Episode 03
หลายวันต่อมา
Talk พริ้งเพรา
“ไง? อ่านครบถ้วนทุกตัวอักษรแล้วใช่ไหม?” เขากล่าว พร้อมกับยกขาไขว่ห้างมองเรานิ่งๆ “ทีนี้ก็รู้เอาไว้ซะ ว่าฉันไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไร!”
“อืม ฉันรู้แล้ว” เราตอบกลับด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ก่อนที่จะวางเอกสารการตรวจร่างกายของเขาลงบนโต๊ะ “ตอนนี้ฉันสบายใจแล้วค่ะ”
“แล้วสรุปยังไง? จะแต่งไหม?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไหม? เพราะมันเป็นคำขอร้องจากคุณพ่อและคุณแม่ของฉัน ส่วนคุณ…ถ้าให้เดานะ คงจะโดนบังคับมาล่ะสิ” เราหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ก็เออดิ คุณพ่อบอกว่าถ้าฉันไม่ยอมแต่งงาน ท่านก็จะไม่ยกมรดกให้ฉัน แม้ว่าฉันจะเป็นทายาทเพียงคนเดียวก็ตาม ท่านก็จะไม่ยกให้ แต่จะไปบริจาคให้หมาแทน”
“ท่านคิดถูกแล้วค่ะ” เราหยิบกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงขึ้นมา เพื่อที่จะเดินไปขึ้นรถ เตรียมตัวออกไปข้างนอกกับเขา “เพราะทำบุญกับหมา ยังได้ประโยชน์กว่าให้คุณ”
“พริ้งเพรา! นี่! ฉันเป็นว่าที่สามีเธอนะเนี่ย!” เขายกมือขึ้นเท้าเอวเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก่อนที่จะเดินตามเรามาเพื่อที่จะพาเราออกไปข้างนอก โดยวันนี้ พวกเราจะต้องไปซื้อแหวนและไปลองชุดแต่งงานกันค่ะ
“รองเท้าคู่นี้ใส่ยากจริง” เรากลอกตามองบน หลังจากที่พยายามใส่รองเท้าคู่นี้มาสักพักหนึ่ง รองเท้าส้นเข็มแบบเปิดเท้า โชว์นิ้วเท้าทั้งหมด ซึ่งมันก็จะมีสายที่จะต้องรัดตรงข้อเท้าอีกที แต่เราขี้เกียจนั่งลงไปที่พื้น เพราะชุดที่เราใส่มาวันนี้เป็นชุดกระโปรงสีขาว เรากลัวชุดเปื้อนน่ะค่ะ
“พูดแบบนี้…เธออยากให้ฉันใส่ให้ล่ะสิ?” เขาเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อย หลังจากที่ตัวเขาเพิ่งจะใส่รองเท้าของตัวเองเสร็จ “กับอีแค่ใส่รองเท้าแค่นี้มันจะไปยากเย็นอะไร ก็นั่งลงแล้วใส่ดีๆ สิ โตขนาดนี้แล้วนะ หัดทำเองซะบ้าง”
“ฉันใส่ชุดสีขาว ถ้านั่งลงที่พื้นเดี๋ยวชุดมันจะเปื้อน” เราตอบ และยังคงพยายามใส่รองเท้าอยู่ จนในที่สุดก็ใส่ลงไปได้แล้วหนึ่งข้าง ห่วย~ รู้งี้น่าจะใส่ชุดสีดำ จะได้ไม่มีปัญหาอะไร “แล้วก็อย่ามั่นหน้ามั่นใจไปหน่อยเลย เวลาหน้าแตก…หมอไม่รับเย็บนะคะ เพราะฉันยังไม่ได้เอ่ยปากขอให้คุณมาใส่ให้สักนิด ถึงเอ่ยปากไปก็รู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ทำ”
เราก็แค่บ่นพึมพำของเราคนเดียวตามประสา ใครๆ ก็เป็น ไม่ได้ขอให้เขามาช่วยใส่ให้เราสักหน่อย มั่นหน้า! บางทีอากาศหนาวๆ เรายังคุยคนเดียวเลยค่ะ ว่าเอ๋~ ทำไมวันนี้อากาศหนาวจัง ก็แค่นั้นเอง ชิ!
“กลัวเสียฟอร์มก็พูดมาเถอะ เหอะ!” เขาส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่จะย่อตัวลงมาใส่รองเท้าให้เรา ทั้งเท้าอีกข้างที่เรายังใส่ไม่ได้ บวกกับติดสายรัดทั้งสองให้เราด้วยเช่นกัน “แน่นไปไหม? หรือควรปรับเพิ่มอีกดี?”
“ปรับอีกนิดนึงก็ได้ มันแน่นไป” เราตอบ ตัวเขาพยักหน้าเบาๆ และทำการปรับสายให้เรา เมื่อเขาปรับเสร็จ เราก็พอใจกับความแน่นของสายรัดพอดี จึงบอกให้เขาลุกขึ้นยืน เพื่อที่จะไปซื้อแหวนและชุดแต่งงาน
“พอดีแล้วล่ะ ลุกขึ้นเถอะ”
“อืม” เขาครางตอบในลำคอเบาๆ และหยัดตัวลุกขึ้น “เริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ? แหวนหรือชุดแต่งงาน?”
“ไปดูแหวนกันก่อนก็ได้ค่ะ”
“โอเค ไปกันเถอะ” เขาเดินนำไปที่รถ ขึ้นไปยังทางฝั่งคนขับ ส่วนเราก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างๆ คนขับ “พร้อมนะ”
“อืม” หลังจากนั้นเขาก็ออกรถ และพวกเราก็เดินทางไปดูแหวนแต่งงานด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
~~~~~~~~~~
“พี่โรม ใส่รองเท้าให้หนูหน่อย~” เด็กสาวในวัยเก้าขวบกล่าว พร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนไปให้อีกฝ่าย “ของเล่นเต็มมือหนูไปหมดเลย หนูใส่ไม่ได้”
“ก็ได้ๆ มาๆ เดี๋ยวพี่ใส่ให้”
“เย้~ พี่โรมน่ารักที่สุดเลยค่ะ”
~~~~~~~~~~
ตัวเขาในตอนนั้น…มันดีมากจริงๆ ค่ะ
…
…
…
…
…
“ฉันหิวข้าวมากเลย เราแวะกินข้าวกันก่อนได้ไหม?” เขาพูดขึ้น หลังจากที่เราทั้งสองเพิ่งมาถึงห้างสรรพสินค้าได้ไม่นาน “คุณแม่ปลุกฉันแต่เช้า เพราะกลัวว่าฉันจะมารับเธอไม่ทัน ข้าวสักเม็ดยังไม่ตกถึงท้องฉันเลยวันนี้”
“เอาสิคะ ฉันก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน เพราะรอนานมากกว่าคุณจะมารับ คุณมาก็…บ่ายสองพอดี” เราตอบ “แล้วคุณจะกินอะไรล่ะคะ? ฉันกินอะไรก็ได้ แต่ไม่เอาเนื้อนะ ฉันไม่กินเนื้อวัวค่ะ”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่กินเนื้อวัว ไม่ต้องย้ำ” เขาหันมามองจิกเราเล็กน้อย ก่อนที่จะชี้ไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง “กินอาหารญี่ปุ่นกันไหม? ซูชิอะไรพวกนี้น่ะ แต่ถ้าไม่…กินร้านอาหารไทยก็ได้เหมือนกัน เธอคิดว่ายังไง?”
“อาหารญี่ปุ่นก็ได้ค่ะ ใกล้ๆ ดี” จากนั้นเราทั้งสอง ก็เดินไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนั้น เพื่อที่จะหาอะไรกินกัน โดยที่เรากอดแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้รังเกียจหรือผลักไสอะไรเรา ยอมให้เรากอดแขนของเขาแต่โดยดี
พอได้ที่นั่ง พวกเราก็หยิบใบเมนูขึ้นมาดู อยากกินอะไรก็พากันสั่งๆ ไป พอสั่งเสร็จก็รออาหารมาเสิร์ฟตามปกติ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่ง…
“ตายแล้ว! ใช่คุณโรมจริงๆ ด้วย!” ขณะที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเขา ก่อนที่เธอนั้นจะหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ และดึงแขนของเขาไปกอดไว้ ไม่ต้องสืบเลยว่าผู้หญิงคนนี้เธอเป็นใคร
ก็หนึ่งในสาวๆ ของเขานั่นแหละค่ะ
“พอลล่ามองแล้วมองอีก ตอนแรกก็คิดว่าไม่ใช่ แต่พอเดินเข้ามาใกล้ๆ โหย! ตัวจริงเสียงจริงเลยค่ะ” เธอซุกใบหน้าลงไปที่อกแกร่ง พร้อมคลอเคลียไปมาด้วยความคิดถึง “พอลล่าคิดถึงคุณจังเลยค่ะ ไหนว่าจะมาหาพอลล่าไงคะ คุณสัญญาไว้ แต่สุดท้ายคุณก็ไม่มาอะ!”
“เอ่อ…” เอาล่ะ มาดูกันสิว่าผู้ชายที่ชื่อเตชินท์ อคิราห์จะเอาตัวรอดยังไง
“แล้วผู้หญิงคนนี้เขาเป็นใครเหรอคะ? ผู้หญิงในคอลเลคชั่นของคุณอีกคนงั้นเหรอ?”
“…” เราถอนหายใจออกมาเบาๆ และยกแขนขึ้นกอดอกด้วยความไม่พอใจ
“เงียบกันทำไมล่ะคะ? เธอคงจะเป็นเด็กใหม่สินะ ฉันชื่อว่าพอลล่า เป็นเบอร์หนึ่ง และฉันมาก่อน เธอต้องเคารพฉัน เธอล่ะชื่ออะไร? แนะนำตัวหน่อยสิ”
“คือว่า…” ผู้หญิงของตัวเองแท้ๆ แต่ไม่คิดที่จะทำอะไรสักอย่างนอกจากอ้ำๆ อึ้งๆ น่าสมเพชที่สุด
“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเธอจะเป็นใคร มาจากไหน และอยู่ในฐานะอะไร แต่ขอให้เธอรู้เอาไว้ว่าฉันกำลังจะแต่งงานกับคุณโรม ผู้ชายที่เธอกำลังกอดแขนอยู่”
“สลักไว้ในสมองของเธอให้ชัดๆ เลยนะ ว่าฉันกำลังจะเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ผู้หญิงในคอลเลคชั่นของเขา ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร ไหว้ฉันซะสิ!”
“เอ่อ…พอลล่าขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ!” เธอพนมมือไหว้เราเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากร้านไป
เราไม่ได้หึงอะไรเขาหรอกนะคะ แต่เราแค่ไม่โอเคที่เขาเอาแต่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไรเลย แถมยังปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นมาพูดว่าเราเป็นหนึ่งในสาวๆ ที่อยู่ในคอลเลคชั่นของเขาอีก น่าโมโหที่สุด ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ