ปราบครั้งที่ 10

3831 คำ
[ปราบ] ร่างสูงผอมแห้งยืนก้มตัว มือข้างหนึ่งท้าวเอวหอบแฮก ผมยืนหมุนลูกบาสเก็ตบอลรอมันชิวๆ เช้านี้ผมปลุกซ่าตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแน่นอนว่าเด็กอย่างมันก็ต้องอิดออดเป็นธรรมดา แต่ผมไม่ตามใจลากมันลุกออกจากเตียง จับโยนเข้าห้องน้ำให้มันล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะพามันมาที่สนามบาสเพื่อออกกำลังกาย ซ่าเป็นเด็กร่างสูง ผิวพรรณแม้จะไม่ถึงกลับดำคล้ำแต่ก็ไม่ได้ผ่องใสแถมยังหยาบกร้าน ดูผิวเผินดูจะแข็งแรงแต่เปล่าเลย เล่นบาสกับผมแค่ชั่วโมงเดียวถึงกับหอบแดก “พักพอแล้วมั้ง” ผมถาม ซ่ายืดตัวขึ้นหันมาหาผมทั้งตัว “พี่จะเล่นต่ออีกเหรอ” มันถาม “เออ อีกสักหนึ่งชั่วโมงเดี๋ยวกูให้เลิกเลย” “หิวแล้วอ่าพี่” “รับไป วิ่ง!” ผมไม่ฟัง โยนบาสให้มันรับก่อนจะออกวิ่งไล่แย่งลูกบาสกับมันไปเรื่อยๆ ซ่าที่ตอนแรกเหมือนจะไม่ไหว พอเห็นผมรุกไล่มันก็ไม่ยอมแพ้ ฮึดสู้ผมอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะแพ้ไปด้วยคะแนน ยี่สิบห้าต่อเจ็ด “พี่ปราบ ไปแข่งระดับประเทศไหม จะโยนแม่นไปไหน” “เฉยๆวะ” ผมชอบเล่นบาสตั้งแต่เด็ก เล่นกันในครอบครัวสนุกสนาน ไม่คิดจริงจัง “ผมพูดจริงนะพี่ พี่โคตรเก่ง” “กูเล่นเอาสนุก ไม่ได้คิดจริงจัง” “พี่แม่งจะเก่งเกินไปล่ะ ทำได้หลายอย่างเกิน” ซ่าเอนตัวลงนอนหงายข้างๆผม ผมก้มมองหน้ามันที่หลับตาปิดหายใจเข้าออกลึก เม็ดเหงื่อที่เกาะตามไรผม ใบหน้า และร่างกาย รวมกับชุดบาสเสื้อแขนกุดเว้าลึกคอกว้าง ยังมีกางเกงที่ผ้าพลิ้วแนบไปกับลำตัว ทำให้ซ่าน่ามองขึ้นอีกเท่าตัว ดูเซ็กซี่แบบดิบๆ ให้อารมณ์อยากยื่นมือไปสัมผัสแล้วกระชากออกจากตัวมัน แต่ก็ต้องตัดใจ ทำอะไรไม่ได้ ผมเรียกให้มันลุกขึ้น โยนผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่เตรียมมาให้มันหนึ่งผืนเช็ดเหงื่อตามร่างกายที่โผล่พ้นร่มผ้า ก่อนจะพากันขึ้นรถแล้วขับกลับคอนโด แต่พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมก็ได้ยินเสียงกุกกักและได้กลิ่นของอาหาร พอจะเดาได้เลยว่าใครที่แอบมาบุกห้องผมโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า ซ่าที่ตามหลังเข้ามาดูจะสงสัยไม่น้อย ผมยิ้มให้มันแล้วบอกให้มันเข้าไปอาบน้ำในห้องนอนก่อนเลย ซ่าก็ทำตามแต่โดยดี ส่วนผมก็เดินเข้าไปในครัว เห็นคนตัวเล็กยืนหันหลังอยู่ก็ตรงเข้าไปกอดทันที “พี่ริช คิดถึง” ผมกอดพี่ริชแน่น แอบขโมยหอมแก้มไปที จะทำแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณสงครามเขาไม่อยู่เท่านั้น เพราะป๊านะหวงพี่ริชยิ่งกว่าอะไร ปากน่ะชอบพูดร้ายใส่พี่ริช แต่หลับหลังก็พากันไปโอ๋ “คิดถึงก็กลับบ้านสิคุณลูกชาย” พี่ริชหันมาพูดกับผมก่อนจะกลับไปสนใจหมูทอดในกระทะต่อ “เดี๋ยวเย็นนี้ปราบกลับไปนอนที่บ้าน พี่ริชมาได้ไง” “ขับรถแวะไปส่งป๊าเราที่โรงแรม ก็เลยแวะมาทำกับข้าวให้ไง” “แล้วทำไมวันนี้ป๊าไม่ขับรถไปเองอะ ปกติแกก็ขับไปเองไม่ใช่เหรอ” “ก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกว่าเหนื่อยขี้เกียจขับเอง เดี๋ยวตอนเย็นก็ต้องไปรับอีก” “ถามปราบนะ ปราบว่าป๊าน่ะอยากอ้อน อยากให้พี่ริชไปรับไปส่งเป็นเด็กๆ” ป๊าน่ะอ้อนพี่ริชหน้าตาย อะไรที่ทำเองได้แล้วไม่ทำน่ะ อันนั้นจะเรียกว่าการอ้อน แต่จะดูห้วนๆ ดูเป็นคำสั่งเสียมากกว่า “อ้อนมืออ้อนตีนล่ะไม่ว่า ไปอาบน้ำไป เหม็นเหงื่อ อาบแล้วจะได้ออกมากินข้าวเช้า” “ครับผม” ผมเดินกลับเขาห้องนอนไม่กวนพี่ริชต่อ ซ่าอาบน้ำเสร็จพอดี มันอยู่ในชุดอยู่บ้านสบายๆของตัวเอง “มีคนมาหาเหรอพี่” ซ่าถาม มันคงได้กลิ่นอาหารและเสียงคนทำอะไรอยู่ในครัวตั้งแต่เข้ามา “อืม แฟนป๊ากูเอง ชื่อพี่ริช ออกไปคุยกับเขาก่อนสิ” ผมบอก พยักหน้าไปทางประตูห้องนอน ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำ “พี่ปราบ” มีเสียงเรียกพร้อมกับแรงดึงที่ชายเสื้อ “อะไร” ผมหันไปหาซ่าอีกรอบ “ผมรอพี่ออกไปพร้อมกันดีกว่า” ผมหลุดขำ มันทำท่าเหมือนกลัวที่จะออกไปเจอพี่ริช “พี่ริชใจดี ไม่ต้องกลัวหรอก” “ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย” “ไม่กลัวก็ออกไปสิ” ซ่าดึงหน้าตึงใส่ผม หันซ้ายหันขวาอยู่สองทีก็เดินออกไปข้างนอก ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยให้กับท่าทางจำใจแบบเสียไม่ได้ ผมเลือกที่จะไม่ออกไปดูแล้วไปอาบน้ำ ปล่อยให้ซ่ากับพี่ริชทำความรู้จักกันเอง ขณะที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องซ่าก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา “พี่ปราบ พี่ริชให้มาตามไปกินข้าว” “อืม” ผมหวีผมครั้งสุดท้ายเสร็จก็เดินตามซ่าไปที่โต๊ะทานข้าว กับข้าวสี่อย่างและข้าวกล้องร้อนๆควันลอยฉุยวางล่อน้ำลายอยู่บนโต๊ะ “มาเด็กๆ นั่งกินข้าวกัน เลยเวลาข้าวเช้ามานานล่ะ” พี่ริชนั่งที่หัวโต๊ะ ผมกับซ่าก็นั่งกันคนล่ะฝั่ง ผมมองหน้ามัน ซ่าดูเรียบร้อยและนิ่งเงียบเมื่ออยู่กับคนไม่สนิท “อร่อยไหมน้องซ่า” พี่ริชถามเมื่อเห็นว่าซ่าตักข้าวคำแรกเข้าปาก ซ่าพยักหน้ายิ้มๆ “อร่อยครับ รสชาติเหมือนที่แม่ผมทำเลย” “อร่อยก็กินเยอะๆนะ ตัวก็สูงทำไมผอมจัง” พี่ริชตักหมูทอดใส่จานของซ่า มันเอ่ยขอบคุณเบาๆแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินขาวไม่ค่อยพูด มีแต่ผมกับพี่ริชที่คุยกันไปมา “คุยได้นะ พี่ไม่ดุหรอก” พี่ริชหันไปยิ้มให้ซ่า “ครับ ผมไม่รู้จะคุยอะไรดี” “รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยปราบเหรอ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย” พี่ริชถามและสลับมองทั้งผมและเด็กข้างๆ ซ่ามองหน้าผมเหมือนจะให้ผมตอบ แต่ผมส่ายหน้าเบาๆเป็นอันเข้าใจว่ามันต้องเป็นคนตอบ “ผมไม่ใช่รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยพี่ปราบหรอกครับ ผมเรียนช่างกล เป็นเพื่อนของหวาย ไม่รู้พี่ริชรู้จักไหม” “อ่อ น้องหวาย พี่จำได้ๆ ว่าไปแล้วก็ไม่ได้เจอนานแล้วเหมือนกัน” พี่ริชเคยเจอไอ้หวายอยู่บ้างครับ เพราะมันชอบติดสอยห้อยตามไอ้บีทไปบ้านผมประจำทุกครั้งที่จัดปาร์ตี้ตั้งวงเหล้า ทำให้คุ้นหน้าคุ้นตาคนที่บ้านผม “แล้วทำไมมานอนห้องปราบได้ล่ะ” คำถามนี้เจาะจงผมโดยเฉพาะ พี่ริชที่เป็นทั้งแม่และพี่ชายย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่ารสนิยมผมเป็นแบบไหน นี่คงจะสงสัยอยู่บ้าง “พามาอ่านหนังสือสอบ” ผมตอบไปตามความจริง “อ่านหนังสือสอบ?” พี่ริชถามเสียงสูง จ้องหน้าผมนิ่งก่อนจะละสายตาไปมองซ่าที่มองผมกับพี่ริชอยู่ก่อน “อืม ให้อ่านเองมันคงไม่อ่าน เลยต้องคุมกันหน่อย” ผมขยายความอีกนิด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พี่ริชเข้าใจบางอย่าง ผมไม่ปิดบังกับพี่ริชหรอกว่ารู้สึกสนใจซ่าแต่ว่าผมไม่อยากให้เจ้าตัวเขารู้ตัวตอนนี้ว่าผมคิดยังไง “งั้นเหรอ พี่ปราบดุไหมซ่า” พี่ริชกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ เห็นตัวเล็กน่ารักใจดีแต่อย่าคิดว่าไม่มีอะไรนะครับ ถ้าไม่แน่จริงจะเอาคุณสงครามอยู่หมัดได้เหรอ ซ่ากลอกตาคิดก่อนตอบ “ก็ ไม่ดุเท่าไหร่ครับ” “เหรอ ปกติปราบดุมากเลยนะ” “พี่เขา เข้มงวดอะ” ซ่าเสริมอีกหน่อย “แล้วซ่าไม่รำคาญเหรอ” “ไม่ครับ” ซ่าตอบยิ้มๆ ผมแอบสะกิดพี่ริชไม่ให้ถามอะไรต่อแล้ว มีอะไรไว้ไปคุยกันนอกรอบ กินข้าวเสร็จซ่าก็อาสาล้างจานให้ เหมือนจะเป็นใจให้พี่ริชลากตัวผมออกไปซักไซ้ที่นอกระเบียง “สนใจเหรอ” พี่ริชเริ่มเปิดประเด็น “ครับ” ผมก็ตอบตรงๆ “ดูแปลกกว่าคนอื่นๆที่พี่เคยเห็นนะ” “ครับ พี่ริชคิดว่าไง” “หมายถึงซ่าน่ะเหรอ” “ครับ” “แค่เราชอบก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ” พี่ริชย้อนถามกลับ ผมเข้าใจ ที่บ้านผมทุกคนเคารพการตัดสินใจของผม ไม่ว่าผมชอบหรืออยากทำอะไรไม่เคยมีใครห้าม แค่มองอยู่ห่างๆ ให้คำแนะนำเมื่อต้องการ เพราะทุกคนรู้ว่าหากผมทำอะไรหรือชอบใคร ผมต้องไตร่ตรองอย่างดีแล้ว แต่กับซ่า ผมก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองใช้อะไรไตร่ตรองถึงได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมัน เพียงแค่ตอนนี้ผมอยากให้ซ่าเลิกเดินหลงทางเสียที ผมจึงพยายามช่วยมันเท่าที่ผมจะช่วยได้ “เท่าที่สังเกตน่ะ ซ่าไม่ใช่เด็กที่มีอารมณ์ปกติธรรมดา ในดวงตาของเขาสะท้อนความหม่นหมอง และดูปิดกั้นตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าพี่เข้าใจถูกไหม แต่ลักษณะของซ่าก็เป็นแค่เด็กที่อยู่ในวัยต่อต้าน พี่ก็เคยเห็นมาก่อน พี่ว่าพี่เห็นตัวเองในตัวของซ่า” “พี่ริช” “แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอกน่ะ เพราะซ่าดูเข้มแข็งกว่าพี่ยังไงไม่รู้” อาจจะไม่ใช่เข้มแข็ง แต่กระด้างมากกว่า ป๊าเคยเล่าเรื่องพี่ริชตอนเจอกันใหม่ๆให้ผมฟังบ้าง พี่ริชที่ไม่เป็นที่ต้องการในครอบครัวตัวเองในตอนนั้น ก็ต่อต้านและทำตัวแข็งใส่ทุกคนที่เข้าหา “ปราบคงกำลังทำให้ซ่าเป็นเด็กดีขึ้นใช่ไหม” “แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะรับได้มากแค่ไหน ผมยอมรับว่าสนใจมัน แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวซ่าทั้งนั้น” “เป็นผู้ชายแท้ๆสินะ” “ตอนนี้ยังมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่เลย” “แอบตีท้ายครัวคนอื่นหรือไง” พี่ริชพูดล้อผม “ปกติไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งกับคนมีเจ้าของไม่ใช่เหรอ” ผมไหว่ไหล่เล็กน้อย “ข้อยกเว้นน่ะ” “น้องซ่าเริ่มน่าสนใจขึ้นมาแล้ว ทำให้พี่ปราบแหกกฎตัวเองได้” “ก็ไม่ขนาดนั้นครับส่วนหนึ่งเลยพอได้รับรู้ชีวิตครอบครัวมัน รู้ปัญหาของมันกับแฟนมัน ยิ่งมันทำตัวไม่เอาไหนผมก็รู้สึกเป็นห่วงเลยอยากช่วยเหลือ” “หวังผลหรือเปล่า” “ก็มีบ้าง แต่ผมยังไม่ได้คิดอะไรมากกว่านี้” “ดีแล้ว ยิ่งซ่าไม่ใช่เกย์ แทนที่อะไรจะดีขึ้นเดี๋ยวจะแย่ลง” ความหมายของพี่ริชก็คือ อย่าทำให้ไก่ตื่นนั่นเอง หลังจากคุยกับพี่ริชเสร็จ พี่ริชก็ขอตัวกลับก่อนเพราะจะแวะไปดูอู่รถด้วย ซ่าดูให้ความสนใจเรื่องอู่รถเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่ได้ถามอะไร ผมสั่งให้อ่านหนังสืออีกเล่มที่เหลือก็ยอมทำแต่โดยดีจนกระทั่งมันอ่านจนจบ ผมหยิบกระดาษย่อเนื้อหาที่ซ่าเขียนมาอ่าน มีทั้งย่อตรงประเด็นบ้างไม่ตรงบ้างแต่ก็ไม่ถือสาอะไร แค่เท่าที่เห็นว่ามันพยายามอย่างเต็มที่ ต่อให้คะแนนมันออกมาไม่ถึงที่ผมตั้งไว้ผมก็จะไม่ว่าอะไร ตกเย็นผมไปส่งมันกลับบ้าน ไม่ลืมกำชับให้มันรีบนอนเร็วๆ แล้วพรุ่งนี้ต้องตั้งใจทำข้อสอบ ไม่อย่างนั้นขอตกลงถือเป็นโมฆะ ซ่าก็รับคำเป็นอย่างดี ก่อนกลับผมยื่นมือไปให้มัน ซ่ามองมือผมนิ่งๆก่อนจะวางมือมันบนมือผม “กูเป็นกำลังใจให้ พรุ่งนี้พยายามเข้านะ” ผมพูดให้กำลังใจ “ขอบคุณครับ ผมจะทำให้เต็มที่” พี่ปราบจะรอฟังข่าวดีนะครับน้องซ่า เช้าวันจันทร์ ผมส่งข้อความหาซ่าตั้งแต่เช้า กำลังคิดว่าตัวเองเป็นเอามาก แต่ความรู้สึกผมเหมือนคนที่ตื่นเต้นกังวลว่าเด็กที่ตัวเองปลุกปั้นให้ได้ดีจะทำได้อย่างที่ตั้งใจหวังไหม ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่าตอนเย็นให้อยู่รอผมจะไปรับ ทีแรกมันปฏิเสธเพราะว่าต้องไปทำงานพิเศษ แต่ถ้าวันนี้เย็นผมไม่ไปหามัน ก็จะไม่ได้เจอกันเลยอีกเป็นอาทิตย์เพราะผมต้องลงไปดูงานที่ภาคใต้แทนป๊า มันก็เลยรับปากว่าจะรอให้ผมไปรับที่วิทยาลัย เพราะต้องไปรับมันตั้งแต่สี่โมงเย็น งานในวันนี้ผมก็เลยต้องเร่งรีบทำจนเลขาหัวหมุนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ทั้งงานเอกสารและการประชุม รวมไปถึงนัดหมายต่างๆที่มีในวันนี้ เรียกได้ว่าไม่ได้อยู่กับที่นานเกินหนึ่งชั่วโมง ตะลอนไปทั่วกรุงเทพเมืองแห่งความวุ่นวาย “เดือนนี้ถ้าคุณปราบไม่ขึ้นเงินเดือนให้แคท แคทไม่ยอมจริงๆด้วย” เลขาคนสวยของผมบ่นเมื่องานสุดท้ายเสร็จ “จะเพิ่มให้เป็นพิเศษเลย เพราะฉะนั้นเลิกบ่นแล้วก็ไปจัดการตัวเองในห้องน้ำก่อนกลับบ้านซะไป” ผมมองสภาพเลขาตัวเองที่หน้ามันเยิ้มหัวฟูไม่เป็นทรง แตกต่างจากตอนเช้าลิบลับ “โห นี่สภาพแคทเหรอนี่ รับไม่ได้อะบอส โคตรน่าเกลียดเลย” แคทหยิบกระจกขึ้นมาส่องก่อนจะร้องเสียงหลง จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างที่ผมบอก ผมเก็บของ หยิบกระเป๋าเอกสารสำคัญติดมือมาด้วยแล้วออกจากห้องทำงานไปที่รถ ผมถอดเสื้อสูทกับเนทไทออก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพับแขนขึ้นจนถึงข้อศอก สางผมอีกนิดหน่อยไม่ให้ดูทางการจนเกินไป ระหว่างขับรถผมก็ส่งข้อความไปบอกซ่าว่าเสร็จงานแล้วกำลังจะไปรับ ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงกว่าผมจะมาถึง ล่าสุดมันบอกว่านั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน มาถึงก็เห็นมันนั่งสูบบุหรี่เล่นโทรศัพท์เครื่องเก่าอยู่ ผมลดกระจกลงแล้วบีบแตรใส่ “เฮ้ย ขึ้นรถ” ซ่าเงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือ เมื่อเห็นผมมาแล้วมันก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้นใช้เท้าขยี้ สะบัดเสื้อตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินมาขึ้นรถผม “หวัดดีพี่ปราบ” “อืม คาดเข็มขัดด้วย” ผมสั่งเมื่อเห็นมันไม่ใส่ใจ “ความจริงพี่ไม่ต้องมารับผมก็ได้นะ อย่างกับมีพ่อมารับเลย” “พ่อเลยเหรอ มึงไม่คิดว่าเป็นอย่างอื่นหรือไง” ผมไม่แก่ขนาดจะเป็นพ่อมันไหมล่ะ “เป็นอะไรอะ พี่ชายผมล่ะกัน ผมไม่มีพี่ชาย” “เอาที่มึงสบายใจอะซ่า” “ฮ่าๆๆ แน่นอนสิครับ” วันนี้มันดูร่าเริงผิดปกติ อาจจะมีเรื่องอะไรดีๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีไปด้วย “สอบวันนี้เป็นไงบ้าง ทำได้ไหม” ผมถามถึงสิ่งที่อยากรู้ “ทำได้ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมมั่นใจว่าผมต้องผ่านอะ” ซ่าเล่าอย่างอารมณ์ดี ลอบมองก็เห็นมันยิ้มกว้างแทบไม่หุบ “ดีกว่าวิชาก่อนหน้านี้ไหม” “อืม ฟ้ากับเหวอะ ขอบคุณนะพี่ปราบ” ผมกับมันสบตากัน พอมันยิ้มผมก็ยิ้มตาม ถ้ามันมีความสุข ผมจะไม่มีความสุขได้ยังไง ก็เป็นคนเคี่ยวเข็ญมากับมือ “ขอบคุณตัวมึงเองด้วย ถ้ามึงไม่เชื่อกู ไม่ยอมแพ้ วันนี้มึงก็คงทำข้อสอบไม่ได้หรอก” ถึงผมจะเป็นคนสั่งให้มันทำ แต่ถ้ามันไม่ทำจะมีอะไรดีหรือไง “นั่นสิ มันแบบโคตรน่าเหลือเชื่ออะ ไอ้กานบอกว่าผมโม้ด้วยเพราะผมบอกมันว่าทำข้อสอบได้ มันบอกด้วยนะถ้าคะแนนออกแล้วผมไม่ได้ตามที่พูดผมจะต้องพามันไปกินเหล้าแล้วหาหญิงให้มัน แต่ผมก็ท้ากลับไปว่าถ้าผมทำได้ มันต้องเลี้ยงข้าวผมหนึ่งเดือนเมื่อเปิดเทอม แต่ผมรู้ว่ายังไงผมก็ชนะแน่นอน” ผมว่าซ่าในวันนี้ ดูสดใสกว่าวันไหนๆ ที่เจอกัน “แวะกินไรก่อนแล้วกัน ยังทันใช่ไหม” “ได้อยู่ กินเย็นตาโฟไหมพี่ ผมมีเจ้าเด็ด” “เอาดิ” ผมขับไปตามทางที่ซ่าบอก ร้านเย็นก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟเจ้าเด็ดที่มันว่าอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมันมากนัก สามารถกินเสร็จแล้วเดินไปได้เลย ผมกับมันสั่งมาคนละชาม นั่งกินและคุยกันไปเรื่อยๆไม่มีอะไรมาก จนกระทั่งได้เวลางานผมก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน “กูไม่อยู่อาทิตย์หนึ่งนะ แต่มีอะไรก็ส่งข้อความมาคุยด้วยได้ตลอด ว่างแล้วกูจะตอบ” “ครับ ไว้ไม่มีอะไรทำผมจะทักไปกวนนะ” สอบวันนี้วันสุดท้ายหลังจากนี้ก็ปิดเทอม มันบอกว่าคงกลับไปช่วยงานที่บ้านและทำงานพิเศษ ไม่มีแพลนว่าจะไปเที่ยวไหน “ผมคงต้องไปเข้างานแล้วนะพี่ เหลืออีกกี่นาทีแล้ววะ” ซ่ายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู คิ้วของมันเริ่มขมวดเข้าหากัน ก่อนจะยกมืออีกข้างมาตบนาฬิกาตัวเอง ตุบๆ “ไอ้เหี้ย นาฬิกาตาย” ซ่ามันอุทานเสียงค่อนข้างดัง มันพยายามตบแล้วก็ถอดนาฬิกามาเขย่า แต่มันคงไม่ช่วยอะไร นาฬิกาที่พังแล้วให้ตายก็ไม่เดิน “ไหน เอามาดูดิ” ผมแย่งนาฬิกาในมือมันมาดู “พี่มันไม่เดินอะ ก็ว่าอยู่ ดูกี่รอบก็แม่งก็อยู่ที่เดิม” “ยี่ห้อไรวะ ทำไมกูไม่รู้จัก” ผมพลิกดูหน้าหลัง แต่ยี่ห้อที่มันใส่ผมไม่คุ้น “พี่ไม่เคยเห็นจริงอะ” ไอ้ซ่าทำหน้าตกใจประมาณว่ามึงไม่เคยเห็นจริงๆ เหรอ ให้ตายเถอะ สาบานได้ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นยี่ห้อนี่เลย “ก็เออดิ มึงซื้อที่ไหนมาละ จะได้เอาไปส่งซ่อม” “เหอะ รุ่นนี้ไม่ต้องส่งซ่อมหรอกพี่ สองร้อยบาทราคาตลาดนัด วางขายกันเกลื่อนกราดพี่ไม่เคยเห็นหรือไง บ้านพี่ก็ไม่ได้อยู่หลังเขานะได้ข่าว” “...” เออ กูผิดเองที่ไม่เคยเดินดูนาฬิกาตลาดนัด ได้ข่าวว่าเมื่อกี้มึงยังหงุดหงิดอยู่เลย ไหงเปลี่ยนมากวนตีนกูไวแบบนี้ล่ะน้องซ่า “เซ็งวะแม่ง ผมเพิ่งเปลี่ยนถ่านไปเมื่อไม่กี่วันนี่เอง คงไม่ได้เป็นที่ถ่าน ความจริงมันก็รวนมาหลายรอบแล้ว พี่ว่าผมลองเขวี้ยงลงพื้นดีไหม เผื่อมันจะกลับมาใช้ได้” “มึงตลกหรือไง” “อ้าว ก็เผื่อมันจะฟื้น พลอยเป็นคนซื้อให้ผมด้วย ผมว่าผมเอาไปให้ร้านซ่อมดูดีกว่า” พอได้รู้ว่านาฬิกาที่มันดูจะอยากให้กลับมาเดินหนักหนาเป็นของที่แฟนมันซื้อ ผมก็รู้สึกอยากยุให้มันทิ้งๆไปซะ ไม่ต้องไปเสียดายหรอก “จะไปได้หรือยังเดี๋ยวมึงก็เข้างานสาย” ผมเร่งเพราะซ่ายังคงเอาแต่ก้มๆแงะๆนาฬิกาที่ตายไปแล้ว ผมอยากบอกมันเหลือเกินว่าจะหมุนจะเคาะยังไงมันก็ไม่กลับมาใช้งานได้หรอก เพราะแบบนี้ไง ของบางอย่างซื้อมียี่ห้อหน่อยมันก็ดีกว่า ถ้าเงินไม่ถึงซื้อรุ่นที่ไม่แพงก็ได้ ที่ลดราคาก็มีเยอะแยะไม่ถึงกับต้องเอาให้แพงที่สุดหรอก เพราะของแบบนี้เราใช้มันอยู่ทุกวันและใช้ตลอดจนกว่าจะตายนั่นแหละ ผมให้ความสำคัญกับนาฬิกามากนะ “พี่ปราบตอนนี้กี่โมงแล้ว” มันถาม ชะโงกหน้ามาดูนาฬิกาที่ข้อมือผม ผมส่งให้มันดู “อีกสิบห้านาทีห้าโมง” “เชี่ย ผมเข้างานห้าโมงด้วย งั้นผมไปแล้วนะพี่” มันกระวีกระวาดหยิบกระเป๋าลุกจากโต๊ะ แต่ผมคว้าข้อมือมันไว้ก่อน มันหันมามองงงๆ แต่แววตาเร่งกลับมาว่าจะมีอะไรก็รีบพูดรีบทำ ห้ามทำมันเข้างานสายเด็ดขาด ผมเลยแกะนาฬิกาข้อมือตัวเองส่งให้มันไป “อะไร” มันถาม “นาฬิกาไง เอาของกูไปใช้ก่อนไป” “ไม่เอา เดี๋ยวผมดูเอาในร้านหรือขอคนอื่นดูเอาก็ได้” “ไม่ต้อง เอาของกูไปเนี่ยแหละ” ผมจับนาฬิกาคาดใส่ข้อมือมันให้แทนเลย มันจะชักมือกลับแต่ผมถลึงตาดุใส่ “ให้ผมทำไมเล่า ของพี่น่าจะแพงนะ” “อันนี้กูไม่ได้ให้ แค่ให้ยืม กูมีหลายเรือนไม่เดือดร้อน มึงก็ใช้ของกูไปก่อน” “เอางั้นเหรอพี่” “เออ” “ขอบคุณครับ ไว้ผมซื้อนาฬิกาใหม่จะเอามาคืน สวยวะพี่ แพงไหมเนี่ย” ซ่าก้มมองนาฬิกาบนจ้อมือมันด้วยดวงตาที่พราวระยับเหมือนชอบและถูกใจมาก ขาสองข้างเร่งซอยเท้าเดินไปข้างหน้า ผมก็เดินตามมันย้อนกลับไปเอารถ “ห้าหมื่น” ผมตอบ “ห๊า ห้าหมื่น เอาคืนไปเลย” ไอ้ซ่าร้องตกใจและทำท่าจะถอดนาฬิกาออกคืน แต่ผมจับมือมันเอาไว้ไม่ให้ถอดออก “ห้ามถอดนะ ถอดมึงโดน” “อะไรเล่า ผมไม่เอาหรอก เกิดทำเป็นรอยขึ้นมาผมไม่มีปัญญาซื้อใช้นะ” “เออ ก็รักษาดีๆดิ ทำได้ไหม” “มันยาก” พูดเสียงเบาทำปากขมุบขมิบ “ทำได้ไหมซ่า แค่ดูแลรักษาของกูดีๆ” ผมใช้น้ำเสียงจริงจัง มันลังเล แต่ก็พยักหน้า “ก็ได้ ผมจะพยายาม” “ดี ไปได้แล้ว” “ครับ ผมไปนะ” มันโบกมือลาแล้วก็รีบวิ่งไปทำงาน ผมยืนมองมันจนลับสายตาถึงได้ขับรถกลับบ้านไปเตรียมตัวลงใต้ในวันพรุ่งนี้เช้า กลับมาค่อยพามันไปซื้อนาฬิกาเรือนใหม่แล้วกัน ถ้ามันไม่ซื้อเองหรือมีใครซื้อให้มันตัดหน้าผมเสียก่อนนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม