“สา ทำใจดีๆนะเดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว แข็งใจไว้อีกสักหน่อย อย่าหลับนะสา”
ปรางทิพย์ จับมืออุสา หรืออุสาวดี น้องสาวคนเดียวของเธอเอาไว้ ใจของเธอจะขาดเสียให้ได้ อุสานอนนิ่งมีของเหลวไหลออกมาจากปาก ตาเหมือนจะหลับอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะเสียงของเธอที่เรียกไว้ ทำให้อุสาวดีพยายามที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อสื่อสารกับพี่สาว
“อุสาคิดถึงลูกไว้นะ ตาก้อง ลูกของเธอรออยู่ที่บ้านนะ”
แรงเล็บที่จิกลงมาบนหลังมือของปรางทิพย์ เหมือนกับเป็นการบอกว่า อุสาวดีจะสู้เพื่อลูก
ระยะทางจากบ้าน ไปโรงพยาบาล สำหรับปรางทิพย์เวลานี้ มันช่างนานเหลือเกิน ซึ่งจริงๆมันแค่สิบกิโลเมตรเท่านั้นเอง
เสียงดังเหมือนของหนักล้มในห้องของอุสา ปรางทิพย์ซึ่งระวังอยู่แล้วรีบเข้าไปดูในห้อง ประตูล็อค เธอใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป ขนาดเฝ้าระวังทุกเวลาทุกอย่างแต่ก็พลาดจนได้
“อุสา ห้ามหลับนะ อย่าลืมว่าต้องให้นมลูก คิดถึงลูกให้มากๆนะสา”
อุสาวดีถึงมือหมอ พยาบาลแจ้งว่าต้องทำการล้างท้องอย่างรวดเร็ว ประตูห้องฉุกเฉินถูกปิดลง พร้อมกับร่างของปรางทิยพ์ทรุดตัวลงที่เก้าอี้หน้าห้อง หญิงสาวนั่งกุมขมับ เธอไม่รู้ว่าอุสาวดีทำอะไรกับตัวเองบ้าง รู้แต่ว่าเสื้อยืดสีขาวที่เธอใส่มีน้ำสีแดงติดเต็มไปหมด น้องสาวเธอกินยา ทำร้ายตัวเอง และพยายามจะแขวนตัวบนขื่อ ในหัวสมองของเธอเวลานี้หนักมาก มึนไปหมด คิดทบทวนว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง
“ค่ะแม่ ตอนนี้สาอยู่ในห้องฉุกเฉิน แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ตาก้องหลับหรือยังคะแม่”
“หลับไปแล้วลูก“
“แม่ก็พักบ้างนะคะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ น้องปลอดภัยเมื่อไหร่ ปรางถึงจะกลับบ้านนะคะแม่”
หญิงสาววางสายจากผู้เป็นแม่ไปแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน
“ญาติคุณอุสาวดี แสงอุไรวรรณ หรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะคุณพยาบาล อาการเป็นยังไงบ้างคะ”
“ปลอดภัยแล้วนะคะ แต่ต้องอยู่ในห้องไอซียู ห้ามเยี่ยม ญาติกลับบ้านพักผ่อนได้เลยนะคะ ”
เสียงขอบคุณดังอยู่ในลำคอ หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ทรุดตัวลงนั่งที่เดิม คิดว่าจะนั่งต่ออีกสักพักก่อนที่จะกลับบ้าน โล่งใจที่ได้ยินว่าน้องสาวปลอดภัย เธอจะกลับบ้านก่อน คืนนี้ขอไปตั้งสติ พรุ่งนี่ค่อยว่ากันใหม่
“คุณ.....อุสาวดีเป็นยังไงบ้าง คุณเป็นพี่สาวเขาใช่ไหม ผมเป็นพี่ชายของปราโมทย์”
ผู้ชายผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่ตรงหน้าของปรางทิพย์ เขาพ่นคำถามใส่เธอ น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้นแกมห่วง ปรางทิพย์ไม่คิดอะไรมาก ทำในสิ่งที่สมองสั่งทันที
“โอ้ย...นี่คุณ เป็นบ้าเหรอ ขว้างมาได้ นี่ถ้าถูกผมเจ็บจะว่ายังไง”
“ไปซะ อย่ามายุ่งกับพวกเราอีก ถ้าไม่กลับฉันจะทำมากกว่านี้ แค่นี้ยังไม่พอใจใช่ไหม ไหนล่ะ ไอ้น้องชายหน้าตัวเมียของคุณน่ะ ที่มันทำร้ายผู้หญิง มันอยู่ไหน มุดกระโปรงใครอยู่ เวลาแบบนี้ทำไม่มันไม่มาล่ะ หรือว่ามันส่งคุณมา ฉันบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่า ถ้าฉันเห็นหน้ามันเมื่อไหร่ เจอดีแน่ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน ฉันจะบอกนะว่า ห้ามมายุ่งวุ่นวายกับน้องสาว และหลานของฉัน “
ทันทีที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นพี่ชายของน้องเขย ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเห็นหน้าเขาก็ตาม ปรางทิพย์ ขว้างขวดน้ำขวดใหญ่ที่เธอถือไว้ใส่เขา แถมพูดใส่หน้าเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง จากนั้นรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันที
“จำไว้นะว่า อย่ามายุ่งกับครอบครัวของฉัน แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน “ หญิงสาวยังไม่วายหันกลับมาพูดกับผู้ชายร่างใหญ่ ความเกลียดแสดงออกมาเต็มที่ทางสายตา นี่ถ้าเธอมีอาวุธมีหวังในมือ คงใส่เขาไมยั้ง ในใจอยากให้เป็นปราโมทย์มากกว่า และถ้าเป็นน้องเขยแสนเลวของเธอจริงๆเธอจะใส่ไม่ยั้งเลยล่ะ อย่าให้เจอก็แล้วกัน สาบานว่าจะเอาให้หนักเลย ความคิดและอารมณ์ของเธอ ร้อนแรงเหมือนท่าทางของเธอเวลานี้
อานนท์ ตกใจ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงที่บุคคลิกและหน้าตาดูท่าทางนิ่งๆเงียบๆแบบนี้ จะกล้าทำกิริยา และคำพูดไม่ดีต่อหน้า คนที่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เขาไม่เกี่ยวสักหน่อย ถึงเขากับปราโมทย์จะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็คนละแม่ เขาแค่อยากมาดูแล เสียใจที่น้องชายต่างแม่ทำไม่ดีเอาไว้ ไม่คิดว่าพี่สาวของอุสาวดี จะเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เขาอุตสาห์เป็นห่วง กลับได้รับการตอบรับแบบนี้ เขาแค่อยากจะเจรจาด้วยดีๆ เห็นทีจะคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้วล่ะ แรงขนาดนั้น
มาคิดอีกทีเป็นเขาถูกกระทำบ้าง เขาก็คงโกรธเหมือนผู้หญิงคนเมื่อกี้ อานนท์ถอนหายใจ สังหรณ์ใจว่าต่อไปนี้ จะมีเรื่องราวอีกมากมายให้เขาได้คอยแก้ไข ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ใช่จะง่ายๆเลย กลัวว่าตัวเองจะใจเย็นไม่พอ คิดว่าจะมาเจรจาดีๆเห็นทีจะไม่ได้ ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ คนอย่างเขาก็ใช่ว่า จะมารองรับอารมณ์ของคนอื่นได้ดีหรอกนะ
ปรางทิพย์เดินเร็วเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ห่วงทั้งแม่กับหลานที่รออยู่บ้าน ทั้งน้องสาวอยู่ห้องไอซียู
“แม่คะ อยู่ที่บ้านใช่ไหม อยู่กับตาก้องใช่ไหม ไม่มีใครไปที่บ้านเราใช่ไหมคะแม่”
“ปรางใจเย็นๆลูก แม่อยู่กับหลานสองคน ไม่มีใครมาหรอก แล้วน้องเป็นยังไงบ้าง
“ล้างท้องปลอดภัยแล้วค่ะแม่ ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู ห้ามเยี่ยม”
นางปวีณารับรู้ถึงความรู้สึกของลูกสาวคนโต ไม่ใช่แค่ปรางทิพย์ที่เสียใจกับเหตุการณ์ในวันนี้ นางเองก็เสียใจไม่น้อยกว่าลูกสาวคนโต
ครอบครัวของนางปวีณาเดิมเป็นคนต่างจังหวัด มีอาชีพค้าขาย นางกับสามีเลิกรากัน เมื่อปรางทิพย์อายุสิบขวบ อุสาวดี แปดขวบ นายองอาจไปมีผู้หญิงใหม่ที่มีดีกรีเป็นถึงนางงาม สาวและสวยกว่านางมาก สมัยนั้นนางปวีณา เป็นแม่ค้าไม่แต่งตัว ทำมาหากิน เลี้ยงลูกอย่างเดียว มีเรื่องมีราวกว่าจะเลิกรากันได้ ทั้งคู่แบ่งสินสมรส นายองอาจยังคงสงเสียทั้งแม่ทั้งลูก เพราะรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง
นางปวีณาทำใจไม่ได้ จังหวัดที่อาศัยอยู่เป็นจังหวัดเล็กๆ ไปไหนมาไหนก็เห็นหน้ากัน ตัดสินใจขายที่ทางและทรัพย์สินทุกอย่างที่เป็นของตัวเอง พาลูกสาวทั้งสองคนเข้ามาทำมาหากินที่กรุงเทพฯทำมาค้าขายเหมือนเดิม
โชคดีที่ลูกสาวคนโตคือปรางทิพย์นิสัยเป็นผู้ใหญ่ เป็นที่ปรึกษาของแม่และน้อง บางเรื่องบางอย่าง นางปวีณาพูดคุยกับลูกสาวคนโตตลอด ส่วนมากจะเป็นเรื่องทุกข์ใจมากกว่า ปรางทิพย์เป็นที่ปรึกษาที่ดีของแม่และน้องมีความเป็นผู้นำ เสียทีใจร้อนไปนิดและเจ้าคิดเจ้าแค้นไปหน่อย
หากแต่ลูกสาวคนเล็กกลับมีนิสัยอ่อนแอ ไม่เข้มแข็งเหมือนพี่สาว อ่อนต่อโลก และกลายเป็นเด็กมีปัญหา ฝังใจว่าพ่อแม่หย่าร้างกัน คิดมาก ขี้น้อยใจ ทำให้ตัวเองมีปมด้อย เชื่อคนง่าย และโหยหาความรัก
ปรางทิพย์เรียนจบปริญญาตรี ได้ทำงานในตำแหน่งฝ่ายบุคคล เงินเดือนสูงพอที่สามารถดูแลแม่และน้องได้ บวกกับเงินเก่าที่นางปวีณาแบ่งมาจากสามีก็ทำให้ทั้งสามคนใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสบายๆ ปรางทิพย์ยังไม่คบใครจริงจัง มีพูดคุยบ้าง ไม่ตกลงปลงใจกับใคร เพราะเธอมีบุคลิกเป็นผู้นำ ทำงานเก่ง พึ่งพาตัวเองได้ไม่ง้อผู้ชาย ปิดกั้นตัวเอง คบคนยาก ไม่ยอมใครง่ายๆเฉยๆกับเรื่องคู่ครอง เรียกว่าหาดีไม่ได้ก็ไม่เอา
ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อกับแม่ที่ต้องเลิกลากัน ถ้าเจอแบบนั้น เธอยอมอยู่คนเดียวดีกว่า นั่นทำให้ถึงจะอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ปรางทิพย์ก็ไม่ยอมมีใคร ทั้งที่จริงๆแล้วเป็นผู้หญิงที่สวยมาก นิสัยอีกอย่างของเธอก็คืออย่าให้ได้เกลียดใคร เพราะเมื่อได้เกลียด ผู้คนเหล่านั้นจะไม่อยู่ในสายตาเลย
ส่วนอุสาวดีเรียนจบปริญญาตรีทำงานเป็นเลขาที่โรงแรมชื่อดัง อุสาวดีสวยมาก สวยคนละแบบกับพี่สาว เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ทำ และเพราะความสวย ทำให้เป็นที่สนใจของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ แต่สุดท้ายหญิงสาวก็เลือกที่จะคบหากับลูกชายเจ้าของโรงแรม ซึ่งเป็นผู้บริหาร ก่อให้เกิดมีเรื่องราวจนถึงวันนี้
อุสาวดีมีความสัมพันธ์กับ ปราโมทย์ ลูกชายคนเล็ก ของเจ้าของโรงแรม เป็นความสัมพันธ์ที่ ครอบครัวของฝ่ายชายไม่ค่อยปลื้มนัก เพราะฐานะต่างกัน แต่สองคนก็แอบคบหาและได้เสียกัน กระทั่งอุสาวดีตั้งท้อง นั่นทำให้แม่ของปราโมทย์จำใจต้องตามใจลูกชาย ทั้งดีใจที่ได้หลานชาย แต่ไม่พอใจแม่ของลูก
ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขที่คอนโดของปราโมทย์ ครอบครัวปรางทิพย์รับรู้ และไม่ได้ถามถึงเรื่องการแต่งงาน คิดว่าสองคนรักกันและดูแลกันดีก็เพียงพอแล้ว หลังย้ายไปอยู่กับปราโมทย์ที่คอนโด อุสาวดียังทำงานเป็นเลขาของสามีอยู่ที่โรงแรม และเมื่อตั้งท้อง ปราโมทย์ให้ภรรยาลาออกจากงาน เพื่อเตรียมตัวเป็นแม่ อุสาวดีมีความสุขมาก เพื่อนหลายคนอิจฉาชีวิตของเธอที่ได้สามีร่ำรวย มีชีวิตหรูหรา อยู่ดีกินดี ถึงจะไม่มีการจัดการงานแต่งงาน สามีรักและดูแลดี แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
คุณดารารายที่อยากได้หลานอยู่แล้วอนุญาตให้ปราโมทย์พาอุสาวดีเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เป็นการยอมรับสะไภ้คนนี้ไปโดยปริยาย
ชีวิตเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่พอได้เข้าไปอยู่ในบ้านของปราโมทย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป แรงกดดันภายในบ้านหลังใหญ่ ชวิตไม่ได้สวยงามเหมือนที่คิดไว้ และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เคยรู้
เธอคิดเพียงแค่ว่า ตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก มีหน้าที่การงานที่ดี ได้แฟนดีฐานะร่ำรวย หล่อ สุภาพ และเขารักเธอมาก ไม่เคยคิดว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมแบบนี้ จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร และดีใจที่ครอบครัวเขายอมรับ แต่สิ่งที่ได้รู้และได้พบเจอเหมือนฟ้าผ่า
ปราโมทย์มีภรรยาอยู่แล้ว และพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ที่สำคัญเป็นเมียแต่ง ทุกคนในบ้านนี้ยอมรับ แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ฐานะทางบ้านเท่าเทียมกันทุกอย่าง ผู้ใหญ่ทั่งสองฝั่งรู้เห็น ไม่ได้จดทะเบียนสมรส เพราะปราโมทย์ไม่ยินยอม แต่ที่ยอมแต่งงานเพราะต้องตามใจแม่ เขาบอกกับอุสาวดีว่าเขาไม่ได้รักมารตี ที่แต่งเพราะผู้ใหญ่จัดการให้ เพราะคิดว่าเหมาะสมกันทุกอย่าง และขอโทษเธอที่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ต้องมาอยู่ภายในบ้านเดียวกัน ต่างกันที่ภรรยาคนแรก รู้ว่าสามีของตัวเองมีผู้หญิงอีกคน มารตียอมเจ็บเพราะรักเจ็บมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าเขาจดทะเบียนสมรสกับคนใหม่ และมีลูกด้วยกัน