บทที่2
ตงเนี่ยนเจินมองเศษซากของศาลบรรพชนด้วยแววตาที่อ่านยาก เขาเห็นยามที่มันลุกโชนและมอดไหม้ไป ทั้ง ๆ ที่ควรจะเสียใจ แต่เพราะอีกฝ่ายนั้นทำตัวเองจะให้เขาทำเช่นใดได้อีก
เยว่เม่ยเอาน้ำไปให้ดื่มก็ไล่นางออกมาคงหมายจะประชดประชัน นางเก่งอยู่แล้วนี่ ขนาดฆ่าลูกเพื่อสิ่งที่ต้องการได้ อย่างอื่นก็คงทำได้หมดทุกอย่างแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักนางแต่ก็ดูแลอย่างดี ทั้งฐานะฮูหยินเอกหรือแม้แต่อำนาจในจวนก็ล้วนให้นางถือเอาไว้ทั้งสิ้น ขอเพียงเรื่องเดียวคือการได้อยู่ครองคู่กับสตรีอันเป็นที่รักอย่างเยว่เม่ย นางถึงขั้นอดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นมาทำร้ายบุตร สังหารเด็กในครรภ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ท่านพี่ตรงนี้มิมีอะไรให้มองหรอกเจ้าค่ะ” เสียงหวานจนแสบหูของเยว่เม่ยเอ่ยเรียกสามีของนาง ยามนี้นางเป็นฮูหยินเอกของตระกูลตงแล้วจะไม่มีผู้ใดมามีอำนาจเหนือนางไปได้ โดยเฉพาะพี่สาวของนาง
ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องประทินโฉมและชาดแดงราวกับนางเอกงิ้วยกยิ้มอย่างพอใจ ผมที่ประดับเครื่องประดับเอาไว้เกินพอดี อิงไปยังไหล่แกร่งของสามีนาง
ทั้งสองมิได้รู้เลยว่าการกระทำไร้ยางอายนั่นได้สร้างมารขึ้นในหัวใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของเยว่เหลียนเข้าให้แล้ว หากเมื่อก่อนเยว่เหลียนเปรียบเป็นบัวขาวที่งดงามชูช่อสูงเหนือพื้นน้ำ กลีบพลิ้วไหวเมื่อยามต้องลมดูบริสุทธิ์และอ่อนโยน ตอนนี้ทั้งดอกตูมแลดอกบานของบัวดอกนี้คงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตมแล้ว
เพราะภาพที่เยว่เหลียนเห็นก่อนที่นางจะสิ้นชีพไปนั่นคือภาพของสามีของนางยืนมองดูประตูที่พังลงและร่างของนางที่ตะเกียกตะกายเพื่อหาหนทางเอาชีวิตรอด
แววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจที่จ้องมองมาที่นางนั้นทำให้เยว่เหลียนอยากจะกรีดร้องและหัวเราะให้กับโชคชะตาบ้า ๆ นี่ แม้นางจะไม่มีเสียงที่จะเอ่ยออกไป แต่ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน คนทั้งสองนางจะจดจำเอาไว้ หากพบเจอกันไม่ข้าก็พวกเจ้าจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
นางก่นด่าสาปแช่งคนเหล่านั้นจนห้วงลมหายใจสุดท้าย
สวรรค์เหมือนจะยังไม่ทอดทิ้งเยว่เหลียน จากความร้อนที่แผดเผาทุกอย่างเหมือนจะนิ่งสนิท หญิงสาวรู้สึกได้ถึงแรงโยกน้อย ๆ จึงลืมตาตื่นขึ้น
ภาพที่เห็นมิได้เป็นภาพในศาลบรรพชนของตระกูลตง แต่เป็นรถม้าที่ช่างคุ้นตายิ่งนัก
“โอ๊ย” เยว่เหลียนร้องออกมาเมื่อหัวของนางโยกไปกระแทกกับขอบหน้าต่างในรถม้า
“คุณหนูเยว่เหลียนบ่าวขออภัยขอรับ หนทางไปเมืองหลวงขรุขระนักเหมือนว่าจะเพิ่งมีฝนตกไปขอรับ”
เสียงนั่นตะโกนบอกให้นางรู้และนั่นก็ยิ่งทำให้เยว่เหลียนสงสัย ไม่มีใครเรียกนางว่าคุณหนูมานานแล้ว
เพียงครู่รถม้าก็จอดนิ่งสนิทที่ข้างทาง
“พักก่อนดีหรือไม่คุณหนู หนทางลำบากยิ่งนัก ไปช้าสักหน่อยอย่างไรก็ยังทันฤกษ์นะเจ้าคะ แต่ถ้าเร่งแล้วเกิดอันตรายจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”
เยว่เหลียนได้ฟังก็มีสีหน้างุนงง “ฤกษ์”
คำที่สงสัยหลุดออกมาจากปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ใช่เจ้าค่ะก็ฤกษ์งานมงคลของคุณหนูกับคุณชายตงอย่างไรเล่าเจ้าคะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย
“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นก็มิต้องรีบหรอกหนทางดีแล้วจึงค่อยเดินทาง”
กว่าจะเข้าใจทุกอย่างได้ก็ใช้เวลาสักพัก เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และตอนนี้นางก็เหมือนจะได้ย้อนกลับมาในวันนั้นอีกครั้ง วันที่นางตื่นเต้นที่จะได้เจอกับคู่หมาย หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายมิได้มีใจภักดีต่อนางเลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อแต่เพราะ
เยว่เหลียนพยายามคิดถึงเรื่องราวในตอนนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมา มือสวยเอื้อมไปหยิบถาวกู่ที่มีผ้ามัดผมของนาง มัดพันด้านที่เสียหายอยู่ก็ถอนหายใจ นางใส่ใจถึงขนาดนี้แต่กลับได้รับการกระทำเช่นนั้นเป็นสิ่งตอบแทน ครั้งนี้นางจะตอบแทนคนพวกนั้นให้สาสมเช่นเดียวกัน
มือเรียวแกะผ้ามัดผมที่นางเพิ่งใช้มันซ่อมของแทนใจของคู่หมั้นที่ส่งมาให้นางเมื่อเยาว์วัย น่าขันนักที่นางยังเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดี แต่ก็เพิ่งมาพังเอาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้กระมัง
ตอนแรกนางพยายามใช้ผ้าผูกผมซ่อมมัน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว ในเมื่อสิ่งที่นางสนใจมิใช้ถาวกู่เก่า ๆ นี่แต่เป็นเรื่องที่ควรจะแก้แค้นน้องชั่วสามีโฉดเช่นไรต่างหาก ถาวกู่ที่เคยถูกทะนุถนอมถูกโยนทิ้งเอาไว้ส่ง ๆ ที่หีบสักใบที่เยว่เหลียนเปิดออก
หลังจากพักไม่นานนักรถม้าก็ออกเดินทางอีกครั้งเพียงไม่ถึงครึ่งวันก็ถึงเมืองหลวง เยว่เหลียนมองประตูเมืองที่นางผ่านเข้ามา คราก่อนนางเข้ามาแล้วมิได้กลับครั้งนี้มันจะไม่เป็นแบบเดิมอีก
ใบหน้ายิ้มแย้มของแม่นมที่มารับเยว่เหลียนรู้ว่ารอยยิ้มที่หวานปานน้ำผึ้งนี้อาบยาพิษเอาไว้ ครั้งก่อนนางก้าวพลาดตั้งแต่แรกเพราะแม่นมเห็นนางเป็นคนบ้านนอกคอกนาคงจะไม่รู้ความจึงหลอกให้นางทำสิ่งที่มิสมควร ครั้งนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว