ตอนที่ 5.1

3435 คำ
“ตัวร้อนอย่างกับไฟแน่ะ” หัวหน้าแม่บ้านพึมพำ ขณะเอาผ้าขนหนูชุบน้ำไล่เช็ดตามดวงหน้า      เด็กหนุ่มร่างบางที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ริมฝีปากแห้งผากงึมงำไม่ได้ศัพท์ หัวคิ้วเดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลายราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้ายอันแสนทรมาน เธอถูกนายท่านกาลเวลาเรียกตัวเมื่อเช้ามืด ฟ้ายังไม่ทันสาง และฝนยังคงตกกระหน่ำ กลับพบว่าที่นายท่านเรียกนั้น เป็นเพราะต้องการให้เธอมาดูแลคนป่วยแปลกหน้าที่เขาพากลับมายังคุ้มเมื่อวานนี้ เพิ่งรู้มาว่าคน ๆ นี้เป็นหนึ่งในคนที่กระทำชำเราคุณอลิศา และจะต้องได้รับการชำระแค้นเหมือนอย่างคนอื่น ๆ แต่เหตุใดเขาถึงยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังได้รับการรักษาตัวอยู่ในขณะนี้กัน “เป็นยังไงบ้างคุณเพลิน” เสียงเรียกของปราชญ์ มือขวาของเจ้านายดังขึ้นตรงกรอบประตูห้องนอนห้องหนึ่งในเรือนคนรับใช้ เธอหันไปส่ายหน้าติดกังวลให้กับเขา “ตัวร้อนจี๋ กระสับกระส่ายตลอดเวลา ดูท่าจะทรมานมาก ๆ เลยค่ะ      คุณปราชญ์ เป็นหนักขนาดนี้ เรียกหมอมาดีกว่าไหมคะ?” ปราชญ์เดินเข้ามาใกล้ นั่งลงตรงขอบเตียงเล็ก ๆ ก่อนเอาหลังมือไปอังข้างแก้มเด็กหนุ่ม อุณหภูมิในกายร้อนจัดเหมือนอย่างที่เธอว่าจริง ๆ “ไปเอาข้าวต้มกับยาบรรเทามาก่อนเถอะครับ” เขาเอ่ยเป็นเชิงสั่ง ก่อนเธอจะค้อมศีรษะให้ แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน เมื่ออยู่กันตามลำพัง ปราชญ์ใช้เวลาเฝ้ามองอาการทุรนทุรายครู่หนึ่ง เห็นใบหน้าเรียวเล็กส่ายไปมา น้ำตาไหลออกหางตา ปากขมุบขมิบพยายามจะเปล่งเสียง หากแต่ก็ไม่ได้มีคำใดเล็ดลอดออกมา เขากระชับผ้าห่มให้ ด้วยเห็นว่าร่างกายอีกฝ่ายนั้นสั่นเทิ้ม การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คนซมพิษไข้เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ดวงตาสวยค่อยปรือลืม มองคนตรงหน้าด้วยประกายแห่งความร้าวราน “ทำไมไม่ฆ่าผมให้ตายไปซะ” นิรันดรตัดพ้อ เมื่อพบว่าตนเองยังไม่หมดลมหายใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าใครพามาที่นี่ เมื่อไหร่และอย่างไร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่คิดหาคำตอบ ในเมื่อการยังมีชีวิตอยู่ภายในที่แห่งนี้ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ใครจะช่วยหรือไม่ อย่างไรเสีย อีกไม่นานเขาก็คงถูกฆ่าอยู่ดี “คุณกาลเปลี่ยนใจแล้ว เขาบอกว่ายังไม่ใช่ตอนนี้” “เขาคงอยากเห็นผมทรมานมากกว่านี้ล่ะสิ ตายเร็วมันคงไม่สนุกสำหรับเขา” ปราชญ์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมา “อย่าเป็นคนดีให้กับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อเลย บอกความจริงเขาตอนนี้ยังทัน” ตั้งแต่รู้จักกันมา กาลเวลาไม่ใช่ผู้ชายไร้เหตุผล เป็นคนฟังคนและยอมรับได้หากเรื่องนั้น ๆ สมเหตุสมผลและอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง เพียงแต่เรื่องน้องสาวคนเดียวของเขานี้ มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะให้อภัยได้ มันเลยทำให้เขาดูกลายเป็นคนไร้ศีลธรรมเลือดเย็นในสายตาผู้ถูกกระทำอย่างนิรันดรไปเสีย นิรันดรนิ่งคิดทบทวน หากแต่ก็รีบส่ายหน้าพัลวัน “ไม่ได้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดี แต่เป็นเพราะชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตของครอบครัว ผมจะให้น้องชายของผมตายไม่ได้” “คุณเลยเลือกที่จะตายแทนงั้นเหรอ?” นิรันดรพูดไม่ออก ขอบตาร้อนผ่าว มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างอับจนหนทาง แล้วจะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อน้องชายของเขากำลังจะเป็นเสาหลักให้ครอบครัว แตกต่างกับเขาที่เป็นเพียงไอ้นิที่ทำงานใช้แรงงานแลกเงินไม่กี่บาทเพื่อจุนเจือทุกคน ใครไม่เป็นอย่างเขา ไม่มีวันรู้หรอก ว่าชีวิตที่ยากจนข้นแค้น           มันลำบากมากแค่ไหน “ข้าวต้มกับยามาแล้วค่ะ” เสียงของหัวหน้าแม่บ้านทำให้บทสนทนาตึงเครียดคลายลง นิรันดรได้โอกาสเบือนหน้าไปทางอื่นพลางรีบเอามือปาดน้ำตา ส่วนปราชญ์หันไปรับถาดข้าวต้มพร้อมกับยามาวางไว้บนเตียง “ระหว่างที่อยู่ที่นี่ คุณกาลให้คุณเป็นคนทำความสะอาดบ่อจระเข้ใน    ทุกเช้า นอกนั้นก็ช่วยงานจิปาถะภายในคุ้ม ตามแต่หัวหน้าแม่บ้านจะสั่งให้ทำ  ห้ามหนี ห้ามติดต่อใครเด็ดขาด” “อีกนานแค่ไหนเหรอ?” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถาม เพราะข้อนี้คงมีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่ตอบได้ “ตอนนี้ยังไม่ตายก็กินซะ จะได้มีแรงสู้กับเขา ถ้าไม่อยากให้เขาพอใจ      ก็อย่าแสดงว่าทรมานต่อหน้าเขา” พูดเพียงเท่านั้นก็ลุกเดินจากไปพร้อมกับหัวหน้าแม่บ้าน “ด...เดี๋ยวก่อนคุณ...” นิรันดรรีบเอ่ยรั้ง เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ผมชื่อปราชญ์” ชายหนุ่มร่างสูงแนะนำตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วรอฟังอีกฝ่าย นิรันดรอ้ำอึ้งไม่กล้าถามในทีแรก แต่ด้วยความสงสัยจึงยอมเปิดปากถึงสิ่งเหลือเชื่อที่พบเจอเมื่อคืนให้อีกฝ่ายฟัง “เมื่อคืนผมฝัน เหมือนย้อนอดีตกลับไปหลายร้อยปีก่อน ผมเป็นใคร    คนหนึ่งที่ชื่อนักรบ แล้วในฝัน ก็มี...เจ้านายใจร้ายของคุณอยู่ด้วย คุณ...เคยฝัน หรือเคยได้ยินเรื่องอะไรพวกนี้มาบ้างหรือเปล่า” คำถามนี้ทำคนหน้าเรียบเฉยถึงกับขมวดคิ้ว มองเขาเหมือนมองคนไม่สมประกอบอย่างไรอย่างนั้น ดีที่ไม่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาให้รู้สึกอาย เห็นเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่เคยเจอเหตุการณ์ในฝันเหมือนกับเขา จึงทำเพียงส่ายหน้า แล้วเลือนสายตาเปลี่ยนเป้าหมายไปยังข้าวต้มหมูกรุ่นกลิ่นหอมในถ้วย ท้องไส้พลันร้องดังโครกคราก ก่อนจะหันไปมองหัวหน้าแม่บ้านเป็นเชิงขออนุญาต “กินเถอะจะได้มีแรง งานที่ต้องทำหลังจากหายไข้มีเยอะเชียวล่ะ” เธอบอก ท่าทียังคงระแวดระวังเนื่องจากคิดว่าเขาเป็นคนร้ายกาจ อันที่จริงคนรับใช้คุ้มรามางกูรเยอะอยู่แล้ว และทุกคนต่างก็มีหน้าที่ครอบคลุมทุกส่วนของบ้านกันครบ แต่สำหรับจำเลยร่างบางคนนี้ เจ้านายเธอกำชับเป็นพิเศษว่าต้องมีงานให้ทำ ซ้ำเขายังกำหนดมาให้เองอีกด้วย เธอเห็นรายการในกระดาษที่เขียนด้วยลายมือของเขาแล้วถึงกับปวดหัว ด้วยไม่นึกว่าเจ้านายของเธอ จะสนใจเรื่องยิบย่อยได้ขนาดนี้ “ขอบคุณสำหรับอาหารและยานะครับ ขอบคุณคุณปราชญ์ด้วยที่ช่วยพาผมออกมาจากบ่อจระเข้ เอ่อ...ผมชื่อนิรันดร เรียกนิเฉย ๆ ก็ได้ครับ” ปราชญ์พยักหน้า ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนช่วยออกมาจากบ่อ เพราะคนช่วยตัวจริงได้ห้ามเอาไว้ เมื่อหมดบทสนทนา คนทั้งคู่จึงเดินออกจากห้อง ปล่อยให้คนไข้รับประทานอาหาร นิรันดรรีบตักข้าวต้มเข้าปาก โดนความร้อนลวกลิ้น ลวกกระพุ้งแก้ม แต่ก็ยังฝืนกินด้วยความหิวโหย ถึงรู้ว่าตนเองจะต้องตายเมื่อไรก็ได้หากยังถูกขังอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องอดข้าวอดน้ำ ให้ร่างกายขาดสารอาหารสักหน่อย อยากให้เขาตาย นั่นเป็นความประสงค์ของคนใจร้ายคนนั้นต่างหาก นิรันดรเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางนึกถึงเรื่องที่ตนพบเจอเมื่อวาน รวมถึงภาพฝันชวนหดหู่เมื่อคืน นัยน์ตาสวยระบายความเจ็บช้ำหากแต่ก็ยังเจือไปด้วยความเป็นนักสู้ ขอกินข้าวให้อิ่ม กินยาให้หายป่วยในมื้อนี้ แล้วค่อยหาทางประนีประนอมคดีที่เขาไม่ได้ก่อก็คงยังไม่สาย     ทางด้านกาลเวลาหลังจัดการสะสางแฟ้มงานที่ลูกน้องจากบริษัทนำมาให้สำหรับวันหยุดในวันนี้เสร็จ เขาก็ใช้เวลาช่วงสายไปกับน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา ตอนที่เข้าไปในห้องนอนของเธอ อลิศายังคงงีบหลับอยู่บนเตียง ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันหลังรับประทานอาหารเช้าในช่วงสาย เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา คนดูแลประจำตัวของเธอ ซึ่งเป็นพยาบาลที่เขาจ้างไว้เป็นพิเศษ ก็ค้อมกายถอยห่าง ก่อนออกจากห้องไปเพื่อให้เวลาส่วนตัวแก่เขาเหมือนเช่นที่ทำเป็นประจำ เขาหย่อนกายนั่งตรงขอบเตียง เอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากเธอออกให้อย่างเบามือ ดวงตาสีเทาที่ดุดันตลอดเวลาเมื่อต้องเผชิญกับโลกภายนอก เวลานี้กลับอ่อนแสงและเต็มไปด้วยประกายแห่งความกังวล เมื่อเลื่อนสายตาไล่ลงไปยังช่วงท้องที่นูนเด่นของเธอ หัวใจก็ราวกับถูกอะไรบีบรัดจนปวดระบมไปหมด เด็กสาวตัวน้อยในวันวานที่ปีนี้อายุก้าวเข้าสู่วัยยี่สิบปีบริบูรณ์ของเขายังคงหลับตาพริ้ม หน้าตาของเธอสะสวยหากติดไปทางดื้อรั้น ดวงตาเฉี่ยวคมเหมือนกับพ่อ แต่เค้าโครงใบหน้าหวานหยดเหมือนกับแม่ ชายหนุ่มหวนนึกถึงวันวาน เมื่อครั้งเขาอายุสิบห้า ตอนนั้นอลิศายัง      ห้าขวบ บิดาก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทิ้งทรัพย์สมบัติทุกอย่างไว้ให้สอง      พี่น้อง และทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบทุกอย่างให้เขาแบกไว้ ก่อนพ่อจะเสียชีวิตไม่กี่เดือน เขาถูกส่งให้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก ส่วน อลิศาอยู่กับพ่อที่ประเทศไทย หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องกลับมาร่วมงานศพไว้อาลัยชายผู้เป็นทุกอย่างของตระกูลรามางกูร ด้วยความที่เป็นครอบครัวซึ่งเกิดหลอมรวมมาจากหลายสัญชาติ ญาติทางพ่อเป็นฝรั่งทั้งหมดถึงจะมีเชื้อสายไทยซึ่งมาจากย่าอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครใคร่อยากจะมาอยู่คุ้มรามางกูรเพื่อดูแลอลิศาต่อจากพ่อ ทว่าก็ยังมีเมตตายื่นมือมาเสนอให้น้องสาวของเขากลับไปด้วย เพื่อไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่อังกฤษอย่างถาวรเสีย สองพี่น้องยังเด็ก และตัวเขาเองก็ต้องกลับไปเรียนต่อ จึงตัดสินใจทำอย่างที่ญาติ ๆ เสนอมา ตั้งแต่นั้น...สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ห่างเหินมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาและเธอไม่ได้ติดต่อกันบ่อยเท่าที่ควร เพราะต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่หากถามว่าเขาผูกพันกับเธอหรือไม่ แน่นอนว่าเขาย่อมผูกพัน แต่ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายที่ยังไม่รู้จักคำว่าดูแลใส่ใจและขาดวุฒิภาวะของการเป็นหัวหน้าครอบครัว จึงทำให้ไม่ได้แสดงออกอย่างที่น้องสาวของเขาควรได้รับนัก ด้วยการเลี้ยงดูแบบวัฒนธรรมฝรั่ง อลิศาจึงเติบโตมากับคำสอนที่ว่าให้ช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมก็ได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนค่อนข้างมีความมั่นใจในตัวเองสูง ซื่อตรงต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก หากได้รักแล้วก็จะรักอย่างหัวปักหัวปำ หากได้ชังก็จะชังจนสุดขั้วหัวใจ เมื่อเขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็ตัดสินใจกลับมารับช่วงธุรกิจต่อจากบิดาที่เคยฝากไว้กับผู้อาวุโสบอร์ดบริหารของบริษัท ส่วนอลิศายังคงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะกลับ แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะหากนั่นคือความต้องการของเธอ เขาก็ไม่คิดห้ามทั้งนั้น แต่แล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเธอกลับไทยกะทันหัน เพื่อต้องการเคลียร์ปัญหาเรื่องความรักกับแฟนหนุ่มของเธอ “กลับมาทำไมไม่บอกพี่ก่อน?” เขารับเบอร์แปลกระหว่างการประชุม และพบว่าเป็นอลิศที่บอกว่ามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้ว “มันกะทันหันน่ะพี่กาล แค่จะมาคุยกับแฟนให้รู้เรื่อง” “มีปัญหาอะไรกัน?” “เรื่องเจ้าชู้นั่นแหละ อยู่อังกฤษก็จับได้ กลับมาไทยก่อนก็ยังมีอีก ไม่เคยจะสำนึกเลย ทั้ง ๆ ที่เคยคุยกันเรื่องแต่งงานแล้วแท้ ๆ ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยนี้นะ อลิศก็จะไม่เอาไว้แล้วเหมือนกัน ตัดคือตัด จบคือจบ” “แล้วจะไปที่ไหน อันตรายหรือเปล่า” อลิศหัวเราะเมื่อได้ยินน้ำเสียงติดกังวลของเขา “พี่กาลไม่ต้องเป็นห่วงอลิศนะ ประชุมต่อเถอะ เดี๋ยวอลิศจัดการเอง เสร็จเรื่องเมื่อไหร่ จะไปหาที่บ้านนะคะ” “เดี๋ยวอลิศ...” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของเธอ เธอวางสาย ก่อนที่เขาจะได้ถามไถ่อะไรออกไปด้วยซ้ำ น่าเจ็บใจที่ตอนนั้นเขากลับเพิกเฉย หันกลับไปประชุมต่อจนลืมเรื่องของเธอไป ไม่ได้มีลางสังหรณ์อันใดก่อเกิดให้คลางแคลงใจเลยสักนิด แล้วคืนนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจตอนกลางดึก แจ้งว่าน้องสาวของเขาถูก   ทำร้ายร่างกายและกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ได้ยินเช่นนั้นความเหนื่อยล้าจากการโหมงานหนักทั้งหมดก็อันตรธานหายไป หลงเหลือเพียงความกังวลตลอดการเดินทางไปที่นั่น เมื่อไปถึงเขาก็ได้พบกับสภาพอันน่าสังเวช บนใบหน้าหมดสติเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ โดยเฉพาะข้างแก้มที่เคยใส บัดนี้บวมแดงเหมือนถูกตบมานับครั้งไม่ถ้วน ตามร่างกายเองก็ไม่แตกต่าง แพทย์เวรที่ทำการรักษาเข้ามาแจ้งอาการและสาเหตุแก่เขา พอฟังจบเขาถึงกับเข่าอ่อนแทบล้มทั้งยืน อลิศถูกข่มขืนโดยชายกลุ่มหนึ่ง ความจริงที่ได้รู้ ทำเขาเหมือนตายทั้งเป็น ซ้ำยังรู้สึกผิดต่อเธอ ที่ละเลยหน้าที่พี่ชายตลอดมา หากคืนนั้นเขาใส่ใจเธอมากกว่านี้อีกสักนิด อย่างน้อยก็ส่งปราชญ์ไปดูแลเธอ เรื่องเลวทรามเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความคั่งแค้นก็นำพาให้เขาเลือกกระทำการดั่งศาลเตี้ย ไล่เก็บไอ้พวกเลวระยำกลุ่มนั้นทีละคน ไม่เว้นแม้แต่ไอ้ตัวการ แฟนหนุ่มนักเรียนนอกคนนั้น โดยไม่สนกฎหมายบ้านเมืองและหรือเวรกรรมใดใด จนกระทั่งเหลือเพียงจำเลยคนสุดท้ายในตอนนี้... อดีตอันชอกช้ำยุติลงเมื่ออีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว ดวงตาสวยปรือมองเพดานครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือนมาสบร่างชายหนุ่มผู้คุ้นเคยมาก ๆ ในความทรงจำ หากแต่เวลานี้เธอกลับจำไม่ได้ว่าเขาคือใคร “หลับสบายไหม?” อลิศาคุ้นเคยกับชายหนุ่ม เพราะเขาเข้ามาทักทายเธอทุกวัน และด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนที่ได้รับจากเขา เธอจึงไม่มีความหวาดกลัวตื่นตระหนกเหมือนอย่างที่มีต่อชายคนอื่น เธอยันมือกับผืนเตียงเพื่อลุกขึ้นนั่ง โดยมีเขาช่วยประคอง “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีเข้มเดี๋ยวเลื่อนลอยเดี๋ยวหลุกหลิกสลับกันไป ประดักประเดิดทำราวกับว่ากาลเวลาคือคนแปลกหน้า เธอรอดชีวิตจากการถูกทำร้ายมาได้ แต่กลับต้องสูญเสียความทรงจำทุกช่วงเวลาของชีวิตไป เธอกลายเป็นคนเสียสติ เพราะถูกเรื่องราวในคืนนั้นกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก แม้แต่ชื่อตัวเองตอนแรกก็ยังจำไม่ได้ จนเขาพากลับมารักษาตัวที่บ้าน ค่อย ๆ กล่อมเกลา ดูแล และบอกเล่าเรื่องราวในอดีตทีละนิด แต่กระนั้นเธอก็ไม่อาจรับรู้ ได้แต่เหม่อลอย บางครั้งนั่งนิ่ง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่พูดไม่จากับใครเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวอันแสนไกล อย่างที่พี่ชายอย่างเขาเข้าไปไม่ถึง จากเด็กสาวสดใส กลับกลายเป็นคนเสียสติโดยสมบูรณ์ สิ่งที่ได้พบเห็นอยู่ทุกวัน ทำให้กาลเวลารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขาโทษตัวเองตลอดที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่แย่ แค่น้องสาวคนเดียวยังปกป้องไว้ไม่ได้ หลังเกิดเหตุได้สองเดือนอลิศมีอาการแปลก ๆ เธออาเจียนและเวียนหัว จึงพาเธอไปตรวจร่างกาย ก็พบว่าตั้งครรภ์ ยิ่งรับรู้ว่าคืนวิปโยคนั้น ส่งผลมากกว่าการถูกทำร้ายร่างกาย เขาก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ “ปวดท้องไหม รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า?” “แน่นท้อง อึดอัด” อลิศาคิดว่าเขาเป็นหมอ จึงตอบอาการไปเป็นคำ ๆ “อลิศอยากเอาออก ไม่อยากท้องโตแล้ว” พูดจบ น้ำตาเธอก็คลอหน่วย มือบางพลันยกขึ้นมาทุบท้อง กาลเวลารีบคว้าข้อมือเธอเอาไว้แล้วส่ายหน้าปรามเธอ “มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อย ๆ อยู่ข้างในนี้ และอีกไม่กี่เดือนเขาก็จะออกมาแล้ว ถึงตอนนั้นจะเจ็บหน่อย แต่อลิศต้องอดทนเพื่อลูกของอลิศนะรู้ไหม” “ลูก...ลูกของอลิศ” กาลเวลาพยักหน้า มอบรอยยิ้มอบอุ่นเพื่อให้เธอเบาใจและเชื่อมั่น “แต่อลิศกลัว คิดถึงพี่กาล พี่กาลน่าจะอยู่ใกล้ ๆ” และแล้วน้ำตาเธอก็รินไหลอาบแก้มราวกับสายน้ำ กาลเวลาคว้าตัวเธอมากอด พลางลูบหลังเธอแผ่วเบา ความรู้สึกผิดถาโถมซัดเข้ามาตรงกลางใจ เห็นน้องสาวเลื่อนลอยสติหลุดเหมือนคนวิปลาสเช่นนี้ คนเป็นพี่ชายก็ได้แต่โทษตัวเอง หากเขารู้อนาคตสักนิด เขาคงไม่ปล่อยปะละเลยเธอเหมือนอย่างที่ผ่านมา “พี่อยู่นี่แล้ว พี่กาลอยู่ตรงนี้แล้ว” “พี่กาลเองเหรอ พี่กาลจริง ๆ ใช่ไหม อลิศกลัว ไม่อยากท้องโต” จิตใต้สำนึกของหญิงสาวยังไม่พร้อม และการที่มีอีกหนึ่งชีวิตอาศัยอยู่ในท้อง เป็นเรื่องกะทันหันและคาดไม่ถึงเกินไป “ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้พี่จะอยู่ข้างอลิศไม่ไปไหน เราจะอยู่ด้วยกัน       รอคอยเด็กตัวน้อย ๆ ออกมาลืมตาดูโลก พี่เชื่อว่าเขาจะต้องน่ารักมากแน่ ๆ” “เขาเป็นใคร เป็นลูกใครกัน” กาลเวลานิ่งงัน หัวใจเหมือนถูกเหล็กร้อนเสียดแทง “ลูกของเรา พี่จะเป็นพ่อเขาให้เอง” “จริงนะ ถ้าพี่กาลเป็นพ่อ อลิศก็จะไม่ปวดท้องแล้ว” เธอเอื้อนเอ่ยไม่ได้ความหมายนัก หากแต่กาลเวลารู้ดีว่าเธอกำลังเอาใจเขา และอยากให้เขาอยู่เคียงข้างด้วยตลอดไป เขาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนกดจูบลงตรงขมับของเธอ แล้วผละออกเล็กน้อย เพื่อพินิจมองดวงหน้าหมดจดอันอ่อนเยาว์ เด็กสาวในฝันคนนั้น... “คนเหมือนกัน ไยทำเหมือนไม่ใช่คนเหมือนกัน เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มิมีทางสู้ เหตุใดจึงต้องเจอเรื่องเยี่ยงนี้” “เพราะมันเป็นเชลย ต่อให้ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าอังวะก็ต้องยอม” “รุกรานผืนแผ่นดินชาติสยาม ปล้นข้าวของเงินทองไป ยังไม่เจ็บใจเท่าปล้นความเป็นคน” “ปากช่างดีนัก อาจกล้าฆ่าคนของข้า ถ้าเจ้าอยากช่วยนังเด็กเชลยนี่นัก ก็จงเป็นอย่างที่มันเป็นแทน ดีหรือไม่” .. “ได้โปรดท่านแม่ทัพ อย่าทำกระไรพี่นักรบเลย พี่นักรบเป็นคนดี มิเคยคิดร้ายกับใคร” “ผู้ใดสนกันเล่า ความดีหากินได้ไม่ อีกอย่างความดีของมันมิได้อยู่ในความสนใจของข้าสักหน่อย เอาไว้มันทำให้ข้ารักได้เมื่อไร เมื่อนั้นข้าถึงจะเทิดทูนมัน” อลิศาคือเด็กสาวเชลยคนนั้น ความจริงที่ได้รู้ทำเขาตกใจเป็นอย่างมาก เด็กสาวชาวอโยธา คนที่ถูกเขาใช้เท้าถีบอกในฝันเมื่อคืน กลับกลายเป็นน้องสาวเขาในภพชาติปัจจุบัน ทำไมเรื่องราวความฝันในอดีตชาติ ถึงได้มีผู้คนใกล้ชิดเขาในปัจจุบันรวมอยู่ด้วย         ทั้งปราชญ์ ทั้งอลิศา ทั้งไอ้เด็กดวงแข็งเมื่อวานซืนนั่น ต่างก็ปรากฏอยู่ในภาพฝันอย่างชัดเจน และยิ่งนับวัน...ความจริงบางอย่างก็ดูเหมือนใกล้จะปรากฏขึ้นทุกที แต่เขาไม่รู้ว่าความจริงที่ว่านั้นคือเรื่องอะไร จากที่ไม่คิดหาคำตอบ ตอนนี้เขาชักเริ่มที่จะอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ที่แน่ ๆ ด้วยเพราะอดีตเป็นแม่ทัพแสนโหดร้าย ตอนนี้เวรกรรมคงตามมาสนองทันในชาตินี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม