Episode-๐๔ เจ้าหนี้คนใหม่

1757 คำ
“เลิกร้องไห้แล้วไปรอกูในห้อง” “...” ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พอเอาเข้าจริงก็ขี้ขลาดไม่กล้าทำ ต่อให้ผู้ชายตรงหน้าจะเป็นคนอื่นไม่ใช่เฮียไกด์ ฉันก็มั่นใจว่ายังไงก็ไม่กล้าพอ... “จะยืนอีกนานไหม? น้ำค้างลงเดี๋ยวไม่สบาย เข้าไปข้างในได้แล้ว” มองไปรอบบริเวณช่างไม่คุ้นตาเอาซะเลย ถ้าไม่มัวแต่ร้องไห้ก็คงมองออกว่าถูกพามาที่ไหน มีแต่ป่าเต็มไปหมด เข้ามาด้านในก็เจอกับเตียงนอนขนาดใหญ่เลยค่ะ แถมยังมีรูปเฮียกับครอบครัวแขวนไว้อีกด้วย “นั่นพ่อกับแม่กูเอง ... ส่วนนั่นก็น้องสาว” เฮียไกด์ว่าก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าฉัน “แต่พวกเขาไปอยู่บนสวรรค์กันหมดแล้วล่ะ” “...” “การอยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป อาจจะเคว้งคว้าง แต่ชีวิตมันต้องเดินต่อ” รู้สึกผิดทันไหมที่ว่าเขาไปก่อนหน้านี้ “ผ่านมันไปยังไงเหรอคะ” “ใช้ชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆไง วันนี้ผ่านไปได้ พรุ่งนี้ก็ต้องผ่านไปได้ เวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง” แต่สำหรับฉัน เวลามันไม่ช่วยอะไรเลย “ดึกแล้ว อาบน้ำนอนเถอะ เสื้อผ้าในตู้ อยากใส่ชุดไหนก็ใส่” “คะ?” “หรือจะให้เอาจริงๆ? ใจไม่กล้าแล้วยังปากเก่งอีกนะ ยัยเด็กโง่!” เขาพูดเหมือนรู้ทันความคิดฉันเลยค่ะ “โลกใบนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ อย่าทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นอีก” “ขอบคุณนะคะที่เตือนสติ” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึก ถ้าวันนี้ไม่เจอเขา ฉันอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังทำร้ายตัวเองอยู่ก็ได้ “เกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม อย่าคิดจะทำอะไรโง่ๆอีก” “ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเข้ามาในห้องน้ำพร้อมกับเสื้อยืดตัวโคร่ง ความจริงลองเห็นแก่ตัวและใช้ชีวิตแบบไม่สนใจใครมันก็น่าจะดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีความสุขกว่านี้ ถึงจะชั่วครั้งชั่วคราวก็เถอะ พอฉันอาบเสร็จ เฮียก็เข้าไปอาบต่อ ระหว่างรอฉันก็ถือวิสาสะขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนเลย เกลือกกลิ้งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบผล็อยหลับไปจริงๆ “...” “ถ้าไม่คิดอะไรก็นอนไป กูไม่ทำอะไรหรอก” เขาว่าก่อนจะเปิดโน้ตบุ๊คและนั่งทำงานข้างๆฉัน “เฮีย” “ว่าไง?” “เมื่อตอนหัวค่ำ เฮียเจอหนูได้ยังไงเหรอ” “บังเอิญ!” “ดีจัง... อย่างน้อยความบังเอิญนี้ก็ช่วยชีวิตหนูไว้ได้ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ไม่ว่าจะบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ ฉันจะถือว่าวันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ความโชคดีเกิดขึ้นกับฉันแล้วกันนะคะ เช้าวันใหม่ แจ่มแจ้งเต็มสองตาเลยค่ะ ที่นี่มันคือไร่มัน! ไร่มันสำประหลังนั่นเองแถมยังอยู่เชิงเขาอีกด้วย “เฮีย พาหนูมาที่ไหนเนี่ย” “ลพบุรี” มองไปรอบๆไม่มีบ้านคนเลยค่ะ มีแต่เพลิงคล้ายที่พักอะไรสักอย่าง แล้วก็มีเด็กสักสี่สิบคนได้กำลังวิ่งเล่นอยู่ “เด็กพวกนั้น...” “เขาไม่มีพ่อมีแม่หรอก บางคนก็มีแต่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะส่งเสียเลี้ยงดูก็เลยต้องพามาไว้ที่นี่” “คล้ายๆสถานที่สงเคราะห์เด็กด้อยโอกาสหรือเปล่าคะ” “ประมาณนั้น” “แล้วพวกเขาได้เรียนไหม” “เรียนสิ มีครูอาสามาสอน แล้วก็มีพระอาจารย์คอยดูแลอยู่ ส่วนเรื่องอาหารก็มีมาบริจาคอยู่บ่อยครั้ง” “...” จากที่คิดว่าชีวิตตัวเองแย่ พอมาเห็นอะไรแบบนี้กลับรู้สึกอีกแบบหนึ่ง “ที่นี่ครอบครัวกูสร้างไว้เองแหละ ไว้สำหรับเด็กด้อยโอกาสโดยเฉพาะ ... ลองดูไหม? ออกจากโลกใบเดิมไปอยู่โลกภายนอกบ้าง จะได้รู้ว่าคนอื่นเขาใช้ชีวิตกันยังไง” ประโยคนี้ของเขาเปรียบเสมือนมือที่ยื่นเข้ามาฉุดรั้งฉันให้กล้าที่จะเดินต่อไปอีกก้าวหนึ่ง อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่ฉันที่กำลังเผชิญโลกแสนโหดร้ายนี้เพียงคนเดียว ตลอดทั้งวันที่นี่ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเลยค่ะ มีแต่เสียงหัวเราะของเด็กๆและเสียงของการอ่านหนังสือเท่านั้นเอง แต่มันน่าแปลกที่พวกเขากลับมีความสุข มีรอยยิ้ม ... “นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ ตามมานี่!” ออกคำสั่งก่อนจะเดินนำฉันไปอีกทางหนึ่ง “ขุด!” “ห๊ะ?” ถึงกับทวนคำสั่งอีกครั้ง “ขุดมันไง จ้างนะเนี่ยไม่ได้ให้ทำฟรี” “ล้อเล่นหรือเปล่าเฮีย ขุดหมดนี่ก็ตายกันพอดี” ฉันว่าพลางกรอกตาไปมาใส่เขา ไร่มันเชียวนะคะ!! “แล้วใครบอกจะให้ขุดหมด?” “ก็สั่งมาสิ ลีลาอยู่นั่นแหละ” ประโยคหลังฉันงุบงิบเบาๆ แต่เฮียมันได้ยินแหละ ตาขวางเชียว ฮ่า “ห้าต้นก็พอ จะเอาไปให้ชาวบ้านทำขนมให้เด็กๆกิน” “โอเค แต่เฮียต้องช่วยด้วยนะ อย่ามัวแต่สั่งอยู่” “แต่กูคนจ้าง?” “ก็ใช่ไง เฮียช่วยหนู เดี๋ยวหนูจะแบ่งค่าจ้างให้ โอเค๊!” ฉันว่าพลางยื่นเสียมขุดดินไปให้เขา เรื่องอะไรจะทำคนเดียว ฮ่าๆ เอาเข้าจริงฉันขุดแค่ต้นเดียวเอง ที่เหลือเฮียมันจัดการเรียบร้อยค่ะ นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเจ้าของร้านขายอะไหล่ ฉันก็คิดว่าเขาเป็นลูกเจ้าของไร่อะไรทำนองนั้น ชำนาญมากอ่ะ และตลอดทั้งวันอีเฮียมันพาทำโน่นทำนี่ไม่หยุดเลย ประหนึ่งว่าฉันคือลูกน้องคนสนิท เป็นกิจกรรมกลางแดดทั้งนั้น -_- “เฮ้อ...เหนื่อย” “คนอื่นเหนื่อยกว่านี้อีกเขายังไม่บ่นกันเลย” “เรื่องของคนอื่นดิ ก็หนูเหนื่อย หนูจะบ่นใครจะทำไม?” “หึ! ปากเก่งแบบนี้แสดงว่ากลับมาเป็นคนเดิมได้แล้วสินะ” “...” เพิ่งรู้ตัวว่าลืมความรู้สึกแย่ๆไปชั่วขณะ “เราไม่สามารถใช้ชีวิตด้วยการแบกโลกทั้งใบไว้ได้หรอกนะ เลิกย้ำคิดย้ำทำได้แล้ว บางอย่างก็ควรปล่อยให้มันเป็นไปตามในสิ่งที่มันควรจะเป็น” “เพิ่งรู้ ว่าเฮียก็มีมุมอบอุ่นกับเขาด้วย” “แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็น” “...” เป็นเวลาสามวันที่ฉันใช้ชีวิตที่นี่โดยไม่ติดต่อกับใครเลย รวมถึงเฮียก็ด้วย ไม่เห็นเขาจับมือถือสักครั้งเลยค่ะ เป็นสามวันที่รู้สึกว่าตัวเองสบายใจมากที่สุดแล้ว เพราะไม่ต้องได้ยินคำด่าทอ ไม่ต้องเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ไม่ต้องมีปากเสียง... ถ้าเราอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่มีเหตุการณ์เหล่านั้นได้ก็คงดีสินะ “ส่งหนูตรงนี้ก็พอ” “จะเดินเข้าไปว่างั้น?” “อืม มันกลับรถยาก” “กลับยากไม่ได้แปลว่ากลับไม่ได้” “แล้วแต่... จะมาบ่นหนูไม่ได้นะ” แค่เลี้ยวเข้ามาก็ต้องแปลกใจแล้วค่ะ มีผู้ชายแต่งตัวมิดชิดเดินวนไปมาอยู่บริเวณหน้าบ้านฉันเต็มไปหมด “มีอะไรกันหรือเปล่า” เฮียเอ่ยถามเมื่อจับสังเกตได้ “คงมาทวงหนี้น่ะค่ะ เฮียไม่ต้องสนใจหรอกช่างมันเถอะ! ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” ฉันว่าพลางยกมือไหว้เขาก่อนจะลงจากรถและรีบเดินไปที่บ้านทันที แค่ช่วยทำให้คิดได้ ช่วยทำให้สบายใจก็ถือว่าดีมากแล้ว อีกอย่างนะเรื่องนี้มันไม่ควรที่เขาจะมาเกี่ยวข้องด้วยซ้ำ “แนน ช่วยแม่ด้วย! แม่เจ็บไปหมดแล้ว” สภาพบ้านคือเละเทะ ตามร่างกายแม่เต็มไปด้วยรอยเขียวรอยแดง ฟกช้ำเต็มไปหมด “อะไรวะไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” ฉันโวยวายใส่คนตรงหน้าก่อนจะเข้าไปประชิดตัวแม่แทบจะทันที “ก็เอาเงินมาดิ งั้นมึงก็เอาตัวมาใช้หนี้เสี่ยแทนแม่ขี้เมาของมึงซะ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นแล้วเดินมากระชากแขนฉัน “นี่!! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาแตะต้องลูกกู” แม่ฉันว่าพลางเอาตัวเองมาบังฉันไว้ กันไม่ให้คนพวกนั้นเข้าใกล้ฉันมากกว่านี้ “แหมป้า!! พอสร่างเมากลายเป็นลูกกูเชียวนะ วันก่อนยังบอกอยู่เลยว่ายกให้เสี่ย” “ไม่ให้แล้วโว้ย!! เดี๋ยวกูหามาคืนพวกมึงเองแหละ” “งั้นก็เอามาดิป้า ถ้าไม่มียังไงวันนี้ก็ต้องเอาอีนี่ไป!! พวกผมไม่ได้ใจร้าย แต่มันเป็นหน้าที่ เอาเงินคนอื่นไปก็ต้องหามาใช้มันก็ถูกแล้ว” ... : เท่าไหร่? “ฮะ เฮีย...” “ถามว่าเท่าไหร่?” “ทำไม? จะใช้คืนให้เหรอ” ไอ้หมอนั่นยังคงต่อปากต่อคำอยู่ ส่วนเฮียก็คือโคตรนิ่ง “หนึ่งแสนบาท มีปัญญาใช้แทนไหม ถ้ามีก็เอามา” ปึก! เงินจำนวนหนึ่งถูกโยนลงตรงหน้าพวกมัน “หนึ่งแสนบาทถ้วน” “ได้ง่ายๆแบบนี้แต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวหรอก ไปเว้ย!” หยิบเงินเสร็จพวกมันก็ออกจากบ้านไปเลย ฉันทรุดลงกับพื้นก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ที่อายจริงๆคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวต่างหาก หลายครั้งที่ฉันพยายามปิดรอยร้าวตัวเอง แต่มันก็ไม่สำเร็จและแตกละเอียดไปไม่รู้กี่รอบ “ไม่ต้องร้อง เช็ดน้ำตาแล้วเก็บกวาดบ้านซะ” “ใครเหรอแนน” แม่เอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ฉัน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้สัมผัสว่าแม่คือแม่จริงๆ ไม่ใช่ยัยป้าขี้เมาขี้โวยวายอย่างทุกวัน “เจ้าหนี้คนใหม่ไงแม่ เขาน่ะร้ายยิ่งกว่าคนก่อนหน้านี้อีก” “ระ เหรอ” “เพ้อเจ้อ!” เฮียถึงกับส่ายหน้าให้เลยค่ะ แต่ฉันพูดจริงว่าเฮียมันร้าย... “บางทียอมเป็นเมียเสี่ย อาจจะดีกว่ามีเฮียเป็นเจ้าหนี้ก็ได้” “ไอ้เสี่ยไม่หล่อเท่ากูหรอก มีมันเป็นผัวระวังจะเสียใจ” “หลงตัวเอง” “อย่าพูดมากอยู่ เก็บบ้านได้แล้ว” “นี่บ้านหนูนะ” “เออ กูเป็นเจ้าหนี้จะสั่งอะไรก็ได้” ไม่พูดเปล่าอีเฮียมันยังทำหน้ากวนอารมณ์ใส่ฉันอีกด้วย “เรื่องเงิน...” “มึงก็มาทำงานที่ร้านใช้หนี้กูแล้วกัน หมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ” “...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม