“เหนื่อยหรือไม่ หากเหนื่อยแล้ว แม่ว่าเราหยุดพักที่โรงเตี๊ยมข้างหน้าเถิด”
“ยังไม่เหนื่อยเลยท่านแม่ แต่หากท่านเหนื่อย ข้าว่าเรานอนพักที่นั่นก็ได้” เจ้าลิ่วเอ่ยอย่างกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจของนาง “แต่ถ้าท่านอยากประหยัดหน่อย ข้าว่าพวกเราไปนอนที่วัดกันดีหรือไม่ ที่วัดนอนพักหรือกิน ล้วนไม่เสียเงินสักอีแปะ”
มี่ฮวนยิ้มแล้วยกแขน นางอยากโอบไหล่ของบุตรชาย นางเขย่งแทบตายก็สูงไม่ถึงเขา ได้แต่กอดเท่าที่แขนของนางจะอ้อมไปถึงแล้วเอ่ยตอบไปว่า “แม่ว่าเรานอนที่โรงเตี๊ยมข้างหน้านี่ก็ได้ เงินของพวกเรามีเยอะแค่ไหนเจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
เจ้าลิ่วหันหน้ามาถามทันที “มากแค่ไหนหรือท่านแม่”
“มากเสียจนจะถูกหนูแทะหมดแล้วน่ะสิเจ้าลูกวัว”
“เช่นนั้นเราก็เข้าพักที่นั่นเถิด แต่ข้าว่าไปโรงเตี๊ยมตรงนั้นดีกว่า ดูน่าพัก ท่าทางจะแพงมากกว่านะท่านแม่”
“เช่นนั้นไปตรงโน้นดีกว่า แม่ว่าน่าจะแพงกว่าตรงนี้”
“เช่นนั้นเราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมาย แล้วหาซื้อบ้านสักหลัง ดีหรือไม่ท่านแม่”
มี่ฮวนได้ยินบุตรชายกล่าววาจายอกย้อนไปมาเช่นนั้นก็นึกขำ แม่ลูกพากันพูดจาใหญ่โตว่าจะซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้เนื่องจากมีเงินมากมาย พูดไปก็ขำกันไป สองแม่ลูกพูดคุยกันไปพลาง แวะเก็บต้นสมุนไพรข้างทางที่เห็นว่าเป็นยาใส่ลงในกระเป๋าผ้าของตนขณะสัญจรผ่านไปพลาง
จวบจนเหนื่อยอ่อนแล้ว ค่อยแวะพักที่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง มี่ฮวนดึงเอาหนังวัวผืนใหญ่ออกมากางนอน สองแม่ลูกรอจนรุ่งสางแล้วจึงได้ออกเดินทางกันต่อ
จากเมืองที่จากมาจนถึงเมืองท่าที่เป็นจุดหมาย สองแม่ลูกใช้เวลาเดินทางร่วมแปดวัน
มี่ฮวนก้าวเข้ามาในเมืองนี้แล้วก็มองไปรอบๆ พลางคิดไปว่า ดูแล้วนางกับลูกน่าจะอยู่เมืองนี้ได้นาน เนื่องจากมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ท่าทางจะทำมาหากินได้รุ่งกว่าที่อื่นที่เคยปักหลักทำมาหากินมา
บุตรชายของนางมองผู้คน มองบ้านเมืองที่เป็นเมืองท่าแห่งนั้นด้วยสายตาตื่นเต้น เพราะแต่ละเมืองที่เคยผ่านมานั้นมิได้ดูเจริญหูเจริญตาอย่างเมืองท่าเมืองนี้
“ท่านแม่ดูสิ่งนั้น เรียกว่าอย่างไรหรือ”
มี่ฮวนเองก็มิรู้ว่าสิ่งที่ลูกถามเรียกว่าอย่างไร เนื่องจากนางเองก็ตัวคนเดียว อีกทั้งสิ่งต่างๆ ในเมืองที่เจริญแล้วเช่นนี้ นางไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงคิดตั้งชื่อสิ่งที่ลูกถามเสียเองเลย
สิ่งที่บุตรชายถามนางนั้นมีลักษณะเป็นผ้าผืนยาว สีฉูดฉาด ใช้สองคนขึงที่หัวและท้าย หน้าตาเหมือนสัตว์
ใช่สิงโตหรือไม่
“แม่ว่ามันน่าจะชื่อ... เจ้าตัวยาวแบบใช้คนขึง เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เจ้าลิ่วได้ยินคำตอบของแม่แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อนั้นอย่างแน่นอน แล้วก็อดหัวเราะท่านแม่ของตนเสียงดังมิได้ จนคนที่สวนทางไปมาหันมองพวกนางสองแม่ลูก
แม่ลูกจึงดึงมือกันไปมาให้หลบทาง ตาก็มองดูความเจริญจนพอใจแล้วถึงได้หันมามองหน้ากันเพื่อถามความเห็น
“เราจะเช่าบ้านอย่างเดิมหรือจะทำอย่างที่เจ้าว่า หาซื้อบ้านสักหลังเสียเลย”
“เช่าบ้านดีกว่าท่านแม่ มองหาลาดเลาค้าขายดูก่อน หากค้าขายคล่อง พวกเราค่อยซื้อก็ไม่สาย หรือท่านแม่ว่าอย่างไร”
มี่ฮวนมองลูกชายด้วยสายตาปลื้มปริ่มปนเทิดทูน เจ้าลิ่วของนางนั้นโตเกินวัยจริงๆ มิใช่แค่ร่างกายเท่านั้น หัวสมอง สติปัญญา ความคิดล้วนเหมือนคนโตแล้ว ทั้งๆ ที่เติบโตมากับนางเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้น ไม่เคยอ่านเขียนเรียนในโรงเรียนอย่างลูกคนอื่น
คิดมาถึงตรงนี้ก็อดสงสารลูกไม่ได้
สองแม่ลูกจึงตัดสินใจนำเงินที่มีไปหาเช่าบ้านอยู่ที่ท้ายตลาดแล้วคุยกันไว้ว่าวันรุ่งขึ้นจะออกเดินสำรวจทั่วเมืองท่าแห่งนั้นอีกครั้ง ดูว่าที่นี่มีสิ่งใดให้ตนทำมาค้าขายได้บ้าง นอกเหนือจากสมุนไพรตากแห้งที่พากันขนมาเต็มรถลากคู่ทุกข์คู่ยากคันนั้น
เกี้ยวยักษ์จู่ๆ ก็ถูกหยุดเคลื่อน ไม่ต้องมีเสียงถามดังออกมาจากด้านใน ผู้ติดตามคนสนิทเข้าไปกระซิบบอกที่ด้านข้างของเกี้ยว
“มีเหตุชุลมุนเกิดขึ้นที่ด้านหน้าจึงไปต่อมิได้ขอรับ”
คนในเกี้ยวมิได้สนใจเหตุชุลมุน
ตอนนั้นเองที่ได้กลิ่นของสิ่งที่ตามหาโชยฉุนเข้ามาแตะที่ปลายจมูกอีกครั้ง เขารั้งผ้าบนเกี้ยวที่ปิดอยู่นั้นออก แล้วเคลื่อนกายลงไปที่ด้านล่าง
จ้าวหลิวยืนปิดตาลงทั้งสองข้างแล้วใช้เพียงจมูกนำพาก้าวขาเดินตามไปจนถึงกลิ่นนั้นในที่สุด ร่างสูงใหญ่ของเจ้าสำนักไฮว่ชั่วหยุดลงที่หน้าเด็กหนุ่มร่างหนึ่งแล้วเปิดเปลือกตามองคนตรงหน้า
ชั่วเวลานั้นดวงตาของทั้งคู่ต่างซุกซ่อนเหลือบสีแดงหลังดวงตาดำของตน จับจ้องกันอึดใจ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยอาการตื่นตะลึงตกใจ ก็ค่อยยกมือขึ้นทำท่าคำนับ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าสนใจมองตน จึงรีบเอ่ยขึ้น
“วันนี้ยาของเราหมดแล้วขอรับนายท่าน หากนายท่านอยากได้ยาตัวใด บอกข้าน้อยไว้ได้เลย พรุ่งนี้ข้าน้อยจะ..”
คนขายยังกล่าวไม่ทันจบ ผู้ที่ยืนเบื้องหน้าตนพูดแทรกเสียงเบาขึ้น ท่าทางผิดหวังซุกซ่อนในอาการเรียบเฉยเย็นชาจนใครก็มองไม่ออกแม้แต่คนเดียว
“ที่แท้เป็นเจ้าเอง”
“ข้า ข้าทำไมหรือขอรับ” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยท่าทีสงสัย
จ้าวหลิวมิตอบคำใด เขาหันหลังแล้วจากไปอย่างหมดความสนใจในตัวเด็กหนุ่มขายยา เมื่อกลับขึ้นไปบนเกี้ยวอีกครั้ง หูของเขาพลันได้ยินเสียงเรียกที่ดังมาจากอีกทิศทาง เสียงนั้นทำเอาหัวใจที่เต้นราบเรียบมานาน ขยับจังหวะเต้นไวขึ้นอีกสิบระดับเลยทีเดียว
“ขายหมดหรือไม่เจ้าลูกวัว”
“หมดแล้วขอรับ”
“เก่งมาก แล้วไหนเงิน”
จ้าวหลิวขยับมือเพื่อจะรั้งผ้าปิดตรงหน้าให้เปิดออก แต่ก็มองไม่เห็นเจ้าของเสียงนั้นได้อย่างชัดเจนเท่าไรนักเพราะมีขบวนคลื่นมนุษย์ฝูงใหญ่กรูกันไปยังร้านฝั่งตรงข้ามที่เปิดขายของลดราคาขวางหน้าเขาเข้าพอดี
จ้าวหลิวเคลื่อนกายออกจากเกี้ยวอย่างไวจนผู้ใดก็มองตามไม่ทัน
เขาลงมาแล้วกลับไม่พบร่างของเจ้าของเสียงนั้นแล้ว
ผู้ติดตามคนสนิทรีบเข้ามายืนกันคนอื่นตรงเบื้องหน้าผู้เป็นนาย เสี้ยวขณะนั้นตนก็มิอาจระบุได้ว่าดวงตาท่านเจ้าสำนักจับจ้องไปยังทิศทางนั้นด้วยเหตุใด และด้วยความรู้สึกเช่นใด แต่มิได้เป็นไปในหนทางที่เลวร้ายอย่างแน่นอน