“ผมอยากให้สองคนนี้สร้างครอบครัวกันเองโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องช่วยเหลือ คุณสองคนเห็นด้วยไหมครับ” พ่อขุนหันไปถามความเห็นจากพ่อแม่ของภูมิ สองคนนั้นมองหน้ากันแล้วลงความเห็นว่าแบบนั้นดีทีเดียว เพียงแต่ห่วงว่าลูกชายจะพาลูกสาวเขามาลำบากหรือเปล่า แต่พอคิดอีกที…ถ้ารักกันจริงก็ต้องฝ่าฝันกันไปได้ นอกเสียจากว่าทั้งคู่ไม่ได้รักกันจริง
“แล้วเรือนหอ…” เขตเอ่ยขึ้นมา ใจจริงเขาอยากให้ขวัญและภูมิมาอยู่ด้วยกันที่นี่ จะได้เนียน ๆ ให้ทำงานที่ร้านทองไม่ต้องลำบากลำบนอะไรนัก
“หาไม่ทันแน่เลย ให้มาอยู่ที่บ้านเราดีไหม” ขิมรีบพูดต่อ สองพี่น้องได้ปรึกษากันมาก่อนแล้ว ทั้งสองอยากให้น้องคนเล็กกลับมาอยู่ด้วยกัน
“ไม่ดี ให้น้องไปใช้ชีวิตคู่กันเอง” พ่อขุนค้านเสียงเข้มแถมยังทำหน้าดุใส่
เขตและขิมมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นทั้งที่สามีของขิมและภรรยาของเขตก็มาอยู่ที่บ้านนี้ด้วยกัน ไม่ต้องไปใช้ชีวิตคู่ข้างนอกอย่างที่พ่อต้องการให้ขวัญทำเสียหน่อย
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเรือนหอ ผมมีบ้านที่ซื้อไว้อีกหลัง เหลือแค่ตกแต่งก็ไม่น่าเกินเดือน” พ่อพลเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม เรื่องเรือนหอตัดปัญหาทิ้งไปได้เลย บ้านหลังนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของตนสักเท่าไหร่ ขนาดบ้านก็กำลังพอดีกับการสร้างครอบครัว
“บ้านที่ไหน” แม่พรกระซิบถาม เธอไม่เห็นรู้เรื่องว่าอดีตสามีไปซื้อเอาไว้
“หมู่บ้านD ใกล้ ๆ บ้าน ตอนแรกจะซื้อไว้ให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องไปอยู่บ้านเพื่อน”
“ให้ฉันหรือพริตตี้”
“นี่เราอยู่บ้านสะใภ้นะ อย่าชวนทะเลาะ” แม้อดีตภรรยาจะพูดเสียงเบา แต่ก็เกรงว่าเถียงกันไปมาจะกลายเป็นเสียงดังจนต้องอายอีกครอบครัว
เรื่องเรือนหอเลยไม่เป็นปัญหา การตกแต่งเดี๋ยวพ่อของภูมิก็จัดการให้เอง ตอนนี้ก็เหลือแค่การจัดงานแต่งว่าจะออกมาในรูปแบบไหน
“อยากจัดงานใหญ่ ๆ หรือไง” ภูมิถามขึ้นมาเมื่อมีโอกาสได้อยู่สองต่อสอง ขณะที่ผู้ใหญ่กำลังเขียนรายชื่อแขกที่จะเชิญมางาน
“อืม อยากมีงานเลี้ยงสวย ๆ แต่งหน้าแต่งตัวสวยเหมือนเจ้าหญิง” ขวัญยิ้มขณะที่นึกภาพงานแต่งในฝัน พลางพูดออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าอีกคนกำลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจ
“เราแต่งงานกันเพื่อตบตานะขวัญ” รู้อยู่แก่ใจว่าการแต่งงานมันไม่ได้เกิดจากความรักแบบคนรัก เขาเลยไม่อยากแต่งงานใหญ่โตหากแยกทางกันขวัญจะได้ไม่เป็นเรื่องซุบซิบของคนอื่น
“อืม” ขวัญตอบสั้น ๆ เอาสมาร์ตโฟนออกมากดหาข้อมูลการเตรียมงานแต่ง แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี เลยต่อสายหาแมนชั่นให้ช่วยแนะนำ รายนั้นทำงานสายออแกไนซ์อยู่แล้ว
“(ว่าไงชะนี หายหัวไปไหนตั้งหลายวัน)” ปลายสายกรอกเสียงเข้ามา แต่ไม่ได้มีแค่เสียงแมนชั่น มีเสียงฝ้ายดังไกล ๆ อีกด้วย “(ขวัญโทรมาเหรอ)”
“(เออ…เปิดสปีกเกอร์นะ กูอยู่กับฝ้ายพอดี)” แมนชั่นตอบฝ้ายและบอกให้ขวัญรับรู้
“จะแต่งงานต้องทำไงบ้างวะ”
“(ฮะ!!! แต่งงาน!!!)” ทั้งสองประสานเสียงด้วยความตกใจ ขวัญหายไปสี่ห้าวันโผล่มาทีบอกจะแต่งงาน มันไปหาผัวมาจากไหนทำไมได้ไวขนาดนี้
“เออแต่งงาน กูจะแต่งเดือนหน้า จัดงานไม่ถูกเลยมึง ต้องทำอะไรบ้าง”
“(มึงท้องเหรอ)” ฝ้ายถามไม่เต็มเสียงนัก เพราะคิดว่าไม่น่าใช่ ก่อนหน้านี้มันยังบอกกีแห้ง แค่ห้าวันมันจะปั๊มลูกและตรวจรู้เลยเหรอ
“(กีมึงได้ใช้งานแล้วเหรอขวัญ)” แมนชั่นถามต่อ
“ไม่ได้ท้อง กียังแห้งเหมือนเดิม มึงสนใจเรื่องงานแต่งกูก่อนเหอะ” ขวัญปรายตามองไปทางภูมิ เขาอุดปากกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ แค่บอกว่ากีแห้งนี่ขำตรงไหน อย่ามาหัวเราะเยาะกัน!
“(มึงตั้งงบก่อนเลยอันดับแรก แล้วค่อยว่ากัน กูเนรมิตให้มึงได้หมด)” แมนชั่นตอบ อะไรก็ไม่สำคัญเท่างบที่ใช้ในการจัดงาน
“มึงว่างป้ะ ไว้นัดกัน”
“(ได้! พรุ่งนี้ค่ำ ๆ เจอกันที่เดอะแซด)”
หลังจากที่วางสายไปขวัญก็หันมามองหน้าภูมิเพื่อจะถามถึงเรื่องงบการจัดงาน ซึ่งภูมิเองก็เปิดแอปพลิเคชันธนาคารไว้รอแล้ว เขาหันหน้าจอสมาร์ตโฟนมาให้ขวัญดู มีอยู่สามแสนกว่าเกือบสี่แสน
“พอไหม เพิ่งจะแต่งรถไปเลยมีแค่นี้”
“พอมั้ง แต่จะใช้กันหมดบัญชีก็คงไม่ใช่” ขวัญตอบเสียงเรียบ เธอเองก็พอมีเงินในบัญชีอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากให้เงินหมด สงสัยงานแต่งงานสวย ๆ หรู ๆ อย่างที่วาดฝันไว้คงต้องพับลงไป
“เอาไง?”
“งั้นจัดงานเล็ก ๆ ก็ได้” จัดเลี้ยงเล็ก ๆ ที่บ้านอย่างที่ภูมิบอกก็แล้วกัน
ทั้งสองพากันเข้ามาหาพ่อแม่ เมื่อดูรายชื่อแขกที่พ่อแม่ว่าสนิทที่สุดแล้วต้องเบิกตาโพลง แค่แขกของทั้งสองฝ่ายรวมกันก็สองร้อยกว่ารายแล้ว บ้านของเธอไม่มีเนื้อที่พอที่จะรองรับแขกได้ขนาดนั้น จะให้แบ่งกันกินเลี้ยง กินที่บ้านภูมิบ้าง บ้านเธอบ้างก็ตลกตายเลย
“แกล้งปะเนี่ย” ภูมิเลิกคิ้วถามพ่อ
“ไม่ได้แกล้ง จะแกล้งเพื่อ?”
“ก็ดูรายชื่อดิ พ่อไม่เชิญยามที่หมู่บ้านมาด้วยเลยล่ะ” จากรายชื่อที่เขียนมาไม่ใช่ที่สนิทที่สุดสักหน่อย คิดว่าเขาไม่รู้เหรอ
“ฮ่า ๆ พวกเราไม่ได้แกล้ง ก็คนเหล่านี้เป็นคนรู้จักมักจี่พอควร งานเขาเราก็ไปพอถึงงานเราจะไม่เชิญเขาได้ไงล่ะ” พ่อขุนเป็นฝ่ายตอบ เขาตอบด้วยเสียงหนักแน่นไม่ดูมีพิรุธ ทั้งที่จริงก็คือแกล้งนั่นแหละ
เมื่อตอนที่สองครอบครัวได้คุยกันโดยที่ไม่มีลูก ๆ อยู่ พวกเขามีความเห็นที่ตรงกันว่าสองคนนี้ไม่ใช่คู่รักแน่นอน คิดจะหลอกพ่อแม่ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้
“และงานน่ะอย่าให้เล็กจนดูไม่ดีล่ะ งานพวกเขามีแต่อลังการทั้งนั้น” พ่อพลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะกระตุกยิ้มแล้วเสนอทางเลือกให้ลูก “แต่ถ้าไม่อยากจัดงาน ไม่อยากวุ่นวาย ก็บอกความจริงมา”
“นี่แหละความจริง เดี๋ยวผมจัดงานให้สวยสมใจเลย”
“งั้นก็สู้ ๆ นะลูก” แม่พรยิ้มให้ลูกชาย แต่รอยยิ้มของแม่ร้ายกาจเหลือเกิน