วันโลกาวินาศ
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เป็นสักขีพยานในวันโลกาวินาศอย่างที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ในทีแรกผมไม่ทันรู้สึกถึงความผิดปกติเลยด้วยซ้ำ มันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งที่ต้องตื่นมาเตรียมของและเข็นรถขายน้ำเต้าหู้ออกมายังจุดที่เช่าไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จากนั่นก็นั่งๆ ยืนๆ รอลูกค้าที่หากโชคดีก็คงมีมาสักคนหนึ่ง ทั้งหมดมันเป็นเพราะสถานการณ์โรคระบาดที่เพิ่งซาไปได้ไม่นานทำให้มีลูกค้าน้อยมากจนผมแทบจะหลับคาหม้อน้ำเต้าหู้ คงจะมีก็แต่คุณตาเจ้าของหอพัก A086 ที่มาสั่งเต้าฮวยน้ำขิงเหมือนทุกวันเท่านั้น
ตอนที่ผมกำลังชั่งใจว่าจะรบเร้าพี่อรุณพนักงานรักษาความปลอดภัยของคอนโดฝั่งตรงข้ามให้อุดหนุนเต้าฮวยน้ำขิงไปรองท้องสักถ้วย หรือจะถอดใจกลับบ้านไปทำเต้าหู้ขายออนไลน์เหมือนหลายเดือนที่ผ่านมาดี ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากทางถนนใหญ่ พอหันมองไปก็พบว่าฝูงสุนัขเจ้าถิ่นกำลังวิ่งหน้าตั้งราวกับหนีอะไรมา
‘แปลก เจ้าพวกนี้เคยกลัวอะไรด้วยเหรอ?’ ขณะที่ผมกำลังนึกสงสัยพฤติกรรมของกลุ่มเจ้าด่างอยู่นั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งตามมาด้วย แต่สีหน้าของพวกเขาไม่ได้ดูโกรธแค้นพวกสุนัข ตรงกันข้ามพวกเขาดูจะกำลังหวาดกลัวและตื่นตระหนกกันอยู่ด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่บนโลกก็โผล่ออกมาจากมุมตึกพร้อมกับเสียงคำรามลั่นทำเอาหูอื้อไปหมด
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาชวนให้นึกว่าฝันไป แต่แก้วหูที่เจ็บแปลบ เสียงกริ่งในหัว และแรงสะเทือนจากพื้นดินก็ตอกย้ำว่ามันไม่ใช่ความฝัน ตรงหน้าผมมีสัตว์ประหลาดอยู่จริงๆ
ใช่ มันควรเรียกว่าสัตว์ประหลาด ถึงแม้ว่ามันจะมีรูปร่างเหมือนเจ้าด้วนรองจ่าฝูงของกลุ่มเจ้าด่างก็ตาม เพราะคงไม่มีสุนัขที่ไหนบนโลกนี้ตัวสูงเท่ารถเก๋งแบบนี้แน่
ผมตะลึงกับสุนัขตัวโตได้ไม่ถึงอึดใจ ฝนสีรุ้งก็เทลงมาจากฟ้า ใช่ มันเป็นฝนที่สะท้อนประกายเจ็ดสีออกมาราวกับเพชร ทั้งยังเป็นฝนที่อุ่นเหมือนกับน้ำพุร้อนเสียด้วย แต่ถึงแม้ว่าฝนประหลาดนี้จะน่าสนใจแค่ไหนผมก็ไม่มีเวลาใส่ใจกับมันมากนักเพราะฝูงเจ้าด่างส่งเสียงหอนเรียกความสนใจไปเสียก่อน
ฝูงสุนัขแสดงท่าทางคล้ายทรมานอย่างมาก บางตัวล้มลงไปนอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้น แต่บางตัวก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเหมือนเจ้าด้วยที่กำลังแหงนหน้าหอนเสียงดัง
ส่วนคนที่สิ่งหนีสัตว์ประหลาดมาในตอนแรกก็ทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ใช้สองมือกุมศีรษะและกรีดร้องอย่างเจ็บปวด บางคนหมดสติไป และบางคนก็คำรามออกมาอย่างดุร้าย ผิวกายเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำน่ากลัวแล้วกระโจนเข้ากัดคนใกล้ตัว ฉีกกระชากเนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ ราวกับเขาได้กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายไป
ในตอนนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็เปิดหน้าต่างออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก แล้วทุกคนก็ต้องส่งเสียงเอะอะออกมาเหมือนๆ กัน เพราะคงไม่มีใคร
“ขิง! มานี่!” พี่อรุณวิ่งออกมาจากป้อมยามแล้วฉุดแขนของผมให้ตามไป
“เดี๋ยวครับ!” ผมขืนตัวไว้ ถึงจะรู้ว่าในสถานการณ์คับขันเช่นนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตรอด แต่ผมก็ทำใจทิ้งร้านรถเข็นประจำตระกูลไม่ได้
ฝ่ายพี่อรุณพอเห็นว่าผมพยายามจะเข็นรถไปด้วยเขาก็เข้ามาช่วย คนตัวโตมีแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงไม่กี่อึดใจเขาก็สามารถเข็นรถขายน้ำเต้าหู้ที่หนักอึ้งเข้าไปในลานจอดรถของคอนโดได้สำเร็จ เพราะฉุกละหุกพวกเราจึงไม่มีเวลาจอดรถให้ดี พี่อรุณสั่งให้ผมไปกดปุ่มปิดโรงรถซึ่งเป็นการปิดประตูเหล็กลงมา เพราะไม้กั้นที่ใช้ในเวลาปกติคงไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันสัตว์ประหลาดตัวโตหรือกลุ่มคนคลั่งที่กำลังกัดกินเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
“พี่อ...” ผมที่กำลังจะถามพี่อรุณว่าเราจะช่วยเหลือคนบนถนนได้ไหมจำต้องชะงักไปเมื่อมีสุนัขคลั่งกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา
“ปัง!” กัมปนาทปืนดังก้องไปทั้งโรงรถ จนหูที่ยังอื้ออยู่ของผมแทบจะดับไปเลย สุนัขขนาดเท่าหมูตัวเต็มวัยล้มลงไปนอนนิ่ง แต่อีกตัวกระโจนเข้าใส่พี่อรุณ
มันรวดเร็วมากจนผมร้องเตือนไม่ทัน แต่ถึงอย่างนั้นพี่อรุณก็เบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างง่ายดาย กระสุนปืนอีกนัดหนึ่งถูกส่งเข้าไปฝังอยู่ในกะโหลกของสุนัขตัวนั้นเป็นอันจบปัญหา สุนัขที่หลุดเข้ามามีเพียงสองตัวผมจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนถามว่า “พี่อรุณแล้วคนพวกนั้น...”
“กรร!” เป็นอีกครั้งที่ผมถูกขัด และเมื่อหันไปก็พบกับมนุษย์ตัวเขียวที่ทั้งร่างอาบย้อมไปด้วยเลือดกลุ่มหนึ่ง ดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่อยู่บนถนนเมื่อครู่ และบางคนก็น่าจะเป็นเหยื่อที่ถูกกัดเมื่อกี้นี้ด้วย
“ซ—ซอมบี้?” ในหัวผมมีแต่คำนี้วิ่งวนอยู่ในหัว และคนที่มักจะนั่งดูหนังระหว่างทำงานอยู่บ่อยๆ อย่างพี่อรุณก็น่าจะคิดเหมือนกัน
พวกซอมบี้พอเข้ามาได้ก็ตรงเข้าจู่โจมพวกผมทันที ฝ่ายคุณยามนั้นไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะเขาสามารถต่อสู้ป้องกันตัวได้เป็นอย่างดี หลักฐานก็คือเสียงปืนอีกหลายนัดที่น่าจะเกิดขึ้นจากความพยายามหยุดยั้งศัตรู ฝ่ายที่ลำบากคือผมต่างหาก ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีแต่ผ้าโพกหัว กับผ้ากันเปื้อนเท่านั้น โชคยังพอเข้าข้างผมอยู่บ้างที่พวกเขาเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า และติดขัดเป็นบางช่วง ก็แน่สิ บางคนถูกกินจนขาเสียไปข้างเลยนี่นา
ผมที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็ได้แต่ถอยหลังไปเรื่อยๆ สายตาก็เหลือบไปมองร้านรถเข็นของตัวเองอยู่เป็นระยะ แต่ดูเหมือนว่าพวกซอมบี้จะไม่สนใจมันเลย นั่นทำให้ผมโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง ‘ไม่สิ ตอนนี้ไม่ควรจะห่วงเรื่องนั้นนี่นา’ พอคิดได้อย่างนั้นผมก็เริ่มมองหาอาวุธมาใช้ป้องกันตัว
‘ในโรงรถแบบนี้ จะมีอะไรใช้ได้บ้างล่ะนี่’ มองไปทางไหนก็มีแต่รถ ที่กั้นล้อเองก็เป็นปูนที่หล่อติดกับพื้น ไม่ใช่ก้อนอิฐหรือก้อนปูนที่จะยกขึ้นมาได้ง่ายๆ
“กริ๊ง” พลันเสียงเหรียญที่กระทบกันก็จุดประกายความคิดของผมขึ้นมา ในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนของผมมีเหรียญสำหรับใช้เป็นเงินทอนอยู่ ทุกวันที่ออกมาขายของผมจะพกเหรียญบาทมาเป็นจำนวนมาก เพราะราคาน้ำเต้าหู้คือถุงละสี่บาท ส่วนน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับเต้าฮวยน้ำขิงก็ถุงละเจ็ดบาท ราคาที่ไม่ลงตัวแบบนี้ทำให้ต้องทอนเงินลูกค้าอยู่แทบจะทุกครั้งไป
ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วใช้หนังยางรัดของมัดผ้าให้เหรียญเงินทอนรวมกันเป็นก้อนแข็งใต้ห่อผ้าจากนั้นก็ตลบผ้าส่วนที่เหลือห่อทับเพื่อความแน่นหนาอีกที ระหว่างนั้นก็เดินหลบไปข้างหลังรถเพื่อใช้เป็นเกราะกำบัง หากเลือกได้ผมก็ไม่อยากปะทะกับตัวประหลาดที่เหมือนกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์เลยสักนิดเดียว
‘ถึงพี่จะบอกว่ามันฟาดคนหัวแตกก็เถอะ แต่แบบนี้มันจะพอหรือเปล่านะ?’ คิดถึงพี่ชายที่ชอบไปมีเรื่องกับชาวบ้านแล้วผมก็ได้แต่นึกกังขา เหรียญบาทที่เตรียมมาในวันนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะไม่คิดว่าจะขายได้เยอะอยู่แล้ว หากน้ำหนักไม่พอมันก็คงมีผลแค่ทำให้ศัตรูชะงักไปเท่านั้น
“กรร!” แล้วผมก็ไม่ต้องคาดเดาคำตอบนานนักเพราะซอมบี้ตัวหนึ่งตามมาทันผมแล้ว ผิวกายที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ลูกตาปูดโปนแทบถลนออกมาจากเบ้า ปากที่อ้ากว้างเผยให้เห็นฟันสีดำยาวแหลมผิดมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับผมเป็นอย่างมาก บางทีต้นเหตุอาจจะมาจากฝน แล้วผมกับพี่อรุณก็โดนฝนนั่นไปด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะต้องกลายเป็นอย่างเดียวกันกับคนพวกนี้ด้วยหรือเปล่า
“โถ่เว้ย!” ผมสบถออกมาเมื่อซอมบี้กระโจนเข้าใส่ สองมือเหวี่ยงอาวุธในมือออกไปเต็มแรงขณะหลับตาปี๋เพราะไม่อยากคิดถึงผลที่จะตามมา
ความรู้สึกยามที่เหรียญกระทบกับผิวหนังและกะโหลกแข็งๆ ส่งผ่านมายังฝ่ามือของผม มันเป็นความรู้สึกที่หน่วงหัวใจเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ว่านี่คือการป้องกันตัว แต่อีกฝ่ายก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน พอคิดว่าได้ลงมือทำร้ายคนไปแล้วจริงๆ ความรู้สึกผิดก็ตีตื้นขึ้นมาในอกพร้อมๆ กับภาพความทรงจำจากอดีตที่ทำให้แขนขาสั่นไปหมด
‘แย่แล้ว!’ ผมขบริมฝีปากแน่น พยายามควบคุมลมหายใจที่เริ่มถี่กระชั้นให้สงบลงโดยเร็ว แต่เพราะแบบนั้นทำให้ซอมบี้ที่แค่ซวนเซไปเพราะแรงฟาดเข้าประชิดตัวผมได้สำเร็จ
“ม—ไม่!” เสียงกรีดร้องของผมดังแข่งกับเสียงปืนจากอีกด้านหนึ่งของโรงรถ ภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำสนิทเพราะกลัวจนไม่กล้าลืมตา เสียงลมหายใจหอบกระชั้นดังก้องอยู่ในหัว เช่นเดียวกับเสียงกริ่งอันเกิดจากแรงอัดอากาศของการยิงปืน ร่างทั้งร่างสั่นเทาราวกับหม้อน้ำเต้าหู้ที่กำลังเดือดพล่าน น่าประหลาดเหลือเกินที่พอคิดถึงน้ำเต้าหู้ทั้งร่างก็คล้ายกับจะอุ่นขึ้นมา แล้วคมเขี้ยวของซอมบี้ที่ควรจะกัดลงมาก็มาไม่ถึงสักที
ผ่านไปหลายอึดใจเลยทีเดียวกว่าผมจะสงบใจแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นดู ก่อนจะพบว่าตัวผมถูกโอบล้อมไปด้วยเต้าหู้สีขาว
ใช่ มันคือเต้าหู้จริงๆ ทั้งสัมผัส กลิ่น และรสชาติของมัน
‘แต่ว่า...เต้าหู้มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน?’