ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วยาม ไป๋ลี่หลินยังคงง่วนอยู่กับหีบสมบัติ นางกำลังพยายามค้นหาของขวัญที่ถูกใจอยู่ แต่เหมือนศิษย์พี่จวินจะทำให้นางผิดหวังเสียแล้ว
“อะไรกันขวดแก้ว หีบนี้ หีบนี้และหีบนี้มีแต่ขวดทั้งนั้นเลยศิษย์พี่มีอาชีพทำขวดขายหรืออย่างไร เอ๋! มีจดหมายน้อยอีกแล้ว” จะให้นางทำอย่างไรได้นอกจากหยิบขึ้นมาอ่านก็เท่านั้น
ขวดแก้วพวกนี้ข้าทำไว้ให้เจ้าใช้เก็บโอสถ มันใช้งานได้ดีกว่าขวดหยกมากข้าทดลองมาแล้วและไม่ต้องสงสัยว่าข้าทำได้อย่างไร ข้ามีวิธี ข้าเก่ง ถ้าของหมดให้แจ้งมาข้ามีวิธีส่งของให้ ในหีบใบเล็กมีหยกสื่อสารอยู่สี่ชิ้น เจ้าเก็บไว้สามชิ้น ฝากให้สหายข้าหนึ่งชิ้นเอาไปฝากไว้ที่หอประมูลให้คุณชายหลงเทียนหรง เจ้าเข้าใจหรือไม่ OK…เป็นอันเข้าใจนะ หวังว่าเจ้าจะชอบห้องที่ข้าตกแต่งให้นะศิษย์น้อง...
ข้อความในจดหมายน้อยก็มีแค่นี้ ‘สหายของท่านทำไมไม่เอาไปให้เองเล่า ส่วนห้องนะหรือ ชิ...ชอบอันใดกันหวานแหววปานนั้น เอาไว้แต่งห้องหอท่านเองเถอะศิษย์พี่’ ลี่หลินอดที่จะเหน็บแนมผู้เป็นศิษย์พี่ไม่ได้ เห็นทีนางคงจะต้องเข้าเมืองแล้วจริงๆ เพื่อส่งของให้กับคุณชายผู้นั้น หลงเทียนหรงสินะ
“ต้าฝูเราอยู่ส่วนไหนของแคว้นกันหรือ แล้วไอ้หุบเขาหมื่นวิญญาณเนี่ยมันอยู่ใกล้เมืองหรือไม่”
“เราอยู่เขตชายแดนติดกับแคว้นวารี จากที่นี่ไปถึงเมืองหลงและหุบเขามังกรก็หนึ่งพันลี้ขอรับ” [1ลี้=500เมตร]
“แล้วเมืองอื่นๆ ของแคว้นนภาเล่าอยู่ไกลหรือไม่” นางก็ถามไปอย่างนั้นแหละ รู้แค่เมืองที่จะไปก็พอแล้วสำหรับนาง
“ไกลสุดคงเป็นเมืองเหยียนอยู่ทิศตะวันออกของหุบเขามังกร ทางทิศเหนือคือเมืองหยาง ทิศใต้ก็เมืองเกาส่วนเราอยู่ทิศตะวันตกของหุบเขามังกรขอรับ แคว้นนภามีแค่สี่เมืองใหญ่ไม่มีเมืองย่อยหรอกขอรับและไม่เคยมีศึกชิงแย่งอำนาจกันด้วย ปกครองแบบประมุขแคว้นไม่มีราชวงศ์เหมือนแคว้นอื่น”
“ว้าว...สุดยอดไปเลยท่านก็รู้มากเหมือนกันนะเนี่ย” มีต้าฝูก็เหมือนมีอากู๋อยู่ในมือ ถามได้ตอบได้ไม่มีขัดนับว่าเป็นอสูรที่มีประโยชน์หลากหลาย ฮิฮิ [อากู๋=กูเกิ้ล]
“นายหญิงยังสงสัยอะไรอีกหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ล่ะ แต่ข้าหิวมากเลยเราเข้าเมืองกันเถอะ แล้วเราจะออกไปอย่างไรละเนี่ย ข้าจะต้องทำลายค่ายกลของศิษย์พี่จวินอีกหรือไม่”
“ไม่จำเป็นขอรับท่านมีหยกแสดงตัวตนอยู่แล้วไม่ต้องกังวลอันใด หากว่านายหญิงหิวที่ครัวของนายท่านไป๋จวินน่าจะมีอาหารอยู่นะขอรับ ”
“ไม่เอาข้าไม่มีอารมณ์ทำกับข้าวหรอกนะ ข้าอยากจะไปชมเมืองและไปเยี่ยมหอประมูลด้วย แต่ต้องเป็นความลับนะข้ายังไม่อยากให้ใครรู้” ได้เวลาสำรวจสินทรัพย์แล้ว นางอยากรู้จริงๆ ว่าหอประมูลนั่นจะเป็นอย่างไรและสหายของศิษย์พี่ผู้นั้นจะเป็นคนแบบไหนกันน๊า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเสียหน่อย สิ่งที่นางสนใจใคร่รู้คือคนบนโลกใบนี้ต่างหากพวกเขาจะใช้ชีวิตแบบไหนแต่งตัวแบบต้าฝูหรือไม่ คงไม่ใช่ออกไปแล้วซัดพลังปราณใส่กันแบบในหนังจีนหรอกนะ ลี่หลินคิดไป...ดวงตาก็เปล่งประกายวูบวาบอย่างคนใคร่รู้
แล้วในที่สุดพ่อเหยี่ยวหนุ่มก็ต้องตามใจนายสาวอยู่วันยังค่ำ ความต้องการของนางก็คือที่สุดแล้ว นายหญิงก็คือนายหญิงเขาบังคับนางได้ที่ไหนกัน
“ไปกันขอรับนายหญิง แต่ท่านต้องสวมหมวกและผ้าปิดหน้าก่อน” ต้าฝูอสูรหนุ่มเตือนนายของตนขืนให้นางไปแบบนี้เมืองหลงคงได้วุ่นวายกันพอดี นางช่างไม่รู้ตัวว่าความงามของนางนั้นไม่ธรรมดาและอาจจะเป็นปัญหาได้ แต่กว่าจะกล่อมให้นางยอมสวมใส่หมวกและผ้าปิดหน้าได้ก็ทำเอาเหยี่ยวหนุ่มเสียน้ำลายไปไม่น้อย
“แต่ข้าอึดอัดนะ มันหายใจไม่สะดวก”
“ทนเอาหน่อยขอรับเพื่อตัวของท่านเอง”
“แล้วจะไปยังไงล่ะ หากจะใช้วิชาตัวเบามันไกลนะ วาปไปไม่ได้หรือ” ลี่หลินคิดว่าเมื่อนางออกจากมิติได้ด้วยวิธีวาปออกมา แล้วเหตุใดจะใช้วิธีเดียวกันนั้นเข้าไปในเมืองไม่ได้ ทั้งสะดวกและประหยัดเวลากว่าเป็นไหนๆ
“นายหญิงกังวลอันใดกันข้าคืออสูรเหยี่ยวนะขอรับ ตอนไปท่านจะวาปไม่ได้เพราะท่านยังไม่รู้จุดหมายที่จะไป ถ้าหากว่าท่านจะไปที่ไหนผ่านมิติท่านจำเป็นต้องจดจำสถานที่นั้นๆ ให้ได้เสียก่อนเพื่อความแม่นยำ ถ้าท่านเข้าใจแล้วเราไปกันเถอะขอรับ”
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง หากนางเคยไปสถานที่ใดมาแล้วและจดจำมันได้นางก็จะสามารถเดินทางผ่านมิติของตัวเองได้...ว้าวว!เดอะจัมพ์เปอร์ยังต้องอาย ลี่หลินยังรู้สึกทึ่งและอึ้งกับสิ่งที่นางมีไม่หาย นางเข้ามาอยู่ในโลกแบบไหนกันนะเนี่ย แม้จะนอนตื่นแล้วตื่นอีกนางก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันคือความฝัน และเป็นฝันที่มหัศจรรย์เหมือนกับอลิสในวันเดอร์แลนด์ไม่มีผิด ส่วนนางคงจะเป็นไพลินอินวันเดอร์แลนด์สินะ ฮ่าๆๆๆ
หนึ่งนายกับสัตว์อสูรเมื่อตกลงกันได้ก็พากันเดินทางออกจากหุบเขาหมื่นวิญญาณ ด้วยความเร็วของเหยี่ยววายุพวกเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ออกจากหุบเขาหมื่นวิญญาณได้แล้ว [1เค่อ=15นาที]
สองวันที่แล้วที่หอประมูลไป๋หลง...
“มีข่าวอะไรคืบหน้าบ้างหรือไม่” บุรุษสวมหน้ากากครึ่งใบหน้าเอ่ยถามคนของตน
“ไม่มีขอรับนายท่าน แม้แต่สายข่าวที่แคว้นเหมันต์ก็ยังเงียบขอรับ”
“สืบหาต่อไปมันเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลไป๋จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้” ‘เสี่ยวจวินเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน น่าจะส่งข่าวให้ข้ารับรู้บ้าง’ หลงเทียนหรงผู้เป็นประมุขของหอประมูลและเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลหลงทั้งยังพ่วงตำแหน่งกุนซือของสำนักมังกรสายฟ้า เขากำลังให้คนสืบหาตัวของสหายรักที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย นับเป็นเวลาหลายปีทีเดียวแต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย จนเขาแทบจะถอดใจอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังเฝ้าตามหาสหายตัวน้อยผู้นั้น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว...
เวลาปัจจุบันสุดขอบเขตชายป่าของหุบเขาหมื่นวิญญาณ…
“เราต้องลงตรงนี้นะนายหญิง เราไม่สามารถบินเข้าเมืองได้ขอรับ เดี๋ยวผู้คนจะแตกตื่นเอา”
“อืม...แล้วแต่ท่านเลย”
หน้าประตูเมืองหลงมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ไม่น้อยต่างก็กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลงกันอย่างคับคั่ง
“คนเยอะเสียจริงแล้วเมื่อไหร่เราจะได้เข้าเมือง” ลี่หลินอดบ่นไม่ได้เมื่อนางเห็นผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียดและตัวนางเองก็อยู่ท้ายแถวด้วย คงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่านางจะได้เข้าเมือง
“นายหญิงตามข้ามาเราต้องไปเข้าอีกประตูหนึ่ง ประตูฝั่งนั้นสำหรับรถม้า พวกพ่อค้าวาณิชย์และผู้คนทั่วไป ส่วนประตูนี้สำหรับราชวงศ์และเหล่าจอมยุทธ์ขอรับ”
“สองมาตรฐานเห็นๆ” ลี่หลินว่าให้กับความไม่เท่าเทียม ไม่ว่าจะโลกไหนมันก็ไม่ต่างกัน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมมีให้เห็นอยู่ทุกที่ แต่นางก็ต้องทำตามกฎของที่นี่อยู่ดีแม้จะรู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบผู้อื่นก็ตาม เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอย่างนั้นสินะ
“เพื่อการตรวจสอบและความเรียบร้อยต่างหากขอรับ” ดูท่าตระกูลไป๋คงเลือกผู้สืบทอดเพราะนิสัยเป็นแน่อสูรหนุ่มมั่นใจ ตอนที่เขาพบนายท่านไป๋จวินครั้งแรกนิสัยและท่าทางก็เป็นแบบนี้เลย
“ท่านจอมยุทธ์สองท่านนี้ไม่ทราบว่าท่านมีใบอนุญาตผ่านเข้าเมืองหรือไม่ขอรับ” เป็นยามเฝ้าประตูที่เอ่ยถามพวกเขาสองคน ด้วยท่าทีที่สุภาพและนอบน้อม
ไป๋ลี่หลินไม่มีใบอนุญาตผ่านเข้าเมืองและนางกำลังจะหยิบหยกของหอประมูลเพื่อแสดงตัวตนแต่ต้าฝูได้ห้ามเอาไว้ก่อนเพราะนางบอกว่าจะมาแบบลับๆ แค่มาสอดส่องดูหอประมูลเท่านั้นแต่ยังไม่ทันจะเข้าเมืองนายหญิงของเขาก็คิดจะเผยตัวตนให้คนรู้เสียแล้ว
“ข้ามี”
‘แล้วทำไมไม่บอกข้าแต่แรกเล่า’ ลี่หลินแอบบ่นให้อสูรหนุ่มอยู่ในใจ
“หยกเอาไว้ใช้แค่ที่หอประมูลก็พอ ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นที่สนใจมากนัก”
“อืม...ข้าเข้าใจแล้วแล้วทีนี้เราจะไปไหนก่อนดีล่ะ” มีอากู๋ อยู่กับตัวก็ต้องถามอากู๋สิ ฮิฮิ [อากู๋=กูเกิ้ล]
“ท่านบอกว่าหิวนี่ขอรับ” อสูรหนุ่มกล่าวเตือนความทรงจำให้กับเจ้านาย
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปหอประมูลกัน ข้าไม่มีเงินเราต้องไปหาเงินก่อนหรือท่านจะให้ข้าใช้หินปราณจ่ายค่าข้าว”
“.......” ไร้ซึ่งคำโต้แย้งจากต้าฝู ‘นี่ข้ายังไม่ทันได้ว่าอะไรท่านเลยนะ’ เฮ้อ..นายหญิงของเขาช่างพูดเองเออเองได้ลื่นไหลจริงๆ
ย้อนกลับไปที่ประตูเมือง...
“ท่านหัวหน้าเฉิน ท่านว่าเราควรรายงานให้เบื้องบนทราบหรือไม่ข้าไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนเลย พวกเขาดูแปลกๆ นะท่านว่าไหม”
“พักนี้จอมยุทธ์เข้าออกเมืองก็มากมายเจ้าเพิ่งจะมาทำงานได้สองวันหากไม่เคยเห็นพวกเขาก็ไม่แปลก พวกเขาก็มาปกติไม่ได้ก่อความวุ่นวายใดๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องรายงาน” หัวหน้าเฉินแม้จะบอกลูกน้องไปอย่างนั้นแต่ตัวเขาเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน จอมยุทธ์ที่ไม่สามารถสัมผัสพลังได้แม้แต่นิดเดียวเขาเองก็ไม่เคยเจอ
“ทราบแล้วขอรับท่านหัวหน้า”