รักอุ่นใจนายเย็นชา 1

1353 คำ
รักอุ่นใจนายเย็นชา 1 แต่งงานเพื่อธุรกิจ... ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบการคลุมถุงชน ไม่ชอบการบังคับใครและไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนครอบครัวฉันเรียกตัวให้ฉันเข้าไปพบที่บ้านใหญ่ เพื่อบอกให้ฉันรับรู้ถึงรายละเอียดของงานแต่งที่จะถูกจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า และวันนั้นเป็นวันที่ฉันได้เจอกับเขาผู้ชายคนนั้น ***เวล*** ลูกชายคนโตของเพื่อนสนิทพ่อฉัน ใบหน้าเรียบเฉยของเขาทำให้ฉันพูดไม่ออกยามที่ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาที่ฉันไม่ละสายตา ยิ่งทำให้ฉันอยากจะร้องไห้กับการกระทำของผู้ใหญ่ ฉันกับเขาไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำจู่ๆจะมาให้แต่งงานไม่รู้พวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ “หนูทับทิมจ๊ะ ขยับให้พี่เขานั่งด้วยสิ” เสียงหวานๆจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแม่บอกฉันด้วยรอยยิ้มหวาน แต่เธอไม่ใช่แม่แท้ๆของฉันหรอก การกระทำของเธอมันก็ไม่ต่างจากคำว่าเมียน้อยหรอก พวกเขาสองคนสมสู่กันจนมีลูกแล้วคนเป็นพ่อก็พอสองแม่ลูกเข้ามาในบ้าน จนแม่ฉันเริ่มตรอมใจและจากฉันไปไม่มีวันกลับยังไงล่ะ ฉันไม่ยอมพูดอะไรกับใครเลยตั้งแต่ที่รู้ว่าคนเป็นพ่อนอกใจแม่แล้วยังพาครอบครัวใหม่ของเขาเข้ามาอยู่ในบ้าน ฉันมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะกวาดสายตาคนที่มาใหม่ด้วยแววตาเรียบเฉยไม่แพ้กันทำไมเขาไม่ค้านล่ะเรื่องแต่งงานน่ะ สองครอบครัวนัดทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อคุยรายละเอียดต่างๆแต่ฉันไม่อยากจะรับรู้อะไรแล้ว เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่ฟังเหตุผลอะไรจากฉันเลย แม้กระทั่งคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของฉัน “สั่งอาหารกันดีกว่า เด็กๆคงหิวแล้ว” หึ ลูกรักของเขามากกว่าที่หิว พวกเขาสั่งอาหารมาเยอะมากแต่ที่สั่งมาฉันไม่สามารถกินอะไรได้เลยสักอย่างเพื่อนทุกอย่างล้วนเป็นอาหารทะเล ฉันมองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาตัดพ้อ เขาลืมหรือเขาไม่เคยจำกันแน่ว่าฉันแพ้อาหารทะเลขั้นรุนแรง แต่ฉันว่าเขาไม่เคยรู้มากกว่าไม่มีอะไรน่าตกใจเท่ากับการที่แม่เลี้ยงผู้แสนใจดีของฉันตักอาหารมาใส่จานพร้อมกับคะยั้นคะยอให้ทาน “อย่าเสียมารยาททิม” ฉันได้แต่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อคนเป็นพ่อดุเรื่องไม่ยอมแตะอาหาร “ทับทิม ทานข้าว” ฉันขอบตาเริ่มร้อนผ่าวก่อนจะยกมือขึ้นจับช้อนตักอาหาร แต่ก่อนที่อาหารจะเข้าปากก็มีมือของคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆจับไว้ ฉันเอียงหน้ามองเขาเล็กน้อย เขามองมาอย่างตำหนิแล้วดึงช้อนออกจากมือฉัน ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับตั้งแต่เมื่อเสีย ตอนนี้มันกำลังแผ่ซ่านที่ทั่วฝ่ามือฉันเมื่อเวลประสานมือเข้ากับมือฉัน “ทิมแพ้อาหารทะเล คุณไม่รู้หรอ?” เวลถามเสียงเรียบ สายตาเย็นชากวาดมองไปยังฝ่ายตรงข้าม “เอ่อ คือ?” “ทิมพ่อ...” สองคนนั้นเริ่มอึกอัก ฉันได้แต่เงียบ ฉันไม่ปริปากพูดกับพวกเขาเกือบสี่ปีได้แล้วล่ะตั้งแต่แม่เสีย แต่ฉันไม่ได้เป็นใบ้นะ กับเพื่อนกับคนอื่นๆฉันคุยฉันแค่ไม่สนิทใจที่จะคุยกับพวกเขาก็แค่นั้น “ผมจะพาทิมออกไปกินอะไรที่อื่นเอง” คนที่นั่งข้างๆบอกเสียงเข้มพร้อมกับกระชับมือฉันแน่น “ถ้าพวกคุณไม่แคร์ทิม ไม่ใส่ใจต่อไปนี้ผมจะดูแลทิมเอง ขอตัวครับ” ทุกอย่างมันเงียบงันไปหมดมีเพียงเสียงฝีเท้าของฉันที่วิ่งตามเขาออกไป เวลพาฉันไปที่ร้านอาหารร้านหนึ่งทุกสายตามองมาที่เราแปลกๆตั้งแต่ออกมากฉันยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรกับเขาเลยและเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือฉันถึงแม้จะพยายามดึงมืออกแค่ไหน “เอาสปาเก็ตตี้มาสองจาน น้ำส้มกับเบียร์” คนตัวใหญ่สั่งกับเด็กที่เดินตามเราตั้งแต่เข้ามาในร้าน เขาดูคุ้นชินกับที่นี่จัง เขาดันให้ฉันนั่งมุมด้านในก่อนจะนั่งลงฝ่ายตรงข้าม เขานั่งจ้องฉันนิ่ง “ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอ” “...” “ทับทิม ธีรพิชชา เมธาวรศร อายุ 20 สูง 167 หนัก 42 กรุ๊ปเลือด AB เกิด 31 ธันวาคม 25xx แพ้อาหารทะเลทุกชนิด คัพ...” “นี่!!” ฉันตะคอกใส่คนตรงหน้าเสียงดัง แรกๆมันก็ข้อมูลทั่วไปแต่ถึงขนาดบอกคัพนี่มันออกจะโรคจิตไปหน่อยมั้ย “ฮ่าๆๆๆ ไม่ฟังต่อก่อนหรอ” ฉันกำลังจะด่าเขาแต่ต้องเงียบเสียงเพราะมือถือฉันมันส่งเสียงพร้อมๆกับแรงสั่น  เด็กที่สำนักงานโทรมาน่ะสิ ฉันกดรับก่อนจะส่งเสียงเย้นชาที่ทุกคนคุ้นชินเป็นอย่างดีไป “ว่าไง” (เจ๊ มีคนลอบวางเพลิงร้านเรา) “ใคร!?” ฉันถามกลับเสียงขุ่นมืออีกข้างคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาทันที แต่เดินไม่ถึงไหนก็โดนดึงมือไปที่รถ เวลาเปิดประตูแล้วผลักให้ฉันเข้าไปนั่งบนรถ (กำลังเช็คครับเจ๊) “อีกสิบนาทีฉันถึง” ฉันวางสายแล้วบอกพิกัดร้าน เวลยิ้มรับก่อนจะขับออกอย่างเร็ว ระหว่างทางเราไม่คุยกันเลย ในหัวฉันตอนนี้มันคิดไปวนมาใครมันกล้าล้วงคอคนอย่างฉัน “ทิม ยืมมือถือหน่อยแบตหมด” ระหว่างลงรถแล้วจะวิ่งเข้าร้านเวลตะโกนมาก่อน ฉันยื่นมือถือให้เขาอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะวิ่งเข้าไปในร้านเด็กในร้านที่อยู่ในชุดดำยืนเรียงอยู่โซนเคาเตอร์ พอเห็นฉันมาพวกมันโค้งตัวให้ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเช็คภาพจากกล้อวงจรปิด มันมองเห็นไกลๆไม่ชัดเท่าไหร่ มันดูคุ้นๆยังไงไม่รู้ น่าจะเป็นร้านคู่แข่งเพราะว่าพักหลังๆมาร้านฉันมีลูกค้าเยอะได้รับคำชมทั้งด้านรสชาติอาหารการบริการถามถึงความสะอาดที่ร้านจะแบ่งเป็นโซนอาหารและโซนบาร์ที่มีเครื่องดื่มนำเข้าอยู่มาก เราเลยต้องมีการ์ดคอยดูแลความเรียบร้อยของร้าน “ตามเรื่องด้วยแล้วกัน” “ครับเจ๊” หนึ่งในนั้นตอบรับฉันยังนั่งดูภาพอยู่แบบนั้นซ้ำๆวนไปมา ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่บอกว่ายืมมือถือเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีเขายื่นมือถือมาให้ก่อนจะนั่งบนโต๊ะทำงานมองฉันด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก “เป็นไงบ้าง” เสียงนุ่มเอ่ยถามก่อนจะหันกลับมาดูจอคอม “อะไร?” “เฮ้อ รู้ยังว่าใครทำ” เขาถามเสียงเนือย ก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วเบียร์จากลูกน้องฉัน ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย ฉันมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างไม่เข้าใจ พอไม่ตอบเขาก็มองหน้ากวนๆ “ไม่มีเรียนหรอ?” ฉันถามก่อนจะจ้องหน้าเขาไม่ละสายตาเหมือนกัน เขาเรียนอยู่ปีสามนะถ้าจำไม่ผิดแต่ฉันน่ะเรียนจบแล้วแต่ว่าฉันอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี อาจเป็นเพราะฉันเข้าเรียนเร็วด้วยล่ะมั้งตอนนี้รอแค่รับปริญญาระหว่างที่เรียนไม่สิตั้งแต่ที่แม่เสียฉันก็ต้องเข้ามาทำงานเข้ามาดูงานที่นี่ ร้านปิดก็กลับคอนโดง่ายๆคือฉันอยู่ตัวคนเดียวนั่นแหละ ปลายปีหน้าฉันก็จะได้ใส่ชุดครุยสวยๆแต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าแม่อยู่กับฉัน “ไม่มีเรียนแต่ต้องส่งงาน ไปด้วยกันหน่อยสิ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม