ตอนที่ 10 ราชโองการเก่าและราชโองการใหม่

1450 คำ
ชายร่างสูงในอาภรณ์สีครามเข้มทอดสายตามองไปยังสระบัวด้านหลังตำหนักพลางนึกถึงเรื่องราวที่เคยผ่านมาเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นไม่คิดว่าจะมีสตรีมากความสามารถปรากฏตัวขึ้น หากไม่ได้นางช่วยเหลือเขาคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ฝ่ามือใหญ่ลูบริมฝีปากของตนไปมาก่อนเอ่ยพึมพำ “เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วยงั้นสินะ” หลังจากนั้นกว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาในตำหนักเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าหนึ่งวันเต็ม เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้รัชทายาทไม่เคยคิดจะไว้ใจผู้ใดอีกเลย ครอบครัวขององครักษ์นายนั้นถูกสังหารทั้งตระกูล เมื่อทหารไปถึงทั้งบ้านก็เหลือทิ้งเอาไว้เพียงซากศพซึ่งตายมาแล้วหลายวัน คนตายพูดไม่ได้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เจตนารมณ์ที่คิดการใหญ่ขออีกฝ่ายว่าเป็นความตั้งใจของเขาเองหรือได้รับคำสั่งใครมา หากเป็นข้อหลังคงต้องบอกเลยว่าคนคนนั้นรอบคอบอย่างมาก สุดท้ายคดีนี้ถูกปิดลงด้วยข้อสรุปที่ว่าผู้ร้ายลอบปลงพระชนย์ตั้งใจสังหารรัชทายาทเตรียมการมาอย่างดีด้วยการสังหารคนในครอบครัวด้วยตนเอง ยามเมื่อไร้บ้านให้กลับความตั้งใจที่มีไม่สามารถหันหลังหนีได้อีก การเตรียมใจสังหารองค์ชายขององครักษ์หนุ่มหนักแน่นยิ่งกว่าสิ่งใดก่อนสุดท้ายจะฆ่าตัวตายตาม เรื่องที่ผิดแผนไปมีเพียงเป้าหมายการลอบสังหารนั้น...ยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนต่างสาปแช่งและประณามการกระทำของมือสังหารผู้ลงมือกับโอรสสวรรค์ กลับกันห่าวซวนเป็นเพียงคนเดียวที่จัดการฝังศพของอดีตองครักษ์ด้วยตนเอง เขาไตร่ตรองแล้วว่ามีช่องโหว่มากมายซึ่งอีกฝ่ายสามารถทำร้ายตนถึงแก่ชีวิตโดยทันทีได้ หากเป็นที่ลำคอ ศีรษะหรือหัวใจเขาคงไม่ตายเพราะจมน้ำหรอก แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นความตั้งใจของเจียงเฉิงก่อนจะเข้ามารับใช้เขา ช่วงเวลาที่มีมาด้วยกันนั้นมิใช่เรื่องหลอกลวงด้วยกระบี่ที่ฟาดฟันมามันอัดแน่นไปด้วยความลังเลและเสียใจจนเขายังรู้สึกได้ องค์รัชทายาทเริ่มเย็นชาและเว้นระยะห่างจากผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่ประสบทำให้เด็กหนุ่มในวันวานเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาไม่ได้โกรธแค้นหรือยึดติดกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเพียงแต่เรื่องที่ผ่านเข้ามาเป็นบทเรียนอันล้ำค่าซึ่งสอนให้เขารู้ซึ้งถึงชีวิตมากขึ้นเท่านั้น ตำหนักใหญ่เฉียนชิง ในช่วงเช้าหลังจากตะวันทอแสงได้ไม่นานแขกที่ไม่ได้นัดไว้ก็ย่างเท้าเข้ามายังตำหนักใหญ่ หวงลู่จื้อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใครจึงอนุญาตให้เข้ามาโดยมิได้ตำหนิ “มาหาข้าแต่เช้า เจ้ามีอะไรถึงรีบร้อนขนาดรอเวลาไม่ได้” เขาเอ่ยถามลูกชายที่ปีนี้ย่างเข้าวัยยี่สิบแล้วแม้จะไม่ได้เอ่ยชมต่อหน้า แต่ลึกในใจเขาภูมิใจมากที่ห่าวซวนโตขึ้นมาเป็นชายชาตรีควรค่าแก่การเคารพ “ดูเหมือนว่ากระหม่อมจะมีบางสิ่งขัดกับราชโองการที่กำลังรอประกาศของเสด็จพ่ออยู่พ่ะย่ะค่ะ” ราชโองการของฝ่าบาทเป็นความลับจากสายตาของคนทั้งแคว้นกลับมีเพียงฉบับนี้ที่เล็ดลอดไปเสียทุกหัวระแหงจนไม่รู้ว่าเป็นเพียงเพราะราชเลขาธิการทำงานไม่ได้เรื่องหรือจงใจปล่อยข่าวกันแน่ “หึ ข้าเป็นฮ่องเต้หากเปลี่ยนแปลงวาจาไปมาความเด็ดขาดของข้าจะมัวหมองได้” ชายผู้อยู่สูงสุดของแผ่นดินเหยียดยิ้มก่อนจะนั่งลงเบื้องหน้าลูกชายของเขา “มิใช่ว่าเสด็จพ่อกำลังรอให้กระหม่อมเคลื่อนไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงได้ประวิงเวลาไว้ทั้งที่จะประกาศออกไปเลยก็ได้” ชายหนุ่มสวนกลับก่อนจะได้รับสายตาพึงพอใจจากพระบิดา “ดูเหมือนเลือดของข้าในตัวเจ้ามันจะเข้มจริงนะห่าวซวน” ลูกไม้ย่อมหล่นใต้ต้นและดูเหมือนว่าลูกไม้ที่ว่าจะพยายามเติบโตขึ้นมาเป็นไม้ใหญ่เทียมเขาเสียด้วย “เรียกว่ากระหม่อมรู้ทันความปราดเปรื่องของเสด็จพ่อจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทยังคงสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้แสดงความรู้สึกใด “ข้าสามารถกลืนน้ำลายตนเองเรื่องราชโองการได้ เพียงแต่ข้ามีสิ่งที่ต้องการตอบแทน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นตรงมุมปากของบุรุษบนบัลลังก์มังกร “โลกใบนี้หากเสด็จพ่อต้องการสิ่งใดย่อมคว้าเอามาได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามืออยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตอบแทนด้วยสิ่งใดได้อีก” ดวงตาคมสบมองคนตรงหน้าไร้ท่าทีหวั่นใจ “ข้าไม่ได้เสกทุกสิ่งได้ตามใจนึก บางสิ่งก็ไม่สามารถดลบันดาลขึ้นมาได้ตัวกำลังของตนเองเพียงแต่หากเป็นเจ้าต้องทำได้แน่” ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินยาวไปเกือบถึงช่วงสายของวัน ไม่นานหลังจากนั้นราชโองการใหญ่ก็ถูกประกาศออกไปสู่สาธารณะแจ้งถึงประสงค์ของฮ่องเต้ในการอภิเษกสมรสและแต่งตั้งพระชายาขององค์รัชทายาทสร้างเสียงฮืออาทั้งแปลกใจและตกตะลึงแก่คนทั้งแผ่นดิน ณ ตำหนักพระสนมเสียนเฟย ปีกขวาติดกับตำหนักใหญ่เป็นตำหนักของพระสนมสวี รอบด้านเต็มไปด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์ที่พระนางโปรดปราน บ้างเป็นไม้งามที่มีดอกหลากสี บ้างเป็นไม้ยืนต้นไร้ดอกที่ไม่คุ้นตา หลายต้นหาได้ยากในแคว้นซึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอีกฝั่งหนึ่งของแผ่นดิน สวีเลี่ยงเฟิ่ง แม้เกิดในตระกูลใหญ่เพียบพร้อมด้วยรูปทรัพย์และเงินทองแต่นางกลับชื่นชอบชีวิตสมถะเช่นสามัญชน ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นนางจึงเป็นคนปลูกและดูแลด้วยตนเอง ในสนามสงครามประสาทภายในราชวังมีแต่เรื่องให้ปวดหัวทั้งการชิงดีชิงเด่นของฝ่ายใน การแก่งแย่งอำนาจของขุนนาง แต่ในกระแสพายุลูกใหญ่ดอกหญ้าเช่นนางกลับประคองตัวรอดพ้นมาได้จากทุกเรื่องราว “มาหาแม่แต่เช้ามีอะไรงั้นหรือ” นางเอ่ยถามบุตรชายที่แม้มิใช่ลูกในไส้แต่นางก็เลี้ยงดูเด็กน้อยมาตั้งแต่ตัดสายสะดือจนเติบใหญ่เป็นชายชาตรีที่อ่อนโยนและหล่อเหลาเช่นทุกวันนี้ อดีตฮองเฮาแซ่ฟางเป็นเพื่อนคนสนิทของพระสนมพวกนางแต่งเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกันจึงยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก โชคร้ายที่ฮองเฮาทรงสิ้นใจตอนคลอดบุตร หวงซีซวนจึงอยู่ในการดูแลของนางมาตั้งแต่ตอนนั้น “ลูกมาเยี่ยมท่านต้องมีเรื่องด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มในตอนนี้สูงกว่านางไปหลายคืบ ทว่าสำหรับพ่อแม่แล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใดลูกก็คือเด็กตัวน้อยสำหรับนางอยู่ดี เด็กตัวโตโอบกอดหญิงสาวด้วยท่าทางออดอ้อน เขามักจะเป็นเช่นนี้เสมอยามมีเรื่องไม่สบายใจ ตำหนักของพระสนมสวีนับว่าเป็นที่พักพิงเพียงแห่งเดียวให้เขายามต้องเผชิญเรื่องว้าวุ่นที่ทำให้หัวใจดวงน้อยบอบช้ำ “เป็นอะไรซีซวน” ฝ่ามือเล็กตบลงเบาๆ ที่แผ่นหลังกว้างขององค์ชายรอง “ข้าเพียงเสียใจนิดหน่อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มโอนอ่อนกว่าปกติเอ่ยตอบ “เรื่องคุณหนูตระกูลไป๋รึ” แผ่นหลังกว้างเกร็งตัวเล็กน้อยก่อนจะกลับมาผ่อนคลายลงเช่นเดิม “ว่าแล้วคงไม่มีเรื่องใดที่ท่านแม่ไม่ทราบ” แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อ “ทำไมงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ทำไมเสด็จพ่อถึงเลือกที่จะทำเช่นนั้น ทุกสิ่งในชีวิตข้าไม่ว่าสิ่งใดล้วนเป็นเสด็จพี่ได้ไปก่อน กระทั่งคู่ครองซึ่งมีราชโองการเตรียมไว้เสด็จพ่อก็เลือกเปลี่ยนใจ” แม้จะเป็นพี่ชายแต่พวกเขาไม่ได้มีความผูกพันมากมายเพียงนั้น หากจะเรียกว่าศัตรูก็กล่าวได้ไม่เต็มปาก เพราะบัลลังก์มีเพียงที่นั่งเดียวได้บีบให้คนทั้งสองซึ่งเพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและฝีมือต้องห้ำหั่นกันเรื่อยมา “เจ้ามีใจให้นางงั้นหรือซีซวน” ผู้เป็นแม่คลายวงแขนและมองไปยังลูกชาย “…” ว่ากันตามตรงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักคือสิ่งใด รู้เพียงบุตรสาวของแม่ทัพนางนั้นเป็นคนอ่อนต่อโลกชักจูงได้ง่ายทั้งที่มีอำนาจของบิดาอยู่ในมือแต่ไม่เคยใช้หากเป็นเขาละก็… เพียงได้นางมาครองปัญหาซึ่งถาโถมเขาในยามนี้คงจัดการไปได้หลายส่วน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม