อมให้คนทำงานหนักนอนหลับสนิทและฝันดี นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของเพื่อนละก็...เขาไม่คิดมาสถานที่แบบนี้แน่
“ถ้ามันยุ่งยากมากนัก...ก็ลักพาตัวไปให้ไกลๆ เลยซิวะ” เขาบอกกับเพื่อนไปอย่างรำคาญใจ
“ที่จะทำ...แกแน่ใจแล้วใช่ไหม”
“ฮื่อ...แค่จับเอาตัวผู้หญิงนั่นมา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ทำไมจะไม่มี แกมีแฟนแล้วนะ คิดหรือว่าเขาจะยอมรับง่ายๆ ผู้หญิง...เข้าใจอะไรยาก คุยก็ยากนะ”
ถ้ายังมีแฟนนะ...เขาไม่คิดทำอย่างนี้แน่ แต่...เขายิ้มเหยียดๆ กับคำพูดของเพื่อน “ฉัน...เลิกกับเขาแล้ว”
“แกไหวนะ”
“ฮื่อ” เขารับคำในลำคอ “ก็แค่เลิกกับแฟน เจ็บหน่อยๆ แต่ก็ยังอยู่ได้...แกคุยกับไอ้เทพแล้วยัง มันว่าไงบ้าง” เขาบอกให้เพื่อนคลายความห่วงใยก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม
“ยังไม่ได้คุยเลย แต่คิดว่าไอ้เทพก็คงจะไม่มีปัญหา”
“งั้นแกก็ส่งรายละเอียดมาให้ละกัน ฉันจะได้รีบจัดการ”
และนั่นทำให้เขามานั่งอยู่ที่นี่ ร้านอาหารกึ่งพับหรูกลางใจเมืองเพื่อเจอกับใครบางคน ซึ่งเขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าจะได้เจอหรือเปล่า แต่แล้วแสงสีจากลูกไฟกลมๆ ก็ทำให้เห็นสาวร่างสูงโปร่งที่กำลังเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกดินระเบิดจนผู้ชายที่นั่งอยู่รอบเป่าปากและส่งเสียงแซวเป็นการใหญ่ พร้อมกับเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ๆ ทำให้เขาสงสัย ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดี ถึงได้เรียกผู้ชายเข้าหาได้มากขนาดนั้น
แสงไฟสลัวๆ มืดบ้างสว่างบ้าง ทำให้เขาต้องปรับสายตาเป็นการใหญ่ เพื่อจะได้มองกายอรชรให้ชัดที่สุด ใบหน้าที่สะท้อนแสงไฟตอนแรกก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าสนใจ แต่มีบางอย่างทำให้ละสายตาจากหญิงตรงหน้าไม่ได้ มันเหมือนมีแรงดึงดูดให้ต้องมองซ้ำอีกครั้ง จำกัดอยู่ที่ใบหน้ารูปไข่ ซึ่งไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่ยิ่งพิศก็ยิ่งงดงามน่าหลงใหล เพราะแบบนี้เอง คนบางคนถึงได้หลงจนลืมคนที่รักและหวังดีซึ่งคอยอยู่เบื้องหลัง