หลังจากการสารภาพเรื่องการตั้งครรภ์ของพริ้มพราวในวันนั้นก็เป็นไปได้ด้วยดี พริ้มพราวใช้ชีวิตอยู่กับแม่และน้องสาวหลายวัน ด้วยการเที่ยวในเมือง ซื้อข้าวของแบรนเนมอย่างสนุกสนานตามประสาลูกคนรวย ส่วนพริบพรายก็เอาแต่ทำงาน หลบหน้าหลบตาทั้งแม่และพี่สาวของตัวเอง จนกระทั่งพริ้มพราวกลับเมืองไทยไป พริบพรายถึงได้กลับมาที่เพ้นเฮ้า เธอพบคุณแม่ที่กำลังนอนหน้าซีดอยู่บนเก้าอี้
“คุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรไปคะ” พริบพรายถามด้วยความร้อนรนและเป็นห่วง กล้วยที่เจ็บปวดกับโรคร้ายจนหน้าซีดไปหมด เธอยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของพริบพราย
“ไปเอาเข็มฉีดยาในห้องแม่มาให้หน่อย”
“ค่ะ คุณแม่” พริบพรายที่กำลังตกใจ รีบทำตามคำสั่งของคุณแม่ทันที เธอเดินเข้าไปในห้องที่สะอาดตาของแม่ ก่อนจะเห็นตู้เย็นเล็ก เมื่อเปิดมาก็พบกับยาแปลกประหลาดจำนวนมาก แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่พริบพรายจะมาสงสัย เธอรีบเอาเข็มฉีดยาที่มีตัวยาด้านในไปให้กับแม่ของเธอ กล้วยใช้อุปกรณ์ด้วยความเชี่ยวชาญจนฉีดยาเข้าเส้นเลือดของตัวเอง ไม่นานอาการเจ็บปวดก็เริ่มทุเลาลง
“คุณแม่เป็นอะไรคะ บอกกับพริบพรายได้ไหม” พริบพรายถาม แต่กล้วยยังอ่อนล้ากับความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง
“ไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันนะลูก วันนี้ดึกแล้ว ขอแม่นอนพักก่อน” กล้วยบอกกับลูกก่อนจะลากสังขารของตนเองจะไปเข้าห้องนอน แต่พริบพรายก็มาช่วยประคองพาแม่ของเธอไปเข้าห้องนอน เธอกลับมาที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะมองเข็มฉีดยา แต่เมื่ออ่านดูบนหลอดก็ปรากฎว่ามันคือมอร์ฟีน แม่เธอไม่มีทางติดสารเสพติด และเข็มตรงหน้าเป็นมอร์ฟีนในทางการแพทย์ แม่จะมีมอร์ฟีนเพื่อรักษา บรรเทาความเจ็บปวดอะไรกัน
วันรุ่งขึ้นพริบพรายตื่นแต่เช้าเป็นปกติ กล้วยเองก็เช่นกัน สองแม่ลูกเป็นคนทำมาหากิน กล้วยได้รับความรู้จากเจ้านายชาวจีนที่เธอเคยทำงานด้วย พวกเขาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่มีบรรพบุรุษอพยพมาเสื่อผืนหมอนใบ และประสบความสำเร็จ จากกุลีคนแบกข้าวสารกลายเป็นเจ้าสัวที่ร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติด้วยความมุมานะพยายาม และความขยัน พวกเขาสอนให้ลูกหลานตื่นแต่เช้า เพื่อมาทำธุระส่วนตัว และเริ่มทำงาน ยิ่งเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็ได้เปรียบคนอื่นเท่านั้น กล้วยเริ่มขายของแต่เช้าก็ได้ลูกค้าที่ตื่นเช้า หรือสายเยอะ ทั้งเธอยังค้าขายด้วยเวลาเดิมอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ลูกค้าหลายคนจดจำร้านของเธอได้ จนมีทุกวันนี้ก็เพราะคำสอนพวกนั้น
“คุณแม่จะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้หนูฟังได้หรือยังคะ” พริบพรายถามแม่ของเธอด้วยความสงสัย เธอแทบจะนอนไม่หลับเลย เมื่อคิดถึงภาพเมื่อคืนที่แม่เธอหน้าซีดปากซีดคล้ายคนกำลังป่วยหนัก เหมือนจะจากเธอไป
“บอกไปแล้วพริบจะตกใจไหม” กล้วยยิ้มอย่างอ่อนโยน พริบพรายห่วงเธอจากใจจริง แม้จะเป็นคนพูดน้อย แต่ก็มีความจริงใจเป็นอย่างมาก กล้วยไม่ผิดหวังเลยที่เลือกพริบพรายมาเป็นลูกอีกคน ทั้งที่ความจริงในตอนนั้นเธอตั้งใจจะเลือกแค่พริ้มพราว แต่เธอเหลือบไปเห็นเด็กที่คล้ายในความทรงจำของเธอตอนเด็ก เด็กผิวคล้ำ หน้าตาดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เห็นแล้วก็นึกสงสาร จึงได้นำมาเลี้ยงอีกคนคู่กันกับพริ้มพราว
“แค่พริบเห็นคุณแม่เป็นแบบนั้น พริบก็ตกใจแล้ว จะมีอะไรให้พริบตกใจอีกหรอคะ”
“แม่อยู่ได้อีกประมาณห้าเดือน เต็มที่ไม่เกินเจ็ดเดือน” กล้วยกลั้นใจบอกลูกสาวไป พริบพรายที่กำลังจะลงมือหั่นขนมปังก็พลันทำมีดและส้อมล่วงหล่นกระทบกับจานทันที เธอขมวดคิ้วมองแม่ด้วยความไม่เข้าใจ “แม่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม่กำลังจะตาย”
“แม่พูดอะไรคะ พริบไม่ตลกนะ อย่าเอาความเป็นความตายมาล้อเล่นนะคะแม๋” พริบพรายกล่าว แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของแม่ มันก็ทำให้เธออดที่จะตกใจไม่ได้ เพราะหน้าแบบนี้ แม่คงไม่ล้อเล่นกับเธอแน่นอน
“แม่กำลังจะตายจริงๆพริบ และแม่เองก็รู้ทุกอย่างหมดแล้ว” กล้วยกล่าวกับบุตรสาว เธอเหลือเวลาน้อยมากแล้ว เธอต้องให้พริบพรายรู้ความจริง เพราะเธอตั้งใจจะโอนกรรมสิทธิ์ทุกอย่างในขณะที่ยังมีชีวิตให้พริบพรายทั้งหมด เพื่อไม่ให้เงินทอง ทรัพย์สินของเธอกลายเป็นสมบัติในยามที่เธอตาย
“ทำไมแม่ไม่เคยบอกพริบคะ แล้วทุกอย่างที่แม่รู้คืออะไร” พริบพรายรู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้าไปหมด น้ำตาของเธอเหมือนจะไหลออกมา เธอไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันเร็วเกินไปหมด
“แม่รู้ว่าพริั้มพราวท้องกับเพชรภูมิ”
“คะ คุณแม่” พริบพรายตกใจที่แม่ของเธอรู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา เดิมทีพริบพรายกลัวว่าแม่จะเสียใจ แต่ไม่ใช่เสียใจกับพ่อบุญธรรม แต่เสียใจที่พวกเขาหักหลังมากกว่า แต่ไม่นึกว่าคุณแม่จะรู้เรื่องแล้ว
“นาคิมเก็บหลักฐานทุกอย่างให้แม่เพื่อทำการฟ้องหย่าในอนาคต ที่แม่บอกลูกก็เพราะแม่ต้องการโอนทรัพย์สินให้กับลูกก่อนที่แม่จะตาย” กล้วยบอก อย่างไรเธอก็คงจะยกเลิกให้พริ้มพราวเป็นเลิกเป็นบุตรบุญธรรมของเธอยาก เช่นนั้นก็ชิงโอนทุกอย่างให้พริบพรายไปให้หมดเสียก่อน
“หนูขอโทษค่ะ ที่ไม่เคยบอกคุณแม่” พริบพรายกล่าวด้วยความรู้สึกผิด เธอรู้สึกผิดมาโดยตลอด แต่กล้วยกับยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“แม่ดีใจนะที่วันนั้นแม่พาหนูกลับมาบ้านกับแม่ แม่ดีใจที่หนูเป็นลูกที่ดีของแม่ แต่พริบ แม่ก็มีเวลาของแม่ และมันก็อีกไม่นาน แม่ทำงานมาทั้งชีวิต แม่อยากยกมันทั้งหมดให้ลูก” กล้วยกล่าว เธอไม่อยากให้เพชรภูมิสามีอยู่แล้ว เดิมทีตั้งใจจะแบ่งให้ลูกสาวทั้งสอง โดยกิจการทั้งหมดตั้งใจจะยกให้พริบพราย ส่วนทรัพย์สินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือเงินทอง ตั้งใจจะให้พริ้มพราว
“หนูไม่กล้ารับหรอกค่ะ”
“คำขอของคนใกล้จะตาย ลูกจะปฎิเสธแม่หรอ”
“คุณแม่”
“รับเถอะ อาทิตย์หน้านาคิมจะเดินทางมาที่นี่ แม่จะทำการโอนทุกอย่างให้กับลูกทั้งหมด” กล้วยกล่าว พริบพรายได้แต่พยักหน้า ในอีกมุมหนึ่งของความคิด ร้านอาหารหลายสาขาที่นี่เป็นเธอที่ร่างโครงการขึ้นมา หากว่าอนาคตเธอต้องแย่งชิง และสูญเสียพวกมันให้แก่พ่อบุญธรรม และพี่สาว เธอก็คงรู้สึกแย่มาก เพราะเธอเองก็ลงแรงกับมันไปไม่น้อยเลย
หลังจากวันนั้นพริบพรายได้ไปโรงพยาบาลกับคุณแม่กล้วยของเธอ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย กล้วยยังมีอาการที่ย่ำแย่ เพราะเธอไม่ได้เลือกเส้นทางการรักษา แต่เลือกที่จะต้องทนเจ็บปวดมาโดยตลอด โดยที่พริบพรายไม่รู้แม้แต่น้อยทั้งที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด เล่นเอาเธอเสียน้ำตาจนดวงตาแดงก่ำไปหมด อาทิตย์ถัดมาเป็นการมาถึงของนาคิม และพ่อของเขา ทนายพ่อลูกรู้ดีว่าเวลาของกล้วยใกล้จะหมดลงแล้ว พวกเขาจึงต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น
“คุณแม่คะ แล้วถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เขาจะฟ้องหนูไหมคะ” พริบพรายถามด้วยความกลัว แต่กล้วยส่ายหน้า เธอไม่มีวันปล่อยให้เพชรภูมิเอาเปรียบทายาทของเธอได้อย่างแน่นอน เธอเลือกที่จะรักษาหน้าตา ศักดิ์ศรีอันแสนโง่เง่ามาตลอดชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วมันว่างเปล่า หากเธอเลือกที่จะเลิกกับเขาตั้งแต่ตอนนั้น เธออาจจะได้เจอคู่ชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องมาทุกข์ตลอดชีวิตยันวันที่กำลังจะตายแบบนี้
“แม่จะฟ้องหย่าเขา และให้ลูกถอนเขาออกจากการเป็นบิดาบุญธรรม เพียงเท่านี้ลูกก็จะเป็นอิสระจากพันธนาการทั้งหมด” กล้วยกล่าวกับพริบพราย ลูกสาวได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน พ่อบุญธรรมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับเธอนัก เขาอาจจะมองเธอเป็นลูกสาวคนนึงด้วยซ้ำ แต่กับพริ้มพราวเขาแค่มองเป็นอีกอย่าง
“แล้วเรื่องพริ้มล่ะคะ”
“แม่ให้เงินพริ้ม ให้เยอะกว่าลูกมาโดยตลอด เขาก็คงมีเงินเก็บบ้างนั่นแหละลูก กระเป๋าเขาใบละเป็นล้านทั้งนั้น” กล้วยกล่าว เธอไม่ได้จะตัดแขนตัดขาจนลูกสาวคนโตไม่เหลืออะไรขนาดนั้น แต่ก็อยากให้บทเรียนราคาแพงในชีวิต ว่าการอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณจะต้องเจออะไรบ้าง การที่พริ้มพราวมีโอกาสได้เรียนสูง แต่กลับไม่ยอมเรียน ใช้ชีวิตสนุกสนานไปวันวัน เมื่อไม่มีแม่เป็นที่พึ่งแล้ว นี่แหละชีวิตจริง…
“แต่พริ้มไม่เคยทำมาหากินเองเลยนะคะแม่”
“แม่รู้ว่าลูกเป็นพี่น้องกัน แต่ถ้าลูกหวังดีกับพี่เขาจริงๆ ลูกต้องให้เขาได้เจอชีวิตของจริง ช่วยได้เท่าที่สมควรช่วยก็พอ” กล้วยบอก ที่ผ่านมาเธอประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่กลับครอบครัว เธอไม่เด็ดขาดเลยแม้แต่เรื่องเดียว ทำให้ทุกอย่างมันถึงกลายเป็นแบบนี้
การถ่ายโอนทรัพย์สินเสร็จสมบูรณ์ พริบพรายกลายเป็นเศรษฐินีสาวคนใหม่ และเธอก็ได้เริ่มต้นคบหากับนาคิม ทนายหนุ่มตี๋นิสัยดี กล้วยเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะลูกสาวคนเล็กได้คบกับคนดีมีอนาคต ไม่ต้องหล่อเหลา เลิศเลอเพอร์เฟคมาจากไหน ขอแค่เป็นคนดี รู้จักทำมาหากิน เป็นคนมีเกียรติก็เพียงพอแล้ว
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงมือถือดังขึ้นในขณะที่กล้วยกำลังนั่งมองลูกสาวกำลังง่วนในครัวของเพ้นเฮ้าโดยมีว่าที่ลูกเขยอย่างนาคิมตามติดคอยก่อกวน ทิ้งคราบทนายหนุ่มไปจนสิ้น กลายเป็นหมาน้อยคอยความรักจากเจ้านายสาวของตนเอง กล้วยมองหน้าจอมือถือก่อนจะเดินไปรับ
“มีอะไรคะ เพชร” เป็นสามีของเธอโทรตรงมาจากเมืองไทย กล้วยพอจะเดาออกว่าเขาโทรมาทำไม ในเมื่อเรื่องของเธอได้มีการส่งฟ้องแล้ว จดหมายก็น่าจะส่งไปถึงสามีของเธอแล้ว
“มึงกล้าฟ้องหย่ากูหรออีกล้วย” ถ้อยคำหยาบคายหลุดออกมาจากปากของเพชรภูมิ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แปลกอะไรสำหรับกล้วย เธอหันมองลูกสาวกับนาคิม ก่อนจะเดินหนีเข้ไปคุยมือถือในห้อง
“กลัวหรอ”
“มึงคิดยังไงถึงมาฟ้องกู มึงไม่อายคนอื่นหรือไง อยู่กันจนแก่แล้วยังมาฟ้องกูอีก”
“ไม่อายหรอก ฉันต้องอายด้วยหรอที่สามีมีพฤติกรรมอุบาทว์ ได้กับบุตรบุญธรรมของตัวเอง” กล้วยกล่าว ต้องยอมรับว่าสมัยนี้ผู้คนมีความคิดล้ำหน้ากันมาก การหย่าร้างเป็นเรื่องปกติที่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่เธอเกิดในยุคที่การหย่าเป็นเรื่องน่าอับอาย กว่าจะทำใจกล้าหย่าได้ก็มาทำได้ตอนใกล้จะตาย
“มึงรู้หรอ”
“ถ้าไม่รู้ฉันจะหย่าทำไม คุณมีอะไรกับผู้หญิงไปทั่ว ฉันไม่เคยโกรธคุณเลยสักครั้ง แต่นี่มันลูกสาวของเรา คุณกับฉันเอาพริ้มพราวมาเลี้ยงตั้งแต่แกยังเด็ก คุณก็ทำได้ลง” กล้วยกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ พริ้มพราวตอนมาอยู่กับเธออายุไม่ถึงเจ็ดขวบเลย ยังเป็นเพียงเด็กสาว เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยแสนน่ารัก แต่เขากลับทำลายเจ้าหญิงตัวน้อยของเธอ ให้กลายเป็นนางปีศาจที่ทรยศต่อความรักของเธอ
“แล้วมึงก็เลยมาฟ้องหย่ากู มึงจะแฉลูกด้วยหรือยังไง”
“ตอนทำพริ้มพราวยังไม่คิดถึงหน้าฉัน แล้วตอนนี้ฉันยังจะคิดว่าพริ้มพราวเป็นลูกของฉันอีกหรอ”
“อีกล้วย มึงจะทำลายลูก ทำลายหลานหรอ”
“หลานฉันหรอ ลูกคุณไม่ใช่หรอคะ อีกไม่กี่เดือนก็คลอดแล้วนี่" กล้วยบอก เธอไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจบุตรสาว แต่เวลานี้เธอเหลือน้อยมากเหลือเกิน เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเธอจัดการเรื่องทรัพย์ฺสินมาโดยตลอด เพราะการโอนทรัพย์สินแต่ละอย่าง หากว่ามีทะเบียนสมรสจะต้องได้รับการยินยอมจากสามี แต่เพราะเป็นการโอนจากแม่ไปสู่ลูก ทำให้การโอนถ่ายทรัพย์สินเป็นเรื่องง่าย และกล้วยก็ไม่ต้องกลัวสามีจะฟ้องเพิกถอน เพราะเธอจะฟ้องหย่า และฟ้องเอาทรัพย์สินจากเขาอีกด้วย
“มึงจงใจทำลายชีวิตกูกับพริ้มพราว”
“แล้วที่ผ่านมาพวกคุณไม่ทำลายชีวิตฉันเลยหรอคะ คุณรู้ไหมว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ลูกที่ฉันรักได้กับสามีของฉัน คุณรู้ไหมว่าฉันทุกข์ใจแค่ไหน” กล้วยตะคอกใส่มือถือ เธอเจ็บมาก แต่เธอต้องอดทนมาโดยตลอด เจ็บจนแทบไม่รู้สึกอะไร เพราะมันชาหนึบไปหมด แต่ก็ยังดีที่ได้รู้เรื่องราวพวกนี้ก่อนตาย
“อีกล้วย”
“แค่นี้นะคะ ขอให้สนุกกับการขึ้นศาล” กล้วยทิ้งท้ายก่อนจะวางสาย เรื่องราวทุกอย่างถูกดำเนินการด้วยทนายที่มีฝีมือ ส่วนเธอก็ใช้ชีวิตที่นี่ พริบพรายตกลงแต่งงานอย่างเรียบง่ายกับนาคิม เพื่อให้แม่สบายใจก่อนที่จะจากไป ทั้งสองผูกข้อไม้ข้อมือกันที่เพ้นเฮ้า โดยมีพ่อแม่ของนาคิม และกล้วยเป็นผู้ใหญ่ของกันและกัน
“นาคิม น้ามีลูกสาวคนนี้เป็นลูกสาวที่น้าห่วงมาก พริบพรายอาจจะเป็นคนขวานผ่าซาก แข็งไปสักหน่อย แต่เป็นคตนดีมากคนนึง นาคิมดูแลน้องด้วยนะลูก” กล้วยกล่าว
“ครับคุณน้า ผมชอบพริบพรายมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมจะดูแลเธอให้ดี ให้เกียรติเธอ และซื่อสัตย์ต่อเธอครับ” นาคิมบอก เขาวิ่งเข้าออกบ้านของกล้วยมาตั้งแต่เด็ก เห็นเด็กสาวหน้าตาธรรมดา คอยมองเหตุการณ์รอบตัว เห็นแววตาที่น่าสงสาร เห็นความเด็ดเดี่ยว ความขยัน เขาก็รู้สึกหลงรักมาโดยตลอด จนกระทั่งแยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาเจอกันอีกครั้ง มันก็เรียกความรู้สึกเดิมกลับมา และทั้งคู่ก็มีใจตรงกัน
“ส่วนเรา พริบพราย ลูกอย่าใช้อารมณ์เหนือเหตุผลนะลูก ลูกดีทุกอย่าง ติดก็แค่อารมณ์กับคำพูด แม่อยากให้ลูกมีสติ ใจเย็น และรู้จักขอโทษ อย่าได้ถือทิฐิ” กล้วยกล่าว ก่อนจะกระซิบข้างหูลูก “และอย่าโง่แบบแม่”
“ค่ะ คุณแม่” พริบพรายยิ้ม กล้วยหยิบเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาลที่เป็นเครื่องประดับจากคาเธียร์มงกุฎของราชวงศ์หนึ่งแถบยุโรปออกมาเป็นของขวัญ ชองขวัญชิ้นนี้ประเมินมูลค่าไม่ได้ เพราะกล้วยได้ซื้อมาตั้งหลายสิบปีแล้ว เธออยากมอบมันให้กับลูกสาวของเธอ เผื่อว่าพวกเขาจะอยากจัดงานแต่งงานหรูหราในอนาคต