สูญเสีย

1982 คำ
สิบเอ็ดโมงเช้า ปรางทิพย์เพิ่งตื่นเธอตื่นสาย เหนื่อยจากเหตุการณ์เมื่อวาน รู้ว่าหมอห้ามเยี่ยมน้องสาว แต็ก็ยังหวังว่าจะมีข่าวดีจากโรงพยาบาล “ตื่นแล้วเหรอปราง เป็นยังไงบ้างลูก เหนื่อยไหม” “ดีขึ้นแล้วค่ะ แม่ เดี๋ยวปรางจะไปโรงพยาบาลนะคะ จะไปหาน้องสักหน่อย” นางปวีณานิ่งไป ในอ้อมกอดคือหลานชายตัวน้อยที่กำลังหลับ “แม่ ปรางไปก่อนนะคะ ถ้ายังไม่มีอะไรคืบหน้า ปรางจะรีบกลับ” ปรางทิพย์กำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน แต่เปลี่ยนใจกลับเข้าไปภายในบ้านอีกครั้ง “อ้าว ลืมอะไรเหรอลูก ปราง” “อยากกอดหลานค่ะแม่” “แม่ อย่าโกรธปรางนะ ถ้าปรางจะพูด” “พูดมาเลยปราง แม่ฟังได้” “แม่คะ ปรางอยากให้แม่ทำใจบ้าง เรื่องของน้อง” นางปวีณา น้ำตาไหลไม่ได้พูดอะไรออกมา สายตาเหม่อลอยกอดกระชับหลานชายตัวน้อยไว้แนบอกแน่น “อุสาบอบช้ำมากทั้งร่างกายและจิตใจ ปรางกลัวน้องสู้ไม่ไหว” “ขอเวลาแม่ทำใจหน่อยนะปราง ถ้าน้องหายดีเรากลับไปอยู่ต่างจังหวัดกันไหม แม่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ไปเริ่มต้นกันใหม่ แม่พอมีเงินเหลืออยู่ก้อนหนึ่ง เราอยู่กันได้สบายๆ” “ตกลงค่ะแม่ เราจะย้ายไปต่างจังหวัดกัน ปรางจะเริ่มเคลียร์งาน “ ก่อนที่ปรางทิพย์จะออกจากบ้าน มีสายจากโรงพยาบาล หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา “ปราง แม่ได้ยินแล้ว ไปลูกไปโรงพยาบาล ไปจัดการให้เรียบร้อย แม่ไม่อยากพาตาก้องไป” ปรางทิพย์ร้องไห้ออกมา สองแม่ลูกกอดกันแน่น นางปวีณากลั้นสะอื้น ยอมรับการสูญเสีย ไม่คิดว่าลูกสาวคนเล็กจะเลือกทำแบบนี้ “ปราง ไปทำเรื่องที่โรงพยาบาลนะ วันนี้แม่ว่าไม่น่าจะทัน ไปติดต่อที่โรงพยาบาลแล้วรีบกลับมา ไปติดต่อวัดใกล้ๆบ้านเรานี่แหละ พรุ่งนี้จะได้ไปรับน้องพาเขาไปวัด” “ค่ะแม่”ปรางทิพย์ยังคงร้องไห้ไม่หยุด เธอยังทำใจไม่ได้” “ไหวไหมลูก ถ้าไม่ไหวปรางอยู่กับหลาน เดี๋ยวแม่ไปเอง” “ไหวค่ะแม่ ปรางไหว แม่อยู่กับหลานเถอะค่ะ ” “ทำใจนะลูก น้องอยู่ก็อาจจะไม่เหมือนเดิม หรืออาจจะเจ็บปวดกว่าเดิมก็ได้ อุสาวดีไม่ทรมานแล้ว” “ค่ะแม่ ปรางเข้าใจค่ะ แต่มันเร็วเกินไป” “เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันนะลูก ไปติดต่อโรงพยาบาลก่อน โทรศัพท์อย่าให้อยู่ไกลตัวนะ จำไว้นะว่า ตาก้องเหลือแค่ยายกับป้าแล้ว จะทำอะไรคิดให้รอบคอบ ปรางทิพย์รับปากแม่ ปกติเธอเป็นคนใจร้อน มีอคติกับน้องเขย เรียกว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับปราโมทย์หรือเป็นญาติกับปราโมทย์ เธอจะมองเป็นฝ่ายตรงข้าม หญิงสาวโทรลางานเดินทางไปโรงพยาบาล เพื่อจัดการเรื่องเอกสาร ร้องไห้บนรถแท็กซี่ไปตลอดทางกระทั่งถึงโรงพยาบาล เธอกับอุสาวดีตัวติดกันตลอด น้องสาวเธอเป็นคนหัวอ่อน เธอกับน้องเพิ่งห่างกันเมื่อช่วงที่อุสาวดีมีปราโมทย์ เห็นหน้านายปราโมทย์แว๊บเดียวก็รู้แล้วว่า เขาไม่ได้จริงจังกับน้องสาวเธอสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะน้องสาวเธอหน้าตาสวยหุ่นดีมากแถมหัวอ่อน ปราโมทย์ไม่ได้ให้ความเคารพเธอกับแม่ ตั้งแต่คบกับอุสาวดี น้องเขยมาที่บ้านของเธอเพียงสองครั้ง และไม่เคยพูดถึงเรื่องการสู่ขอ ตลอดเวลาอุสาวดีปกป้องสามีตลอด เพราะความรักของแม่ที่มีต่อลูก และความรักของพี่ที่มีต่อน้อง เห็นน้องสาวมีความสุข ก็ดีใจด้วย เป็นอย่างที่นางปวีณาพูดไว้จริงๆวันนี้ติดขัดหลายอย่าง ไม่สามารถพาน้องไปที่วัดได้ ต้องฝากไว้ที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้เช้าทุกอย่างจะเรียบร้อย ปรางทิพย์จัดการทุกอย่างด้วยน้ำตา ยังทำใจไม่ได้ ยิ่งอยู่คนเดียว ทำทุกอย่างคนเดียว ความเหนื่อยล้า ยิ่งทำให้ความโกรธเกลียดเท่าๆกับความสูญเสีย เธอจะไม่มีวันให้อภัยคนบ้านนั้นแน่นอน หญิงสาวส่งข่าวไปที่เพื่อนสนิทของอุสาวดี เมื่อสมัยที่ยังมีชีวิตเวลามีปัญหา น้องสาวเธอมักเลือกที่จะปรับทุกข์กับเพื่อนมากกว่า ที่จะเล่าให้เธอกับแม่ฟัง เพราะกลัวแม่จะเสียใจ ส่วนตัวเธอเองมองว่า เรื่องที่น้องสาวมาปรึกษาเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะส่วนมากเป็นเรื่องภายในครอบครัวปราโมทย์ ซึ่งเธอไม่อยากยุ่ง “คุณผู้หญิงคะ เอกสารเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้มารับร่างช่วงเก้าโมงเช้านะคะ ไปติดต่อตามเอกสารที่ให้ไว้ได้เลยค่ะ” “ขอบคุณมากค่ะคุณพยาบาล” พยายามไม่ร้องไห้ แต่ก็อดไม่ได้เลย หญิงสาวแทบเดินไม่ไหว อาจเพราะว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วย ปรางทิพย์เดินออกไปไม่ถึงหน้าโรงพยาบาล ตั้งใจจะเรียกแท็กซี่ รู้สึกเวียนหัว เลยเปลี่ยนใจเดินไปหาเก้าอี้แถวนั้นเพื่อนั่งพัก “คุณระวังครับ ” “ปรางทิพย์ล้มลงไปที่พื้นรู้สึกตัวว่า มีแขนแข็งแรงมาพยุงร่างของเธอไว้ก่อนที่จะหมดสติไป” ปรางทิพย์ วิ่งตามน้องสาว ไม่รู้ว่าทำไมอุสาวดีต้องพาเธอ วิ่งขึ้นบันไดเพื่อที่จะขึ้นไปตีระฆังบนยอดเขา ปกติน้องสาวเธอไม่ชอบภูเขา แต่ชอบทะเล แปลกที่ทำไมอุสาวดีแข็งแรงมาก ความจริงอุสาวดีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ต่างกับเธอ แต่ตอนนี้กลับกันกลายเป็นเธอที่เหนื่อยมาก “อุสา พี่ไม่เล่นแล้ว กลับบ้านเถอะ ห่วงตาก้อง”ปรางทิพย์พยายามตะโกนเรียกน้องสาว ที่ตอนนี้วิ่งขึ้นบันไดไปจนจะถึงยอดเขาแล้ว แต่เธอยังขึ้นไปไม่ถึงครึ่งทางเลย “พี่ปราง อุสาไม่กลับแล้ว ฝากขอโทษแม่ และฝากดูแลตาก้องด้วยนะพี่” “อุสาวดี กลับมาก่อน ขอโทษแม่เรื่องอะไร กลับมาก่อน ตาก้องรอเธออยู่ที่บ้านนะ” “คุณๆฟื้นแล้วเหรอ เป็นอะไรมากไหม” ปรางทิพย์ รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยไม่อยากตามน้องสาวขึ้นไปบนเขาแล้ว เธอมีหลายอย่างที่จะต้องทำและจัดการ แต่จะทำยังไงให้น้องกลับบ้านด้วย คงต้องรอจนอุสาวดีลงมาจากภูเขา “คุณครับ รู้สึกตัวแล้วใช่ไหม “ หญิงสาวลืมตา กระพริบตาถี่ๆรู้สึกตัวว่าฝันไป สำรวจตัวเอง เดรสสีดำที่เธอสวมใส่ยังอยู่ในสภาพดี เพดานห้องสูง อย่าบอกนะว่า นี่คือห้องที่โรงพยาบาล เธอเป็นอะไรไป จำได้ว่าตัวเองเหมือนจะเป็นลม และไม่ได้สติอีกเลย หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่ง แต่ต้องหงายหลังกลับลงไปนอนเหมือนเดิม เธอลุกเร็วเกินไป “อย่าเพิ่งลุกครับ คุณเป็นลม ผมรับคุณทันพอดี ตอนนี้คุณนอนอยู่ในห้องพิเศษ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ผมเสียใจด้วยกับเรื่องน้องสาวของคุณ ผมมาดี เรามาพูดคุยกันดีๆนะครับ” ปรางทิพย์มองหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง พี่ชายของปราโมทย์ คนของครอบครัวนั้น หญิงสาวหลับตาแล้วลืมตาใหม่ เขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม “คุณเป็นลม กินข้าวสักหน่อยนะครับ จะได้มีแรง มีงานรอคุณอีกหลายอย่าง เกือบบ่ายสองแล้ว คุณต้องรีบไปวัด” “ออกไป อย่ามายุ่งกับฉัน” “คุณปรางทิพย์ครับ ตอนนี้คุณไม่มีแม้แต่แรงที่จะเดิน ถ้าไม่กินข้าว แล้วจะทำอะไรได้ ผมรู้ว่าคุณกำลังโกรธและเกลียด แต่ขอให้รู้ไว้นะครับว่า ผมหวังดีกับคุณและครอบครัว” “ฉันบอกให้ออกไปไง ออกไป”หญิงสาวคว้าเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้เตียงขว้างใส่เขา แรงโกรธและเกลียดทำให้เธอมีแรงยกเหยือกน้ำ “ปรางทิพย์ ผมไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องของปราโมทย์และอุสาวดี ผมเองไม่ได้เห็นด้วยกับเขาตั้งแต่แรก” “ฉันบอกให้ออกไปไง”ปรางทิพย์ตะโกนเสียงดัง จนพยาบาลด้านนอกต้องวิ่งเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นคุณ ใจเย็นๆนะคะ”พยาบาลเข้ามาภายในห้องตกใจกับสภาพห้องที่เปียกเละเทะ “ไม่เป็นไรครับคุณพยาบาล ขอเวลาผมสักครู่” พยาบาล มองผู้ชายตรงหน้าที่ตัวเปียกโชก เหยือกน้ำสแตนเลทกองอยู่ที่พื้น ผู้หญิงสวยที่เป็นลม ยังคงอยู่บนเตียง ด้วยอาการที่โรยแรง หน้าตาและน้ำเสียงของผู้ชาย ทำให้พยาบาลถอยออกไปนอกห้อง “ปรางทิพย์ ฟังหน่อยได้ไหม ผมอยากให้คุณแยกแยะ ผมบอกว่าผมไม่เกี่ยว ไม่ได้เห็นด้วยกับคุณน้าและปราโมทย์ ผมพยายามค้านมาโดยตลอด ผมก็เหมือนคุณ คนเขากำลังรักกัน เราจะห้ามเขาได้ไหม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องก็ตาม” “แล้วยังไง คุณมาทำไม มายุ่งทำไม” “ผมขอโทษแทนน้องชาย และแสดงความเสียใจเรื่องของอุสาวดี ผมยินดีช่วยเหลือทุกอย่าง ให้ผมช่วยคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่มีใคร แม่คุณต้องดูแลหลาน แล้วคุณอยู่ในสภาพแบบนี้ จะทำอะไรได้ ผมขอร้องให้ผ่านงานนี้ไปก่อน แล้วผมจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของคุณอีก แต่ที่ผมเข้ามายุ่งเกี่ยวเพราะผมเองรู้สึกผิด ที่ไม่สามารถช่วยอุสาวดีได้” “ไม่ต้องพล่าม ฉันไม่อยากฟัง “ “งั้นคุณต้องกินข้าวให้มีแรงก่อน แล้วจะได้รีบไปติดต่อวัด พรุ่งนี้มีงานอีกหลายอย่างที่คุณจะต้องทำ เก็บความโกรธความเกลียดของคุณไว้ก่อน ทำงานสำคัญให้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน” “ผมรู้ว่าคุณห่วงเรื่องหลาน แต่ขอให้คุณไว้ใจผม เดี๋ยวจะทำอะไรไม่ทัน รีบกินข้าว จะได้มีแรงไปวัด “เชื่อผมสักครั้ง เราไม่เคยรู้จักพูดคุยกันก็จริง แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณเลย” อานนท์ แกะถุงข้าวต้มที่เขาให้ลูกน้องไปซื้อเทใส่ถ้วยให้ปรางทิพย์ วางช้อน และถอยออกไปนั่งที่เก้าอี้ปลายเตียงนิ่งๆ ปรางทิพย์ไม่มีทางเลือก เขาพูดถูกทุกอย่าง พยายามลุกขึ้นนั่ง ตักข้าวต้มกินไปเกือบหมดถ้วย เออ....เธอหิวข้าวจริงๆ “ไปกับผมนะ คุณจะได้ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ ไม่ต้องปฏิเสธหรอก ให้งานนี้ผ่านไปก่อน” สรุปว่าปรางทิพย์ยอมนั่งรถไปกับอานนท์ หญิงสาวคิดว่าเมื่อเธอไปถึงวัดแล้ว เธอจะยังไหวไหม ระหว่างทางที่ไปวัดคิดหนักหลายอย่าง เธอไม่ได้บอกเขาว่าไปวัดไหน แต่เขาพาเธอไปจนถึงวัดที่ตั้งใจจะไป จากที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง แต่สถานการณ์แบบนี้ ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน อานนท์จอดรถที่หน้ากุฎิพระ เขาเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้ หญิงสาวลงมาแต่โดยดี ไม่มีการพูดจาหรือสนทนาอะไร อานนท์เดินนำหน้าเธอเข้าไปในกุฏิเจ้าอาวาส ปรางทิพย์เหมือนละเมอ เธอตอบคำถามหลวงพ่ออย่างเดียว อานนท์เป็นคนจัดการทั้งหมด มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาเธอหลายสาย ล้วนเป็นเพื่อนๆของน้องสาวทั้งนั้น รวมถึงญาติที่อยู่ต่างจังหวัด และเพื่อนๆที่ทำงาน โทรมาแสดงความเสียใจด้วย “รักษาสุขภาพนะครับ คิดถึงแม่และหลานให้มาก พยายามมีสติ ให้งานของอุสาวดีผ่านไปก่อน “ อานนท์พาปรางทิพย์มาส่งที่บ้าน หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณเขา แล้วเดินใจลอยเข้าบ้านไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม