แม่จ้าวและซุนเยว่เดินผ่ากลางหมู่บ้านไปตามถนน เพื่อมุ่งหน้าสู่แปลงนาที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่ ในหมู่บ้านดูเงียบเชียบ มีเพียงเด็กและคนแก่ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ในหมู่บ้านไม่มากสักเท่าไหร่ ทั้งคู่ใช้เวลาเดินราว ๆ 15 นาทีก็มาถึงแปลงนาที่เป็นจุดหมายปลายทาง
สิ่งที่น่าแปลกใจคือสายตาของชาวบ้านที่มองดูการมาของซุนเยว่และแม่จ้าวเป็นตาเดียว หลายคนพูดกระซิบกระซาบเพราะไม่อยากให้ซุนเยียนผู้เป็นแม่ของหญิงสาวได้ยิน
คนในหมู่บ้านต่างก็รู้กันดีว่าบ้านซุนรักลูกสาวคนนี้มากแค่ไหน ถึงแม้เธอจะเสียสติไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่หญิงสาวก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บางคนถึงกับแอบอิจฉาซุนเยว่ที่รูปร่างหน้าตาสวยงาม ไม่ต้องออกมาตรากตรำทำงานหนักเช่นพวกเธอ
สาว ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านต่างก็แต่งงานออกเรือนกันไปเกือบหมดแล้ว แต่ซุนเยว่กลับสวยสะพรั่งอยู่ที่บ้านเช่นเดิม เธอเป็นดอกไม้งามที่ไม่มีใครต้องการ แน่นอนว่ายุคสมัยนี้ไม่มีใครต้องการรับคนสติไม่ดีไปเป็นภาระเลี้ยงดู สวยแล้วอย่างไร ความสวยกินไม่ได้เสียหน่อย
"โอ๊ยยย เกิดเป็นลูกสาวบ้านซุนนี่ดีจริง ๆ วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินไม่ขาด"
เจียวมี่ลูกสาวผู้นำหมู่บ้านเอ่ยเย้ยหยันซุนเยว่ระหว่างที่เธอเดินผ่าน จริงอยู่ ที่ซุนเยว่เป็นคนป่วยที่ไร้การรับรู้ แต่ถึงอย่างนั้นเจียวมี่ก็อิจฉาที่ไม่อาจเทียบความสวยกับเธอได้
"เจียวมี่เบา ๆ เดี๋ยวเธอก็โดนคนบ้านซุนด่าเอาหรอก เธอนี่ก็แปลก อิจฉาได้แม้กระทั่งคนบ้า"
หนิงจินเอ่ยปรามเพื่อนสาว เธอรู้ดีว่าเจียวมี่ไม่ได้เพียงอิจฉาซุนเยว่ที่สวยกว่าเพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่เจียวมี่กลัวก็คือ กลัวจ้าวหลุนชายที่เธอหมายปองจะไปชอบซุนเยว่เข้าให้ ยิ่งบ้านของทั้งคู่อยู่ติดกันทางท้ายหมู่บ้านด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้เจียวมี่หวั่นใจขึ้นไปอีก
ทางด้านซุนเยว่กับแม่จ้าว รวมทั้งทุกคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวทั้งสองคนพูด ซุนเยว่เดินไปหาครอบครัวของตนเองเงียบ ๆ เพราะยังไม่อยากสร้างศัตรู แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอกลัว เพียงแต่ตอนนี้เธออยากมุ่งมั่นกับเรื่องปากท้องมากกว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้
"อาเยว่ ทำไมถึงได้เดินมาที่นี่ล่ะลูก มา ๆ เข้าร่มไม้ก่อนนะ ป้าจ้าวก็มานั่งตรงนี้ก่อนจ้ะ"
ซุนเยียนรีบเรียกลูกสาวให้มาเข้าร่มไม้เช่นเดียวกับจ้าวหลุนที่รีบเดินเข้าไปรับกล่องอาหารจากมือของซุนเยว่ไปวางไว้ที่แคร่ทั้ง 2 กล่อง
"หนูเอากับข้าวมาให้ค่ะ เมื่อเช้าแม่เอาปลาไว้ให้หนูเยอะเกินไป หนูกลัวว่าทุกคนจะกินไม่อิ่ม"
"ทีหลังอย่าลำบากเดินมาเลยลูก พวกเรากินเท่าที่มีก็ได้"
ซุนเยียนกลัวลูกสาวจะอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้นางจึงไม่อยากให้ลูกสาวออกมาที่นี่สักเท่าไหร่
"อาเยียนอย่าไปว่าอะไรอาเยว่เลย ป้าเป็นคนชวนอาเยว่เดินมาด้วยกันเอง" จ้าวเลี่ยงจินรีบออกโรงงปกป้องสาวน้อยทันที ส่วนลูกชายของนางก็มัวแต่จ้องหน้าเด็กสาวตาไม่กระพริบ
"เอาล่ะ งั้นมากินข้าวด้วยกันเลยไหมจ๊ะป้าจ้าว"
เมื่อรู้อย่างนั้นซุนเยียนก็รีบจัดแจงอาหารที่มีออกมาวางกลางวงล้อมของทุกคน เพียงแค่เปิดฝาหม้ออวยขึ้นได้ กลิ่นหอมของขาหมูตุ๋นก็ลอยโชยไปทั่วจนทุกคนหันมองหน้ากัน ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กว่าจะได้กินเนื้อหมูสักชิ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสมัยนี้ พวกเขาต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาแบ่งผลผลิตถึงจะได้รับส่วนแบ่งอาหาร ครอบครัวไหนจะได้มากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกในครอบครัวนั้น ๆ มาลงชื่อทำงานในแปลงนาหลายคนหรือไม่
นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของครอบครัวซุน พวกเขามีสมาชิก 4 คน มาร่วมทำงาน 3 คน เพราะอย่างนั้นเรื่องอาหารของครอบครัวซุนจึงมีเพียงพอไม่ได้ลำบาก
"มีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมไม่กินข้าวล่ะ หรือว่าอาหารที่หนูทำมาไม่น่ากินเหรอคะ"
ซุนเยว่เห็นทุกคนมัวแต่มองหน้ากันไปมาไม่ลงมือกินอาหารสักทีเธอจึงเอ่ยถาม
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกลูก อ้าวกิน ๆ เดี๋ยวต้องไปทำงานแล้ว"
ซุนชางกลัวลูกสาวไม่สบายใจจึงบอกให้ทุกคนรีบลงมือกับอาหารตรงหน้า ส่วนเรื่องอื่นไว้ค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านตอนเย็น ลึก ๆ แล้วเขากลัวว่าอาหารเหล่านี้จะทำให้ชาวบ้านผิดสังเกตจนคอยจ้องจับผิดลูกสาวของตน แต่แค่มื้อเดียวเข่าก็ยังพอมีคำตอบหากมีคนสงสัย
"หืออ! ในนี้.."
จ้าวหลุนเปิดกล่องข้าวขึ้นก็พบว่าในนั้นมีขาหมู ผัก และไข่ต้มจัดเรียงไว้บนข้าวเปล่าจนเกือบเต็มกล่อง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลงมือกับอาหารตรงหน้า
ระหว่างที่ทุกคนกินข้าวอยู่ซุนเยว่กับแม่จ้าวก็เทียวพูดคุยเรื่องทำแปลงผักไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป
ชาวบ้านหลายคนต่างหันมามองที่ซุนเยว่ วันนี้เด็กสาวพูดจารู้เรื่อง สามารถตอบโต้ได้ทุกอย่าง ทั้งยังดูร่าเริงสดใสขึ้นจนเห็นได้ชัด หญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักจึงเอ่ยถามขึ้น
"อาชาง อาเยว่หายดีแล้วเหรอ?"
"หายดีแล้วครับป้าเฉิงผิง"
"ดี ๆ ป้าดีใจด้วยนะ"
"ขอบคุณครับป้า อาหยวนมาหาลุงเร็วเข้า"
ซุนชางตอบกลับเฉิงผิงหญิงสูงวัยที่บ้านของนางอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขานัก ป้าเฉิงผิงผู้นี้อาศัยอยู่กับหลานชายวัยเพียง 5 ขวบ สามีของนางตายจากไปหลายปีแล้ว ส่วนลูกชายก็ไปทำงานรับจ้างอยู่ในเมือง นาน ๆ ถึงจะกลับมาหาแม่และลูกชายครั้งหนึ่ง แม่ของเด็กไม่ต้องถามถึง คลอดเฉิงหยวนเสร็จเธอก็หอบผ้าหนีตามชายชู้ไปทันที
"ค้าบ"
"เอานี่ไปนะ กินเยอะ ๆ จะได้โตเร็ว ๆ "
ซุนชางคีบเนื้อหมูหลายชิ้นใส่ฝาหม้ออวยให้เด็กชายตัวน้อยเอาไปใส่ถ้วยข้าวกิน ทางด้านเด็กชายตัวน้อยที่เห็นหมูชิ้นใหญ่ก็ตาเป็นประกาย มุมปากเล็กมีน้ำใส ๆ ไหลออกมาเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
"ขอบคุณครับ ย่าค้าบ~"
ป้าผิงเห็นหลายชายมีความสุขนางจึงรีบเอ่ยขอบคุณคนบ้านซุนอยู่หลายครั้ง
"ขอบคุณมากอาชาง ขอบคุณจริง ๆ "
"ป้าอย่าคิดมากเลยครับ พวกเราบ้านใกล้เรือนเคียงยังต้องอาศัยกันไปอีกนาน"
ทุกคนหันหน้ามากินข้าวต่อได้ไม่นาน เสียงของเจียวมี่ก็ดังลอดเข้ามาทำให้ทุกคนเป็นห่วงความรู้สึกของซุนเยว่
"แหม๋ ลูกสาวบ้านซุนนี่ก็ปะไร งานการไม่ทำ วัน ๆ กินล้างกินผลาญปล่อยให้คนอื่นทำงานเลี้ยงจนเหนื่อย ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่หาเลี้ยงหรอกนะ ตัวภาระแบบนี้"
"..."
"คิดแล้วฉันก็อดสงสารพี่ซุนอี้ไม่ได้ มัวแต่เป็นห่วงน้องสาวที่เสียสติจนไม่ยอมแต่เมียเข้าบ้าน เธอนี่มันตัวปัญหาของทุกคนจริง ๆ "
ซุนเยว่พยายามข่มใจ เธอสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งแต่เจียวมี่ก็ยังไม่ยอมหยุด เธอชักจะอยากรู้แล้วสิว่าเธอเคยไปเหยียบเท้าหญิงคนนั้นรึเปล่า ทำไมอีกฝ่ายถึงได้หาเรื่องเธอบ่อยนัก
"หยุดได้แล้วเจียวมี่ ลูกน้าไม่เคยไปทำอะไรให้เธอสักหน่อย ทำไมต้องมาว่ากันขนาดนี้ด้วย"
ซุนเยียนรู้สึกว่าลูกสาวของผู้นำหมู่บ้านซักจะล้ำเส้นเกินไปจึงลุกขึ้นปกป้องลูกสาวของตน แต่ไม่ทันที่นางจะได้พูดไปมากกว่านี้ซุนเยว่กลับกระตุกมือเรียกนางให้นั่งลง
"นั่งลงกินข้าวต่อเถอะคะแม่ เรื่องของเด็ก ๆ แบบนี้เดี๋ยวหนูจัดการเอง"
พูดจบซุนเยว่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปเผชิญหน้ากับเจียวมี่ตรง ๆ แววตาของเธอดูนิ่งสงบจนเจียวมี่เริ่มแปลกใจ
"อืออ~ นัยน์ตามีแต่ความริษยา ดูรวม ๆ แล้วไม่มีเสน่ห์ รู้แล้วว่าทำไมถึงชอบหาเรื่องฉันนัก ที่แท้ก็อิจฉานี่เอง"
ซุนเยว่เดินรอบตัวเจียวมี่อย่างไม่นึกหวั่นเกรง เธอพินิจพิเคราะห์จนเจียวมี่รู้สึกเสียหน้า ต่อหน้าชายหนุ่มที่ตนหมายปอง เจียวมี่คอยชำเลืองมองไปที่เจ้าหลุนอยู่บ่อยครั้งจนซุนเยว่จับทางได้
"กะ..แก! แกกล้าว่าฉันเหรอ" ก่อนที่เจียวมี่จะแผดเสียงร้องซุนเยว่จึงรีบเอ่ยขัดเอาไว้เสียก่อน
"อ๊ะ อ๊ะ ถ้ากรี๊ดออกมาพี่จ้าวหลุนต้องไม่กล้าเข้าใกล้เธอแน่ ๆ แต่เสียใจด้วยนะ ผู้ชายคนนี้เป็นของฉัน!"
ประโยคหลังซุนเยว่โน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเจียวมี่เบา ๆ ทำเอาเจียวมี่แทบจะหัวร้อนเป็นไฟ เมื่อเธอหันไปเห็นว่าจ้าวหลุนจ้องมองเธออยู่หญิงสาวจึงทำได้เพียงกระทืบเท้าแล้วเดินสะบัดก้นกลับไปนั่งข้างมารดาของตนเอง
"ฝากไว้ก่อนเถอะ!"
"รีบมาเอาคืนน๊า~ ฮะ ฮะ กลับไปฟ้องแม่ซะแล้ว"
จ้าวหลุนมองการกระทำของซุนเยว่ตลอดเวลา ชายหนุ่มไม่ยักรู้ว่าเด็กสาวที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยจะมีมุมที่ดื้อรั้นจนน่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ด
"หึ ดื้อจริงๆ " จ้าวหลุนพูดเบา ๆ ก่อนจะมองหน้าซุนเยว่ด้วยรอยยิ้มมุมปาก
"เจียวมี่ใช่ไหม?"
"หนูนั่นแหละ"
"งื้อออ~" หญิงสาวย่นหน้าใส่พี่ชายข้างบ้านก่อนจะนั่งลงข้างแม่ของเธอเช่นเดิม
บทสนาทนาของทั้งคู่ รวมทั้งแววตาที่จ้าวหลุนใช้มองซุนเยว่ทำให้ทั้ง 4 คนที่เหลือต้องลอบมองหน้ากันยิ้ม ๆ ซุนอี้ได้แต่คิดในใจว่าสองคนนี้ชักจะยังไง ๆ เสียแล้ว