คืนนี้ท้องฟ้าคลั่งส่งเสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่น ซ้ำยังมีห่าฝนตกกระหน่ำจนกลบเสียงทุกสรรพสิ่ง แทนที่เจ้าของคุ้มนัยน์ตาน้ำข้าวจะหลับใหลบนเตียงนุ่มด้วยความสบาย ทว่ากลับกระสับกระส่ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ห้วงอกร้อนรุ่มหายใจลำบาก เปลือกตาหนักอึ้งฝืนลืมไม่ได้ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต ทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ยังคงทำงานได้ดี
ไม่แตกต่างกับคนถูกทิ้งไว้ในบ่อจระเข้ เด็กหนุ่มตัวบางยามนี้นั่งชันเข่ากอดตัวเองเอาไว้แน่นท่ามกลางสายฝน ปากซีดเซียวสั่นเทาไม่อาจระงับ ทั้งหมดเป็นเพราะความหนาวเหน็บกำลังกัดกินร่างกายเข้าไปเรื่อย ๆ และอีกไม่นานคงถึงขั้วหัวใจแน่ ตลอดเวลานัยน์ตาลุ่มลึกพยายามเพ่งมองจระเข้ตัวยักษ์ ด้วยกลัวว่ามันจะเข้ามาทำร้าย แต่มันก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายแม้เพียงนิด ยังคงยืนอยู่ที่เดิมท่าเดิมไม่เปลี่ยน ดวงตาของมันเหมือนจดจ้องมายังเขา ราวกับว่ามันเองก็กำลังระแวดระวังมนุษย์แปลกหน้าอยู่เหมือนกัน พอเห็นดังนั้นจึงวางใจลงได้เล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นานร่างกายอันอ่อนล้าและพละกำลังที่ถดถอย ก็ค่อย ๆ พรากสติให้เลือนรางลงไปทุกที
แล้วคนทั้งคู่ก็หลุดเข้าไปสู่ความฝันเดียวกัน พร้อม ๆ กัน...
หลังได้รับชายาเชลยตัวปลอมแทนหญิงอันเป็นที่รัก แม่ทัพอังวะผู้ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งเหี้ยมโหดต่อหน้ามัน กับเชลยทาสอื่น ๆ ที่จับมาได้ จะถูกขังอยู่ในกรงที่สร้างจากไม้หยาบ ๆ โดยไม่ต้องทำอะไร ลูกเล็กเด็กแดงและผู้หญิงเพียงแค่รอวันตาย ส่วนชายฉกรรจ์ร่างกำยำก็จะให้พวกมันเป็นยานพาหนะร่วมกับช้างม้าวัวควาย ขนเสบียงและของมีค่าจากเมืองโยเดียกลับพม่า
แต่กับมันผู้นั้น คนที่คิดแทนที่พี่สาวและหวังได้หัวใจเขา เขาแกล้งมันสารพัดขณะที่ปักหลักตั้งฐานอยู่ตรงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งใช้งานหนัก ทั้งโขกสับเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน โอ่งน้ำที่ใช้กินส่วนตัวก็ให้มันไปตักมาจากลำธาร เท้าที่กรำงานมาอย่างหนักก็ให้มันขัดนวด ทำทุกอย่างทุกวันไม่มีขาด สั่งให้มันตื่นก่อนและนอนทีหลังทุกคน จนร่างกายทรุดโทรมผ่ายผมลงไปเรื่อย ๆ
เป็นแบบนี้อีกไม่นานมันคงตายตกนรกลงไปแน่
สาแก่ใจเขาเหลือเกิน
“ไปเรียกมันมา”
ยามสอง[1] เป็นเวลาหลับนอน โบโชตูระที่เอนกายพิงหมอนกลับเอ่ยสั่งทหารด้านนอกกระโจมให้ไปเรียกเชลยทาสคนประจำเข้ามารับใช้ ทั้งที่เพิ่งยอมปล่อยให้มันกลับไปนอนได้ไม่นาน เพียงครู่เดียวคนที่เขาต้องการก็มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า ร่างบางคุกเข่า เอามือวางบนหน้าตัก ก้มหน้าสงบเงียบตรงปลายเตียงตามที่เขาสั่งให้ทำทุกครั้ง
“ข้าหิว อยากกินอาหารชาววังของโยดะยา”
แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยคำสั่งออกมา แววตาดุดันนิ่งสงบ ทว่าภายในใจขบขันที่เห็นมันอ่อนล้า
“เพลานี้รึ?” คนถูกสั่งแหงนหน้ามอง กลับไปไม่ทันจะได้อาบน้ำ ก็ถูกเรียกให้มาหาอีกแล้ว เนื้อตัวมอมแมมจากเหงื่อไคลยังไม่ได้รับการชำระล้างเลยสักนิด
“สั่งตอนนี้ จะให้กินเพลาไหนเล่า!” เขาตวาดลั่น ลุกขึ้นยืน ทำหน้าถมึงทึง ทำเอาร่างบางถึงกับหงายหลังทรงตัวไม่ได้
“อ...อยากกินกระไร” มันว่าเสียงแผ่ว ดูเหมือนไม่มั่นใจว่าจะทำได้
คนรับคำสั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนจะขอตัวออกไป หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษก็กลับมาด้วยเหงื่อโทรมกาย ปรางใสเปื้อนคราบเขม่า มันถือถาดคลานเข่าเข้ามา ก่อนนำถาดนั้นวางไว้บนโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งตั้งอยู่ด้านหนึ่งของกระโจม กลิ่นของแกงบางอย่างลอยอบอวลเตะจมูก ชวนให้คนแค่คิดแกล้งท้องร้องขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
แม่ทัพตูระตีหน้าขรึม เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ เบื้องหน้าที่เห็นคืออาหารหนึ่งอย่างและข้าวหนึ่งถ้วย รูปลักษณ์และการจัดวางคุ้นตาเหลือเกิน
“เรียกว่ากระไร”
“เห็นว่ามีปลาสังกะวาด เลยนำมาทำแกงเหงาหงอดขอรับ”
แกงเหงาหงอดคล้ายกับแกงส้ม ใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างมาประกอบ ตัวพริกแกงใช้พริกแห้ง พริกสดตำกับหัวหอม กระเทียม กระชาย และกะปิ พอตำได้ที่แล้วจึงนำมาลงน้ำเดือด ก่อนกรองเอาแต่น้ำซุปใส แล้วใส่เนื้อปลาลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ มะนาว ตบท้ายด้วยใบโหระพาเป็นอันเสร็จ
แม่ทัพตูระขมวดคิ้วเพราะชื่อเสียงเรียงนามไม่คุ้นหู แต่เพราะหน้าตาและกลิ่นอันคุ้นเคยของมัน ยั่วยวนให้ลิ้มรส เขาจึงยอมตักชิม รสชาติที่ได้สัมผัสทำเอาเขาชะงักไปเล็กน้อย
เขาจำรสชาตินี้ได้ เขาเคยกินตอนครั้งที่มีเหตุให้ต้องอยู่เรือนเจ้าพระยาฯ แม่หญิงดวงเดือนเป็นคนนำมาให้ พร้อมกับบอกว่าเธอทำเองกับมือ
น่าแปลก...คนละคน แต่ทำไมรสมือถึงได้เหมือนกันขนาดนี้ เหมือนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แทนที่จะชื่นชอบ ความเหมือนนี้กลับทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด พานคิดในแง่ลบถึงสุดขั้ว ไอ้น้องชายต่างมารดาของหญิงผู้เป็นที่รักคนนี้ คงจงใจเลียนแบบเธอทุกกระเบียดนิ้ว คงเห็นว่าเขาชอบทุกอย่างที่เธอทำให้ เลยพยายามทำตาม หวังจะให้เขาชอบด้วย
วิปลาสนัก!
คิดเช่นนั้นก็พ่นน้ำแกงออกมาราวกับเพิ่งกลืนสิ่งเหม็นเน่าเข้าไป กายสูงหยัดยืนรวดเร็ว ยกถ้วยแกงร้อน ๆ สาดใส่คนทำ ก่อนจะขว้างถ้วยลงพื้นจนแตกกระจายอย่างฉุนเฉียว สุดท้ายกระชากคอเสื้อย้วย ๆ แสนเก่ารั้งให้ร่างบางลุกขึ้นมาประจันหน้า
“รสชาติชวนสำรอกเหมือนกินของเน่า อย่างนี้ข้ากระเดือกไม่ลง”
พูดเพียงเท่านั้นก็ผลักอีกฝ่ายออกห่าง ก่อนกระดกน้ำเปล่ากลั้วปากแล้วถุยมันลงพื้นใกล้ ๆ
“จะไปไหนก็ไป!”
เขาตวาดลั่น ทำเอาคนทำตัวไม่ถูก รีบวิ่งออกจากกระโจมไปทันที เมื่ออยู่เพียงลำพัง ใบหน้าเคยงดงาม หากแต่ยามนี้มีรอยบากเหวอะหวะเผยรอยยิ้มกระหยิ่มอย่างสะใจ คืนนี้คงนอนหลับสบายแล้ว เพราะได้กลั่นแกล้งไอ้ตัววิปลาส
ทางด้านผู้ถูกกระทำ พอโดนไล่เยี่ยงหมูหมา ก็วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ ดวงหน้าสวยเกลื่อนไปด้วย ความระทมทุกข์ ก้มลงสำรวจแผลน้ำแกงร้อน ๆ ลวกบริเวณช่วงอกและสองแขน รู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนน้ำตาไหล รีบลงไปวักน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาบรรเทา หากกระนั้นก็ยังไม่เท่าภายในที่มันชอกช้ำ เมื่อถูกเจ้าของหัวใจกระทำใส่อย่าง ร้ายกาจ
รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะถูกรัก แต่ขอแค่ความเป็นมนุษย์เท่านั้น ยังให้กันไม่ได้เลยหรือ...
น้ำตากระแสหนึ่งหลั่งริน มิใช่เพราะบาดแผลจากภายนอก
“นักรบ เจ้ามันโง่แท้ ๆ ทำไมต้องผูกรักไว้กับคนใจร้ายด้วย”
แววตาลุ่มลึกกระวนกระวาย ทรมานด้วยความรักที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ไม่เกลียดในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมใครคนนั้นได้ลง ที่รู้สึกเช่นนี้ คงเป็นบ่วงกรรมตั้งแต่ชาติปางก่อน เขาคงเคยไปทำบาปไว้กับอีกฝ่าย ชาตินี้ถึงต้องมาชดใช้ให้อย่างแสนสาหัส
แต่ใครเล่าจะยอมทนเจ็บได้ตลอดไป แม้หัวใจจะคัดค้าน แต่เลือดแห่งศักดิ์ศรีกลับคอยหล่อหลอมให้เขานั้นคิดสู้ ยิ่งถูกกระทำมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหวังว่ามันจะเป็นเชื้อไฟให้กล้าขึ้นมาตัดขาดความรู้สึกนี้ได้ในสักวัน
“ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราอย่าได้พบเจอกันอีก หากต้องพบด้วยวัฏจักรบ่วงกรรม ก็ขอให้ข้า...อย่าได้ผูกใจรักเขาอีกเลย”
เสียงแผ่วพร่าด้วยร่างกายเริ่มอ่อนแอ ปฏิญาณต่อแม่น้ำเจ้าพระยาใต้ผืนนภาในคืนเดือนเพ็ญ
“กรี๊ดดดดด ไม่! อย่าแตะต้องตัวข้า!”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของหญิงสาวก็ดังขึ้น นักรบเพ่งสายตามองไปยังกรงขังไม้ชั่วคราวของเชลยสยามที่ตั้งอยู่ไกลลิบ เห็นทหารพม่าสามคนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากร่างเด็กสาววัยรุ่นออกมาจากกรง ท่าทางกักขฬะ ไร้มารยาท ดึกดื่นค่อนคืนยังถูกลากออกมาเช่นนี้ คงไม่พ้นเรื่องบัดสีกามอารมณ์เป็นแน่ เห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งเข้าไปผลักร่างทหารพม่าทั้งหมดให้พ้นร่างเด็กสาว
“พี่นักรบ!” เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหลบทางด้านหลังของเขาทันที
“บุหงา! ไยถูกจับมาเช่นนี้”
บุหงาคือน้องสาวของขุนโกสน นายทหารองครักษ์รับใช้ของเจ้าคุณพ่อ ด้วยบ้านใกล้เรือนเคียง เขากับเธอวิ่งเล่นด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่ เขารู้ว่าบ้านเมืองเพลานี้ระส่ำระสาย ประชากรกรุง อโยธยาถูกจับเป็นเชลยเป็นว่าเล่น แต่กับพี่ชายที่เป็นถึงนายทหารแนวหน้า ไยถึงปล่อยให้น้องสาวถูกจับมาเช่นนี้
“เรือนทุกหลังถูกยึดไปหมดแล้ว เว้นก็แต่เรือนท่านเจ้าพระยาฯ ท่านพ่อ ท่านแม่ถูกฆ่าหมด ส่วนพี่โกสนก็ถูกวังหลวงเรียกตัวไปเป็นทัพหลัก ป่านนี้เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรมิอาจรู้”
เด็กสาววัยสิบห้าร่ำไห้ สะอึกสะอื้นในอ้อมแขนของพี่ชายคนคุ้นเคย เมื่ออยู่ใกล้เขา ความหวาดกลัวที่มีก็ลดลงไปบ้างแล้ว
“พี่เดือนล่ะ พี่เดือนจักเป็นเยี่ยงไรบ้าง ไม่มีขุนโกสนคอยอารักขา ท่านพ่อก็มาล้มป่วยอีก” เป็นห่วงคนที่บ้านเหลือเกิน เสาหลักของเรือนยามนี้มีเพียงพี่สาว ดาบพร้ากระไรก็ไม่เคยจับ บ่าวไพร่ก็เป็นผู้หญิงส่วนมากเสียด้วย
“เรือนพระยาจักรีฯ ปลอดภัยเจ้าค่ะ มีทหารพม่าคอยเฝ้าโดยรอบด้วย” บุหงาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเรือนของศัตรู ทหารพม่าถึงได้คุ้มครอง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนฟังก็ค่อยวางใจ นั่นแปลว่าแม่ทัพตูระจากอังวะ ยังรักษาสัญญาที่ให้ไว้ ว่าหากส่งแม่หญิงดวงเดือนมาเป็นชายาเชลย เขาจะไม่ทำกระไรเรือนเจ้าพระยาจักรีฯ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะกลายเป็นเขา ที่มาเป็นเชลยรองมือรองเท้าแทน แต่ชายหนุ่มผู้ถือตัวนั้นก็ไม่ได้บิดเบือนคำพูด
นั่นคงเป็นเพราะความรักที่มีต่อพี่สาวของเขา
ดวงตาหวานวูบไหว มีประกายแห่งความเศร้า แต่ก็ยังฝืนยิ้มดีใจที่พี่สาวยังอยู่รอดปลอดภัย
“กรี๊ดดด พี่นักรบ ช่วยข้าด้วย!”
แต่แล้วก็ต้องยุติความคิดทุกอย่างลง เมื่อจู่ ๆ บุหงาถูกทหารพม่าอุ้มไปทางป่ารก