“ตอบสนองกับสัมผัสแบบนี้ เห็นทีว่าฉันชักจะติดใจแล้วสิ...”
น้ำเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยคล้ายเป็นคำชมอยู่ในทีทว่ากลับแฝงไปด้วยความเย้ยหยันและดูแคลนความใจง่ายของหญิงสาวในอ้อมกอด
แล้วดูเหมือนว่าแก้มใสจะเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ ใบหน้าของเธอแดงจัดระเรื่อไปถึงใบหู ดวงตากลมโตหลุบต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะมองสบตาเขา
“อ๊ะ!”
ใบหน้าที่ก้มต่ำถึงกับแหงนเงย ริมฝีปากเผลอส่งเสียงร้องออกมาแผ่วเบา เมื่อจู่ๆ มือหนาสากก็กอบกุมทรวงอกอิ่มของเธอเอาไว้เต็มฝ่ามือ
“อายุเท่าไหร่”
ปรเมศถามพลางใช้นิ้วโป้งบี้บดลงไปบนปลายถันสีชมพู
“อะ...อื้อ สะ...สิบเก้าค่ะ”
แก้มใสตอบพลางนิ่วหน้ากดข่มความซ่านสยิวที่แล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กาย คล้ายกับมีบางสิ่งมวนแน่นอยู่ในท้องจนอึดอัด ลมหายใจขาดห้วง แข้งขาอ่อนระทวยจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยัดยืน จึงเผลอยื่นมือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาไว้
“สิบเก้างั้นเหรอ เด็กเกินไปหน่อยแต่ไม่เป็นไร”
เขาพูดราวกับประเมิน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ทราบอายุของหญิงสาวที่อัดแน่นไปด้วยส่วนสัดเย้ายวนอารมณ์ชายเช่นนี้
“ชื่ออะไร”
“กะ...กะ..แก้มใสค่ะ”
เธอเริ่มรู้สึกหูอื้อ ตาพร่าลาย คำถามที่มาพร้อมกับความหวิวไหวทำให้หญิงสาวแทบไม่มีสมาธิในการตอบ
ปลายนิ้วโป้งบดคลึงหมุนวนราวกับจะแกล้งให้อีกฝ่ายอ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เขาไม่เพียงแต่บดขยี้ปลายถันแต่ยังใช้ฝ่ามือกอบกุมทั้งเต้าแล้วบีบเฟ้นเค้นคลึงไปมาจนร่างเล็กเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น...แรงขึ้น
“อะ...อาห์ อะ...อื้อ”
เธอครางเสียงหลง เม้มริมฝีปากเข้าหากันคล้ายพยายามสะกดกลั้นเสียงน่าอายนั่น แต่ยิ่งเขาฟอนเฟ้นนางก็ยิ่งครางดังขึ้น
“การศึกษา...”
“มะ...มัธยมหกค่ะ”
“มีพี่น้องมั้ย”
ทรวงอกกระเพื่อมไหว พลางแอ่นเบียดเข้าหาคนตัวโตเมื่อเขากลับมาใช้ปลายนิ้วบี้บดปลายถันอีกครั้ง
“มะ...ไม่มีพี่น้องค่ะ เป็นลูกคนเดียว”
“พ่อแม่ล่ะ”
“แม่เสียไปตั้งแต่เด็กค่ะ เหลือแค่พ่อคนเดียว หนูไม่มีญาติที่ไหน อะ...อื้อ อื้อ”
แก้มใสรวบรวมสติแล้วตอบออกไปยืดยาว แต่เมื่อเขาบดขยี้ถี่ๆ เธอก็ถึงกับปิดเปลือกตาแน่นเผลอครางเสียงแผ่วหวานออกมาอีกคำรบ
“งั้นหรือ”
ตอบรับพลางก้มหน้าลงแล้วใช้ปลายจมูกโด่งซุกไปตามพวงแก้มอิ่มระเรื่อ มือข้างที่เค้นคลึงอกคู่งามเลื่อนต่ำลงแล้วกอบกุมสะโพกผายเอาไว้
ทันใดนั้นเขาก็ผละออกจากการกอดรัด ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วมองร่างตรงหน้าอย่างประเมินอีกครั้ง คราวนี้แก้มใสไม่ได้หลบสายตา ใบหน้าของเธอฉายชัดว่าเต็มไปด้วยความประหม่าและเขินอาย
“ถอดสิ”
คำสั่งห้วนสั้นไม่อ้อมค้อมทำให้แก้มใสถึงกับเผลออ้าปากน้อยๆ ก่อนจะรีบเม้มปากเป็นเส้นตรง ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าทัดทาน ด้วยกลัวว่าหากเขาเปลี่ยนใจขึ้นมาเธอจะหมดสิทธิ์ได้ใกล้ชิดน้องกานต์
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำด้วยน้ำเสียงสั่น นิ้วเรียวเล็กรีบปลดกระดุมกางเกงยีนก่อนจะดึงมันลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้า เผยให้เห็นกางเกงชั้นในลูกไม้สีขาวบางเบาที่ปกปิดโหนกนูนเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ด้วยรู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในสายตาของผู้ล่าอย่างปรเมศ นิ้วเล็กเกี่ยวที่ขอบกางเกงชั้นในตัวจ้อยแล้วรูดมันลงไปกองที่ปลายเท้า ก่อนจะยกเท้าทั้งสองข้างออกแล้วเขี่ยพวกมันไปให้พ้นทาง
เวลานี้แก้มใสยืนเปลือยเปล่าโดยไร้อาภรณ์ปกปิด เธออับอายจนเอาแต่ก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง
“เงยหน้าขึ้นสิ”
“ค่ะ”
แก้มใสค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เธอไม่เคยเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้ชายคนไหนมาก่อน ร่างบางจึงสั่นเทิ้มด้วยความกระดากอาย ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลามเลียแผดเผา ตื่นตระหนกจนรู้สึกราวกับจะเป็นลมล้มลงเสียให้ได้
“สวย...ไร้ที่ติ”
เขาเอ่ยชมเรือนร่างของเธอราวกับกำลังพูดถึงสินค้า หาใช่เรือนร่างของมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ