นางกระชับผ้าคลุมหน้าพร้อมเอ่ยอย่างใจใหญ่
เจ้าของร้านขายยาที่ยืนกดราคาสมุนไพรย่อมไม่มีทางยอมเพราะตนมาก่อน เขาหันไปมองยังหญิงร่างเล็กผู้นั้นก่อนเสนอราคาใหม่อีกที “เช่นนั้นข้าให้ 60 ตำลึง เอามาเลย ไม่ต้องต่อรองอันใดกันอีกแล้ว”
“ขอรับนายท่าน”
เด็กร่างโตราวบุรุษ ทั้งที่อายุเพียงสิบปีเท่านั้นกล่าวตอบและค้อมศีรษะให้ชายที่กดราคาตน ก่อนจะส่งของไป รับเงินมาแล้วเดินหายลับเข้าไปในตรอกข้างโรงเตี๊ยมที่ตนขนของมาขายที่นี่อยู่เสมอ แล้วจึงเอ่ยขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเดินตามหลังมา
“เราต้องถูกจับได้สักวันแน่ๆ เลยท่านแม่”
“เถิดน่า วันนี้ไม่ถูกจับได้ก็แล้วไป”
มี่ฮวนยิ้มแล้วคลายผ้าที่ใช้คลุมใบหน้าของตนออก เพื่อรับเงินจากบุตรชายมาเหน็บเก็บเข้าที่ตรงขอบเอว แล้วยิ้มให้เจ้าลิ่ว บุตรชายที่โตเกินหน้าเกินตาเด็กคนอื่น ทั้งร่างกายและความคิดก่อนจะตรงมาโอบบุตรชายพากลับไปยังบ้านเช่าด้วยกันจากนั้น
ที่ใส่สมุนไพรแบบสานถูกวางลงที่ตรงด้านหน้าของโรงเตี๊ยมอย่างหวงแหน ก่อนจะมีเสียงถามมาจากทางด้านหลังของชายผู้นั้น
“ต้นฉิวฉ่งนี่ ท่านซื้อมาจากที่ใดหรือ”
“ข้าไม่ขายต่อหรอกนะ”
ชายต่างเมืองที่ได้ยาหอบใหญ่ดึงเอาชุดสานที่ด้านในมีต้นฉิวฉ่งอัดแน่นเต็มอยู่ในนั้นเข้ามากอดเสียแน่น ราวกับกลัวจะถูกแย่ง
“ข้าแค่ถามว่าเจ้าเอามาจากที่ใด”
“ข้าซื้อจากเด็กหนุ่มที่หาบมาขายน่ะสิ อยากได้หรืออย่างไร ข้าไม่ขายให้หรอกนะ หมดนี่เพียง 60 ตำลึงเท่านั้น”
“เหตุใดจึงซื้อมาแพงนัก ข้าเห็นที่หน้าตลาดก็มีขาย คล้ายกันแบบนี้เลย นางขายเพียงแค่ 20 ตำลึงเท่านั้น”
ชายผู้นั้นตกใจอย่างหนัก เขาหอบเอาใส่ต้นฉิวฉ่งที่เหมามาเมื่อครู่นี้ตรงไปยังหน้าตลาด พบว่าจริงอย่างที่ชายแปลกหน้ากล่าวไว้จริงเสียด้วย ทุกอย่างคล้ายกันหมด ทั้งยังถูกกว่าที่ตนมีอีกต่างหาก นึกแล้วเจ็บใจนัก คิดว่าจะได้ของดีราคาถูกเสียอีก
“ท่านแม่ ข้าว่าเราย้ายไปที่อำเภอเจียงเหิงดีหรือไม่”
มี่ฮวนพับเงินที่ขายสมุนไพรในวันนี้อย่างอารมณ์ดี นางเก็บลงให้ห่อผ้าที่เย็บเองสำหรับใส่เงิน แล้วถึงได้เอ่ยถามบุตรชายกลับไป
“เราต้องย้ายไปที่นั่นทำไมกันล่ะ”
“ป้าซูบอกว่าที่นั่นคนเยอะกว่าอำเภอนี้”
เจ้าลิ่วตอบ แล้วลุกไปเก็บอุปกรณ์ขุดหาสมุนไพร หลังจากนำไปล้างดินทรายออกและเช็ดจนสะอาดและแห้งดีแล้ว
“มิใช่ว่าเจ้าหลอกขายยาไม่ได้แล้วหรือ จึงอยากย้ายแหล่งทำกินน่ะ” มี่ฮวนถามกลับยิ้มๆ คนเป็นลูกหันมายิ้มแล้วจึงเอ่ยล้อเลียน
“ท่านแม่ เราคือร้านเดียวกันนะ ท่านพูดดักคอข้าเช่นนี้ทำไม”
“ข้าหรืออุตส่าห์คัดต้นฉิวฉ่งด้วยตัวเอง ทั้งรัก ทั้งถนอม แต่เจ้ากลับขายมันได้อย่างไรกัน แค่ต้นละ 20 อีแปะ จากที่ควรจะขายต้นละ 1 ตำลึงด้วยซ้ำ” นางพูดแล้วก็ยักคิ้วให้บุตรชาย “ป่านนี้แล้วชายผู้นั้นไม่รู้ว่าจะรู้ตัวหรือยังนะว่าถูกเจ้าหลอกขายของฟรีราคาแพงน่ะ”
“เถิดน่าท่านแม่ อย่างน้อยพวกเราก็ได้กำไร”
เจ้าลิ่วเอ่ยตอบนางกลับมา มี่ฮวนลุกแล้วตรงมายืนข้างลูกชายที่สูงกว่านางเกือบเท่าตัว แล้วเอ่ยถามไปยังสาเหตุที่ลูกอยากย้ายไปยังอีกอำเภอ
“เหตุใดเจ้าถึงย้ายไปที่นั่น”
“ป้าซูบอกว่าที่นั่นค้าขายคล่องเพราะเป็นเมืองท่า คนผ่านไปผ่านมามากมาย ข้าเลยคิดว่าเราน่าจะหอบยาที่ตากแห้งไว้มากมายนี่ไปขายดู ท่านเห็นว่าเป็นเช่นไร”
มี่ฮวนมองยาสารพัดที่นางและลูกช่วยกันหามาและตากแห้งเก็บไว้ขายมันกองอยู่เป็นตั้งหลายตั้งเลยทีเดียว จะว่าไปลูกของนางหัวการค้ามากกว่าเสียอีก แม้ที่นี่จะพอขายได้แต่ไม่แน่ว่าที่เมืองท่าเช่นนั้นอาจขายได้มากกว่า
“แม่ว่าที่นี่ก็ยังพอขายยาพวกนี้ได้อยู่นะ แต่เอาเถอะ หากเจ้าลิ่วของแม่อยากไป เช่นนั้นเราก็ย้ายไปกันเถิด”
“ขอรับ”
เจ้าลิ่วเลียนแบบจากที่เคยได้ยินมาจากเสี่ยวเอ้อในโรงน้ำชา แล้วช่วยกันเก็บข้าวของที่จำเป็นลงในห่อผ้าแล้วพากันลากรถที่กัดฟันซื้อมาเพื่อขนสมุนไพรตากแห้ง แล้วออกเดินทางย้ายไปยังเมืองท่าที่ว่านั่น
แม่ลูกสวนทางกับขบวนเกี้ยวขนาดยักษ์ที่เบียดทางเข้ามาตัวตลาดพอดี
เกี้ยวขนาดใหญ่สิบสองคนหามตรงถนนเข้าไปยังกลางตลาดทำเอาชาวบ้านเปิดปากจะด่า แต่เมื่อเห็นคนผู้หนึ่งถลึงตาใส่ก็หวาดกลัวถอยร่นแทบไม่เป็นกระบวนท่าเลยทีเดียว
และในตอนนั้นเองที่มีเสียงแหบทว่าทรงพลังสั่งให้หยุดเกี้ยว ผู้ที่เดินขนาบมาด้านข้างขยับเข้าไปบอกคนในเกี้ยวทันทีที่ได้ยินคำสั่งนั้น
“ยังไม่ถึงเลยนะขอรับ”
คนบนเกี้ยวมิได้กล่าวคำใด ร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์เล็กน้อยวาดมือเปิดผ้าบังตาออกแล้วย้ายตนเองลงมาจากเกี้ยว ทำเอาคนทั้งอำเภอต่างพากันตกใจ ตื่นตะลึงกับสิ่งที่พบเห็น
ร่างนั้นสูงใหญ่ผิดมนุษย์ ใบหน้าหล่อเหลาอย่างที่ไม่เคยเห็นมนุษย์คนใดมีใบหน้าเช่นนี้มาก่อน คิ้วเข้มพาดเฉียงได้รูปงดงามเมื่อมองที่ดวงตากลับพบว่าเป็นสีดำเหมือนคนทั่วไปก็จริงแต่มีเหลือบแดงๆ เล็กน้อยในตาคู่นั้น จมูก ปาก สวยงามแข็งแรงรับกันไปหมดทั้งใบหน้า
ร่างสูงร่างนั้นลงจากเกี้ยวมาแล้วก็มิได้มองไปที่ผู้ใด ดวงตาสีดำเหลือบแดงคู่นั้นบนใบหน้าของจ้าวหลิวหากยามปกติ ใครได้มองในทีแรกจะไม่พบว่าจุดสีแดงก่ำที่ตรงกลางของดวงตา แต่หากเมื่อได้จ้องมองแล้วก็จะรู้สึกขนหัวลุกชันด้วยความกลัวด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนจิตแข็ง กระทั่งพระบวชนานปีก็ยังหวั่นเกรงต่อสายตาคู่นั้นด้วย มองแล้วคล้ายจะลืมหายใจ อีกนัยคือคล้ายกับจะถูกดูดวิญญาณออกไปจากร่างได้เลย หากจ้องตาผู้นั้นนานเข้าอีกหน่อย
ร่างสูงผิดจากมนุษย์ทั่วไปไม่มากปิดเปลือกลงกั้นดวงตาเขาไว้ชั่วขณะ แล้วสูดจมูกไปยังกลิ่นบางอย่างกลิ่นนั้น ก่อนจะสาวเท้าเดินตามกลิ่นนั้นไป
อู๋จี๋เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปขนาบข้างผู้เป็นนาย แล้วเอนตัวเล็กน้อยเพื่อเอ่ยถาม “มีอันใดหรือขอรับท่านเจ้าสำนัก”
แม้จะผ่านมานานเป็นสิบปีแล้ว แต่จ้าวหลิวก็จำกลิ่นนี้ได้ หากไม่พบก็แล้วไป แต่เมื่อมีโอกาสได้พบกัน เขาจะตอบแทนนางสักครั้งที่ปลดปล่อยเขาจากโซ่ตรวนและยังถูกเขาล่วงเกินนางอีกด้วย