[ปราบ]
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมแผดเสียงร้องเป็นครั้งที่สามขณะที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่ ผมเปิดน้ำล้างฟองสบู่ออกจากตัวลวกๆ เช็ดมือที่เปียกน้ำกับผ้าเช็ดมือแล้วหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอย่างเอาเป็นเอาตายบนเคาน์เตอร์ล้างหน้ามาดูชื่อคนโทรแล้วจึงกดรับสาย
“มีเรื่องอะไรว่ะ โทรถี่เหลือเกิน” ผมถามด้วยความข้องใจ ปกติมันไม่เคยโทรถี่ขนาดนี้
“มีคนใช้ให้กูโทร” ไอ้กี่ตอบกลับมาเสียงเนือย
“ใคร” ผมถาม หมดอารมณ์จะอาบน้ำต่อก็เลยเดินออกจากห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูมานั่งเช็ดผมอยู่ที่ปลายเตียง วันนี้ผมกลับมานอนที่คอนโดแทนที่จะเป็นบ้าน เพราะพรุ่งนี้หมายมาดเอาไว้ว่าจะลากเด็กซ่ามานอนที่นี่ด้วย แต่อย่าหวังว่าจะเกิดเหตุการณ์แสนหวานขึ้น ก็แค่คิดจะพาเด็กมาดัดสันดารเท่านั้น วันนี้มันทำผมปวดหัวมาก
“มึงไปรับใครที่วิทยาลัยมันอะ”
“อ่อ ไอ้หวายอยู่กับมึงหรือไง” ผมแสยะยิ้มเมื่อนึกถึงไอ้เด็กป่วนกับเพื่อนของตัวเอง
“เออ ตรงมาบ้านกูแล้วก็มาสั่งให้กูโทรถามมึงเรื่องเพื่อนมัน”
“เฮียอ่า ไปบอกพี่ปราบเขาทำไม” เสียงไอ้หวายดังแทรกเข้ามา
“มึงส่งโทรศัพท์ให้ไอ้หวายดิ” ผมสั่งไอ้กี่ คิดจะให้เพื่อนผมมาง้างปากผมเหรอ ฝันไปเถอะมึง
“ไม่เอา เฮียกี่คุยเซ่”
“มันจะคุยกับมึง”
“หวายไม่คุย”
“งั้นกูกดวางนะ”
“ไม่เอา เฮียกี่ถามเฮียปราบก่อนสิ”
“ก็มันไม่คุยกับกู มันจะคุยกับมึง”
“เฮียอ่า”
“งั้นกูวาง”
“อย่านะ คุยเองก็ได้”
ผมนั่งฟังมันสองคนเถียงอยู่นาน กะว่าถ้าตกลงกันไม่ได้สักทีผมเนี่ยแหละจะเป็นคนกดวางสายเอง ปล่อยพวกมันเถียงกันให้เสร็จแล้วค่อยโทรมาใหม่
“เฮียปราบ”
“ไงมึง วิ่งโร่ไปหาเพื่อนกูถึงบ้านทำไม บ้านตัวเองไม่มีให้กลับหรือไง” ผมเล่นงานมันก่อนเลย จุ้นจ้านเรื่องผมดีนัก มึงโดนกลับบ้านกูจะเล่นให้ร้องไห้
“ละ แล้วทำไมล่ะ ที่เฮียปราบยังไปหาเพื่อนผมได้เลย”
“กูแค่ไปหามันที่โรงเรียนนะ ไม่ได้ไปนอนบ้านมันเหมือนมึง”
อย่างผมน่ะไม่ไปนอนบ้านไอ้ซ่าหรอก ลากมันมานอนที่คอนโดกับผมง่ายกว่าเยอะ แต่อย่าไปบอกมันครับ เพราะผมจะเล่นงานไอ้หวายคนเดียว
“ไม่เหมือนกันเปล่าวะเฮียปราบ ผมกับพี่กี่รู้จักกันมานานแล้ว แต่เฮียกับไอ้พัชเพิ่งรู้จักกันนะ”
“แล้วไง เพิ่งรู้จักกันแล้วสนิทกัน ไปมาหาสู่กันไม่ได้เหรอ”
“ก็ได้” ทำไมตอบไม่เต็มเสียงล่ะไอ้ตัวป่วน
“เออ แล้วมึงมีปัญหาอะไร หวงเพื่อนเหรอ แล้วพามันมารู้จักพวกกูทำไม” ผมแกล้งหาเรื่องมันครับ น้ำเสียงผมคงฟังดูหงุดหงิด แต่ตอนนี้ผมนอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียงสบายใจมาก
“...” คราวนี้ไอ้หวายเงียบครับ
“ว่าไง เงียบทำไม”
“ไม่อยากรู้แล้วก็ได้ ชิ เอาคืนไปเลย” สู้ไม่ได้ก็ถอยหนี อ่อนฉิบหาย
“มึงแกล้งอะไรมัน” ไอ้กี่ถามผม
“เหอะ กระจอกเหอะไอ้หวายอะ ฝีปากแค่นี้ริอาจจะมาสู้กู”
“หึหึ มึงทำมันงอนเดินหน้างอออกจากห้องกูไปล่ะ”
“หาของกินยัดปากมันหน่อยเดี๋ยวก็อารมณ์ดีเหมือนเดิม” ผมเสนอแนะ ไอ้กี่ขำคงเพราะเห็นด้วย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะ” ผมพูดตัดสาย
“เดี๋ยวไอ้ปราบ” ไอ้กี่รั้งผมไว้ “ความจริงกูก็กะโทรถามมึงเพราะไอ้หวายอยากรู้ แต่ตอนนี้ก็อยากรู้เองแล้ววะ”
“รู้อะไร”
“มึงชอบไอ้พัชเหรอ”
“...”
“ไม่ตอบแบบนี้ กูเดาว่าใช่”
“เออ กูชอบ”
ผมกับเพื่อนไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะอยากพูดหรือเปล่าแค่นั้น ถ้าถามก็ตอบ ถ้าไม่ถามแล้วขี้เกียจบอกก็เก็บเงียบ
“อยากให้กูบอกไอ้หวายไหม นี่คือสิ่งที่มันอยากรู้ที่สุด”
“ยังไม่ต้องบอก กูจะเอาไว้แกล้งมัน”
“ตามใจ”
“แล้วมึงกับไอ้หวายล่ะ เป็นอะไรกัน” มันถามผมได้ ผมก็ถามมันได้ เรียกว่าต่างคนต่างเสือก ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ
“ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน” ไอ้กี่ตอบแบบเรียบง่าย
“มึงชอบมัน” ผมถามอีก
“ก็ป่วนประสาทดี”
“หึหึ ของชอบมึงเลยนิ”
“เออ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้ แม่งหิวแล้วก็ตะโกนเรียกกูเลยไอ้เด็กนี่” ตอนท้ายมันคงจะบ่นถึงไอ้หวาย
“เออๆ รีบไปให้ข้าวให้เด็กมึงเถอะก่อนที่มันจะอาละวาด”
“ไอ้สัด แค่นี้”ไอ้กี่กดวางสายไปแล้ว ผมหัวเราะทิ้งท้าย
เรื่องไอ้กี่กับไอ้หวายมีนอกมีใน ถึงจะเพิ่งรู้แต่ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ตกใจอะไรนัก ไอ้กี่น่ะได้ทั้งชายและหญิง ไม่แปลกถ้ามันจะคบกับไอ้หวายในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าไอ้หวายเก่งพอจะง้างปากไอ้กี่ให้บอกชอบหรือขอมันคบได้นะ
ส่วนผมตอนเด็กๆก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงน่ะ แต่พอโตมารู้ความรู้อะไรมากขึ้น ยิ่งพ่อกับป๊ามีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ คือพี่เค้กกับพี่ริช ผมก็เหมือนจะเคยชินกับความรักแบบนี้ไปซะแล้ว ไม่มีใครในครอบครัวบังคับหรือแนะนำให้ผมรักชอบผู้ชายด้วยกัน แต่มุมมองเรื่องความรักกับเพศมันเปิดกว้างมาตั้งแต่เด็ก ซึมซับจนไม่คิดว่านี่คือความผิดแปลกอะไร ดังนั้นผมก็เลยคบได้ทั้งหญิงและชาย แต่ที่ผ่านมาคบผู้ชายมากกว่า ส่วนผู้หญิงส่วนมากจะชอบมองมากกว่าที่จะอยากครอบครอง
ก่อนนอนผมส่งข้อความไปหาซ่าทางไลน์ ให้มันเก็บของมาห้องผมในวันพรุ่งนี้
MuePrab : ซ่า พรุ่งนี้สิบโมงเช้ากูจะไปรับมึงที่บ้าน
MuePrab : ส่งโลเคชั่นมาให้ด้วย
รออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ซ่าถึงจะตอบไลน์ผมกลับมา
Patcharakan : พี่ปราบเอาจริงเหรอ
MuePrab : เออ กูเอาจริง
เอาจริงเรื่องเรียนของมัน และผมจะ ‘เอา’ มันด้วย
Patcharakan : แต่ผมอยากกลับบ้านอะ
Patcharakan : ไม่ไปได้ไหม ผมจะอ่านหนังสือที่บ้านก็ได้
MuePrab : คิดว่ากูควรเชื่อมึงไหม
Patcharakan : โหย ผมไม่หลอกพี่หรอก
MuePrab :เสียใจ กูไม่เชื่อ
มันส่งสติกเกอร์รูปเด็กผู้ชายร้องไห้มาให้ แต่ผมไม่สงสารมันหรอก
สิบโมงตรงผมมาถึงบ้านแม่ของซ่าตามโลเคชันที่มันส่งมาให้ผมทางไลน์ ผมโทรออกไปหามัน ซ่ารับสายแล้วตอบรับว่ากำลังจะออกมา ผมคิดว่าควรเข้าไปทักทายแม่มันสักหน่อยก็เลยลงจากรถ
“จะออกไปไหนอีกล่ะฮะ! วันหยุดมึงไม่เคยอยู่ติดบ้านเลยนะซ่า กำลังสอบอยู่ก็เอาแต่เที่ยวเล่นแทนที่จะอ่านหนังสือ” เสียงแหลมของผู้หญิงดังเล็ดลอดตามไล่หลังซ่าที่กำลังเดินหน้ายุ่งออกมา พอเจอหน้าผมที่ยืนอยู่หน้าบ้านมันก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“อ่านไม่อ่านก็มีค่าเท่ากันแหละพี่แนน ผมไปแล้วนะ คืนนี้ไม่กลับ” แทนที่มันจะบอกกับแม่มันว่าจะไปอ่านหนังสือกับผม มันกลับตอบสิ่งที่ตรงกันข้าม คำพูดคำจาประชดประชันเป็นเด็ก แต่มันก็เด็กจริงๆนั่นแหละ
“อย่าบอกนะว่าจะอยู่กินเหล้ากับเพื่อนอีก มึงเหลวไหลกินไปแล้วนะซ่า”
ซ่าหยุดเดิน แล้วหันไปมองหน้าแม่มัน
“คืนนี้ไม่กินเหล้าหรอกน่า ไม่ต้องห่วง” พูดจบมันก็เดินผ่านหน้าผม ไม่ได้คิดจะแนะนำผมกับแม่มันให้รู้จัก ผมก็เลยทำได้แค่ยกมือไหว้แม่ไอ้ซ่าแล้วเอ่ยแนะนำตัวเบาๆ พร้อมบอกความจริงให้แม่มันรู้ด้วยความวันนี้ลูกชายเขาไม่ได้จะออกไปเกเรที่ไหน จะได้ไม่เข้าใจมันผิดๆ
“สวัสดีค่ะ คือผมเป็นรุ่นพี่จะพาซ่าไปติวหนังสือน่ะครับ คืนนี้ก็คงนอนที่คอนโดผมเลย”
“อ่อ อืม สวัสดี แล้วมันก็ไม่บอกว่าจะไปอ่านหนังสือ ชอบนักให้ด่าเนี่ย”
ผมว่าคงไม่มีใครชอบโดนด่าหรอก
“พี่ปราบ ไปได้ยังอะ” เด็กดื้อมันเลื่อนหน้าต่างรถลงแล้วตะโกนถามผม
“ผมไปก่อนนะครับ” ผมเอ่ยลาพร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง
“อืม ฝากมันด้วยแล้วกัน อย่าให้มันไปเกเรหรือเถลไถลที่ไหนให้คนอื่นต้องปวดหัว” ก่อนจะกลับเข้าไปในบ้าน แม่ของซ่ายังคงบ่นไม่หยุด ผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิมประมวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ด้วยความว่องไว และก็สรุปได้คร่าวๆ ว่า
ดูๆ ซ่าไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ใช้เหตุผลเป็นหลัก เจอไม่ถึงห้านาทีมีแต่อารมณ์มาเต็ม
คนในครอบครัวดูไม่ให้กำลังใจเท่าไหร่ อย่างน้อยถามไถ่ก็ยังดี แต่นี้คล้ายกับว่ากล่าวโทษก่อนเลย
และตัวของซ่าเองก็เหมือนจะไม่ใช่เด็กชอบอธิบายหรือแก้ตัว ใครคิดยังไงมันก็ปล่อยให้เขาคิดอย่างนั้น หนำซ้ำยังขยี้ให้ตัวเองดูแย่เข้าไปอีก
ผมเดินกลับไปประจำที่คนขับ หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของซ่า มันนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร อย่างรู้จริงๆ ว่าข้างในจะเฉยชาเหมือนที่แสดงออกมาหรือเปล่า
ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยหรือถามอะไร ผมเลือกที่จะขับรถออกจากหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์แห่งนี้ก่อน ทิ้งเวลาสักระยะรอจนกระทั่งเด็กบนรถรู้สึกสบายใจขึ้น
“กินข้าวเช้าหรือยัง” ผมถาม
“ยัง เมื่อเช้าผมตื่นสาย”
“นอนดึกหรือไง”
“อืม ทะเลาะกับพลอย”
ก็ไม่น่าแปลกใจ
“แล้วว่าไงบ้าง”
“ก็ไม่ไง พลอยมันไม่ยอมรับบอกไม่ใช่มัน แต่พี่เข้าใจป่ะว่าผมคบกับมันมาสี่ปีจะเข้าปีที่ห้าแล้ว คิดว่าผมจำหน้าแฟนตัวเองไม่ได้หรือไง แม่ง คิดแล้วโมโห” อารมณ์มันมาเต็มครับ แต่สักพักก็เหมือนจะดีขึ้น
อย่าไปคิดอะไรมาก คนจะอยู่มันก็อยู่ คนจะไปมันก็ไป มึงต้องเข้าใจจุดนี้ แต่กูอยากแนะนำอย่างหนึ่งนะ วันใดที่จับได้คาตาว่าแฟนมึงนอกใจ กูอยากให้มึงเอาความรักที่ให้เขาไปกลับมารักตัวเอง” ขอเพียงมันรู้จักรักตัวเอง ผมเชื่อว่าซ่าจะเป็นเด็กดีกว่าที่เป็นอยู่
“ถ้าผมเจอแบบนั้นน่ะ แตกหักกันไปข้างอะพี่ ไปปล่อยไว้ทำแม่หรอกพูดเลย”
“หึหึ ซ่าเหลือเกินนะมึงน่ะ” ผมยื่นมือไปผลักหัวมันเพราะหมันไส้ในคำพูดคำจาและสีหน้าที่แสนจะเอาจริงเอาจังว่ามันจะทำอย่างที่พูดจริงๆ สมชื่อสุดๆ
ผมพาซ่าไปหาข้าวกินง่ายๆ และแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของกินเล่นไปติดไว้ในห้องด้วย เพราะเชื่อว่ากระเพาะควายอย่างไอ้ซ่า ของกินในห้องผมตอนนี้คงไม่พอให้มันกิน
มาถึงห้อง ผมก็ให้ซ่าเอาข้าวของมันไปเก็บ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมาก หนังสือเสื้อผ้าของใช้เล็กน้อยถูกยัดลงในกระเป๋าเป้ใบเก่าที่ดูก็รู้ว่ามันคงใช้งานมานาน
“เอาหนังสือวิชาที่มึงต้องสอบออกมานั่งอ่านที่โซฟา กูจะเฝ้ามึงอ่านหนังสือทั้งวันเลยวันนี้”
“เอาเลยเหรอพี่”
“เออสิ มึงจะรออะไรล่ะ” ผมย้อนถาม
“ขอพักแป๊บดิ”
“มึงทำอะไรมาเหนื่อยหรือไงถึงต้องพัก หยิบหนังสือออกมา”
มันทำหน้าเซ็ง แต่ก็ยอมเดินกลับเข้าห้องนอนของผมไปหยิบหนังสือออกมาสองเล่ม กลศาสตร์เครื่องยนต์กับงานไฟฟ้ารถยนต์
“มึงเคยบอกว่าอยากทำงานเกี่ยวกับรถ” ผมพูดเมื่อเห็นหนังสือเรียนของมัน
“ใช่พี่ ผมรถมาก ยิ่งได้ขับรถซิ่งๆนี่ยิ่งชอบเลย”
“มันคนละอย่างกันหรือเปล่ามึง”
“ฮ่าๆๆ ผมถือว่าอย่างเดียวกัน” มันหัวเราะเสียงใสก่อนจะแบมือขอหนังสือกลับไปเปิดอ่าน ผมหยิบนิยายสอบสวนที่อ่านค้างไว้มานั่งอ่านเป็นเพื่อนมัน
แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ เด็กข้างตัวผมมันเริ่มหยุกหยิก อยู่ไม่เป็นสุข เดี๋ยวถอนหายใจเดี๋ยวหมอบ สักพักก็หยิบมือถือออกมากดเล่น
“ทำอะไร กูบอกให้อ่านหนังสือไม่ใช่เหรอ” ผมลดหนังสือในมือตัวเองลงแล้วหันไปถามเด็กข้างตัวเสียงดุ
“ง่วงอะพี่ อ่านแล้วจะหลับ”
“กาแฟไหม ในครัวมีไปชงเอา”
“ไม่เอาอะ ผมไม่กินกาแฟ”
ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่อยากให้มันหาขออ้างนู่นนี่มาปฏิเสธการอ่านหนังสือ
“ไหนมึงบอกว่าชอบไงไอ้เครื่องยนต์นี่”
“ก็ชอบอะ แต่อ่านหนังสือมันน่าเบื่อ”
“ถ้าอ่านในสิ่งที่ชอบแล้วเบื่อ ก็แสดงว่ามึงไม่ได้ชอบจริงๆ”
“ก็...” มันพูดอะไรไม่ออก แต่ผมเข้าใจนะ เวลาอ่านหนังสือสอบอะมันชวนง่วงแค่ไหนต่อให้เป็นสิ่งที่ชอบ พอมีทฤษฎีและตัวหนังสือเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็ดูน่าเบื่อได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราต้องพยายามที่จะรับมันเข้าไปแม้ว่ามันจะน่าเบื่อขนาดไหน ตอนผมเรียนผมสอบ บอกเลยวันๆหนึ่งกาแฟไม่ต่ำกว่าสามแก้ว ครอบครัวผมมีกิจการหลายอย่างและผมต้องเรียนรู้ทุกอย่างเพราะพวกเขามีผมเป็นลูกแค่คนเดียว แล้วกิจการเหล่านั้นจะเป็นของใครถ้าไม่ใช่ของผม ผมเรียนปริญญาตรีสองใบพร้อมกัน เรียนวิศวะของมหาลัยรัฐชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศใบและเรียนบริหารของรามฯอีกใบ ก่อนจะต่อปริญญาโทพร้อมกับทำงานไปด้วย ลากเลือดพ่อตัว
“ถ้ามึงไม่พยายามอ่านมัน คะแนนสอบมึงก็จะไม่ดี ในตลาดของการรับสมัครงานเขาไม่เอาหรอกนะคนไม่เอาถ่านอย่างมึงน่ะ มีเด็กที่เรียนดีมีอนาคตไกลอีกมากมายที่ใช้งานได้ เด็กที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดีๆ ก็เยอะแยะคิดว่าเขาจะรับมึงเข้าทำงานไหม ถ้ามึงเป็นเจ้าของบริษัทอะจะรับไหมเด็กแบบนี้” ผมพูดให้มันคิดถึงความเป็นจริงของสังคมการทำงานที่แท้จริง
ผมอาจโชคดีนะ วาสนาดีก็ว่าได้ เพราะคนที่เลี้ยงผมไม่ใช่คนไม่มีฐานะทางสังคมหรือฐานะทางการเงิน ผมไม่จำเป็นต้องเร่ไปสมัครงานเพราะมีงานที่บ้านรองรับ แต่ก่อนที่ผมจะกลับมาทำงานของที่บ้าน ป๊ากับพ่อเห็นดีด้วยที่จะยื่นคำขาดให้ผมไปหางานทำที่อื่น ไม่มีหรอกครับที่เรียนจบปุบจะให้ทำงานที่บ้านน่ะ ป๊าครามน่ะเขี้ยวยิ่งกว่าอะไร บอกว่าผมต้องไปลองสมัครงานดู ถ้าผมสามารถทำให้เขาเห็นได้ว่าผมมีดีพอที่คนอื่นจะอยากได้ผมไปทำงานด้วย และผมสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นและองค์กรอื่นๆ ได้ เมื่อนั้นเขาถึงจะยอมรับในตัวผม
“คงไม่อะพี่ เอาไปทำไมวะ” ไอ้ซ่าตอบ ก็ยังดีที่ยังคิดได้ หน้ามันแหยะพอควรเมื่อคิดถึงว่าแม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่อยากได้คนแบบมันเข้าทำงาน
“วันนี้อ่านให้จบเนื้อหาที่มึงต้องสอบ มีทั้งหมดกี่บท” ผมถาม
“สามครับ”
“กูให้เวลาสองชั่วโมงบทหนึ่ง อ่านแล้วจดโน้ตย่อว่าอันไหนที่มึงคิดว่าสำคัญ คิดว่าถ้ามึงเป็นคนออกข้อสอบ มึงจะออกตรงไหนดี ทำเสร็จบทหนึ่งกูจะให้พัก โอเคไหม” ผมหาทางออกให้มัน ต้องเริ่มสอนกันใหม่ตั้งแต่จุดเริ่มต้นว่าควรอ่านหนังสือยังไง เพราะเดาว่ามันคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
“ครับ” ซ่ารับคำเสียงเบา เหมือนไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้
ผมวางมือลงบนไหล่ของมันเป็นการให้กำลังใจ ซ่าช้อนตาขึ้นมองผมเพราะมันนั่งต่ำกว่าผม “มึงทำได้ ไม่ยากหรอก เชื่อกู”
“ผม...จะลองดู” เวลามันทำหน้าสงบเสงี่ยมนี่มันน่ารักแปลกตาดี
“พยายามเข้า ถ้ามึงได้คะแนนเกิดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์กูจะให้มึงขับลูกรักของกู เอาไหม”
ซ่าตาโตทันที แวววาวดูเป็นประกาย แบบนี้สิดีกว่าสายตาที่แสดงออกว่าหงุดหงิดหรือเศร้าหมองตั้งเยอะ
“พี่ปราบพูดจริงเหรอ” มันขยับขึ้นมานั่งบนโซฟา จับแขนผมเขย่าและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เข้ามาแนบชิดแบบนี้ คิดถึงใจคนคิดไม่ซื่อแบบกูบ้างไหมเนี่ยไอ้เด็กแสบ
“เออ ทำให้ได้แล้วกัน ลูกรักกูจะจอดรอให้มึงมาขับมันออกไปโลดแล่นบนถนน”
“พูดแล้วอย่าคืนคำน่ะพี่”
“มึงก็เหมือนกัน อย่าทำให้ผิดหวัง”
“วางใจได้เลยพี่ปราบ คนอย่างซ่า ถ้าคิดจะทำ ทำได้แน่นอน”
“กูจะรอดู”
วันนี้ทั้งวันซ่าดูทุ่มเทกับการอ่านหนังสืออย่างไม่น่าเชื่อ ผมยึดโทรศัพท์มันไว้ มีปล่อยให้ใช้เมื่อถึงเวลาพักของมัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ใช้อะไรนอกจากทักคุยกับพวกเพื่อนมันและคุยโทรศัพท์กับแฟน
กระทั่งถึงเวลานอน ซ่าอาบน้ำทีหลังผม จัดการตัวเองเสร็จมันก็มาล้มตัวนอนลงข้างๆ ผมปิดไฟบนเพดานห้อง เปิดไว้แต่โคมไฟหัวเตียงเท่านั้น
“วันนี้ไม่มีอะไรอยากถามกูเหรอ”
ผมให้ซ่าถามผมทุกวัน วันละคำถามเพราะมันเป็นคนที่บอกว่าอยากรู้จักผมให้มากขึ้น แต่เมื่อวานเห็นมันเครียดผมกับมันเลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก
“อืม ถามอะไรดีอะ” มันหันมาถามผม หน้าตามันง่วงเต็มแก่
“แล้วอะไรที่มึงอยากรู้อีกอะ”
มันคิดอยู่เกือบห้านาที ผมคิดว่ามันหลับไปแล้ว แต่พอหันไปมองก็เห็นมันนอนจ้องเพดานนิ่งๆ
“ครอบครัวพี่เป็นยังไงเหรอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ คิดว่าครอบครัวพี่ต้องอบอุ่นมากแน่ๆ”
“ครอบครับกูเหรอ ไม่เหมือนครอบครัวปกติทั่วไปหรอก แต่มึงคิดถูกอยู่อย่าง ครอบครัวกูอบอุ่นมากๆ”
“เล่าหน่อยสิ ผมอยากฟัง” ซ่าพลิกตัวนอนตะแคงหันเข้าหาผม ดวงตากลมปรือปรอยเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวพยายามฝืนเอาไว้ไม่ให้มันปิด
“กูไม่มีพ่อมีแม่ที่แท้จริง ครอบครัวที่กูอยู่ด้วยตอนนี้เขาเอากูมาเลี้ยงตั้งแต่กูเด็กๆเกิดได้ไม่กี่วัน” ผมเริ่มเล่า ซ่านอนมองผมตาใส ดูมันค่อนข้างให้ความสนใจกับสิ่งที่ผมเล่า
“พ่อแม่ใหม่ดีกับพี่ไหม” มันถาม คงจะเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเองแหละมั้ง
“ทุกคนดีกับกู แต่กูไม่มีแม่ใหม่หรอกนะ”
“อ้าว” ซ่าทำหน้าฉงน ผมตะแคงไปหามันบ้าง
“กูมีพ่อสองคน มีป๊าครามกับพ่อทราฟ พวกเขาสองคนมีคนรักเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ เพราะพ่อกูทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาก พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเด็กกัน กูมีพ่อสองคนและกูมีพี่ชายอีกสองคนนั่นก็คือพี่เค้กกับพี่ริช คนรักทั้งสองคนพ่อกู”
ระหว่างเล่าผมก็ลอบสังเกตอาการของซ่าด้วยว่ามันจะตกใจหรือรับได้ไหมที่ครอบครัวผมเป็นเกย์ แต่ดูมันจะไม่ได้ตกใจอะไร พอมันไม่ได้แสดงอาการไม่ใช่หรือมีข้อสงสัยจะถามอะไรผมก็เล่าต่อ
“พวกเขาเลี้ยงดูกูมาให้ความรักความอบอุ่น ให้ที่อยู่ที่อาศัย ให้ความรู้ กูรักพวกเขามากจนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการพ่อที่แท้จริง ตอนเด็กๆกูเรียกพี่ริชว่าม๊าและเรียกพี่เค้กว่าแม่ด้วยนะ แต่พอโตมากก็รู้ว่าเรียกแบบนั้นไม่ได้ เลยเลิกเรียก”
“พี่ตกใจไหมเมื่อรู้ว่าพ่อสองคนของตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชาย” ซ่าถาม ผมยิ้มบางให้มัน
“แล้วมึงตกใจไหมเมื่อได้ฟัง”
“หึ ไม่” ซ่าส่ายหน้า ผมดีใจนะ เท่ากับว่ามันไม่ได้รังเกียจความรักรูปแบบนี้ แบบนี้เท่ากับผมยังมีหวัง แม้ว่ามันจะเป็นผู้ชายแท้ๆที่รักชอบผู้หญิง แต่ผมก็มั่นใจว่าผมสามารถทำให้มันชอบผมได้ในวันหนึ่ง แต่ต้องหลังจากที่มันเลิกกับแฟนมันน่ะนะ
“กูไม่ตกใจหรอก แต่งงมากกว่า เพราะตอนเด็กๆกูไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีแม่ แต่คนในครอบครัวไม่ได้ปกปิดว่ากูไม่ใช่ลูกเขา เขาเล่าความจริงทุกอย่างเมื่อกูโตพอรู้ความ ตอนนั้นถึงได้เข้าใจว่าทำไมไม่มีแม่ และตอนเด็กๆป๊ากูก็แกล้งให้กูเรียกพี่ริชว่าม๊า ให้เรียกพี่เค้กว่าแม่ กูค่อยๆซึมซับจนชินและเข้าใจว่าความรักของพ่อๆกูไม่ผิด เพราะเขาเผื่อแผ่ความรักนั้นมาให้กูด้วย”
“ดีจัง”
“แล้วครอบครัวมึงล่ะ” ผมถามกลับบ้าง มันถามผมแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะถามกลับบ้าง แต่ซ่ากับเงียบ หน้าเริ่มเครียด ริมฝีปากเม้มแน่น
“ครอบครัวผม ไม่อบอุ่นเหมือนพี่หรอก”
“แล้วไง มันไม่มีช่วงเวลาดีๆเลยเหรอ” มันต้องมีบ้างแหละ ผมไม่มีว่าตั้งแต่เกินจนโตว่าจะไม่มีความทรงจำดีๆกับครอบครัวเลย
“มีมั้ง ไม่รู้สิ ผมจำไม่ได้”
“มึงรักพวกเขาไหม”
ซ่าเงียบอีกแล้ว ผมรู้อีกอย่างก็คือ ถ้ามันโมโหมันจะระบายออกอย่างรุนแรงเหมือนที่มันทะเลาะกับแฟนมัน แต่ถ้ามันเสียใจหรือรู้สึกเศร้า เกิดความอึดอัดในจิตใจมันจะเงียบ และเรื่องของครอบครัวมันเป็นเรื่องที่มันชอบเงียบ
“หรือมึงไม่รักตายายกับแม่” พอผมพูดเหมือนใส่ร้ายมันก็ส่ายหน้า
“เปล่า ผมรักสิ แต่...เขาอาจไม่รักผมเท่าไหร่”
“รู้ได้ไงว่าเขาไม่รัก ไม่รักจะเลี้ยงมาขนาดนี้เหรอ”
“เลี้ยงเพราะทิ้งไม่ได้ต่างหาก” ซ่าพูดแทรกต่อทันที ผมตกใจเล็กน้อยที่มันคิดแบบนั้น
“ทำไมคิดแบบนี้” ผมซักต่อ และคิดว่ามันจะทำไหม เม้มปากแน่นเชียวล่ะ “ว่าไง มึงรู้ได้ไงว่าเขาไม่อยากเลี้ยงมึง มึงถามกูตอบ พอกูถามมึงตองตอบนะซ่า”
“ผมจะรู้ได้ไง ถ้าเขาไม่พูด” เสียงตอบกลับมาแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“เพราะเกเรหรือเปล่า เขาเลยเบื่อจะเลี้ยงมึงน่ะ มึงแสบน้อยที่ไหน” ผมพยายามดึงสถานการณ์ให้มันดีขึ้น แต่ค่อนข้างติดใจมากว่าทำไมซ่าถึงบอกว่าพวกเขาพูดว่าไม่อยากเลี้ยงมัน
“คงงั้นมั้ง” ซ่าเองก็คงพยายามที่จะดึงตัวเองออกมาจากความเศร้า มันเริ่มปั้นหน้าปกติและยักคิ้วใส่ผม นั่นยิ่งทำให้ผมเอ็นดูและสงสารมันมากขึ้น
“ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาน่ะมึงน่ะ” ผมว่าขำๆแต่ยกมือลูบหัวมันเบาๆ
ที่เป็นแบบนี้เพราะเรียกร้องความสนใจสินะ
ไอ้เด็กขาดความอบอุ่นเอ้ย
ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ ต่างคนต่างนอนเงียบๆกระทั่งมันค่อยๆเคลิ้มหลับ ผมนอนจ้องมันไปเรื่อยๆ จนคิดว่ามันหลับไปแล้วแต่อยู่ๆมันก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมา
“ผมอิจฉาพี่ ถ้ามีคนรักผมเหมือนพี่ก็คงดี”
เด็กคนนี้โหยหาความรักที่สัมผัสและจับต้องได้ ความรักที่ซับซ้อนแบบที่ผู้ใหญ่แสดงออกคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ซ่าจะทำความเข้าใจ
“อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นไหมล่ะ”
“...” หลับแล้วเหรอวะ
“ว่าไง อยากมีไหม” ผมถามอีก
“อืม” ไม่รู้ว่าแค่ครางในลำคอหรือตอบตกลง แต่ขอเหมาว่ามันตกลงแล้วกัน
ซ่าหลับไปแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ มีเสียงกรนฟี้เบาๆให้ได้ยิน ผมดึงมันเข้ามากอดเบาๆ ถ่ายทอดความร้อนในร่างกายช่วยมันให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น
“หันมามองกูสิ แล้วกูจะหาครอบครัวที่อบอุ่นมาให้”
MuePrab : ต้องให้กูโทรไปขออนุญาตบ้านมึงให้ไหม
Patcharakan : ไม่ต้องครับไม่ต้อง
MuePrab : สิบโมงนะซ่า พรุ่งนี้เจอกัน
Patcharakan : คร้าบผม
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจส่งท้ายสำหรับวันนี้ “เด็กอย่างมึงมันมีดีตรงไหนวะ ทำไมกูถึงรู้สึกถูกตาถูกใจด้วย