1
*******ประกายแห่งความหวัง
หนึ่งร้อยปีเทวโลกนับได้หนึ่งปีของโลกมนุษย์
สองเดือนกว่าบนโลกมนุษย์ กลับล่วงเลยไปนับยี่สิบปีในภพภูมิบาดาล
พยัคฆ์อัคคีทำตามคำสั่งเสียของอาเป้ยอย่างครบถ้วนทุกข้อ ทั้งเรื่องของอสูรปักษา เฝ้าดูให้แน่ใจว่าเทพอู่เฉินจะไม่ทำร้ายมันด้วยโทสะของท่านหากว่ามันสามารถเลียนเสียงของนางในทุก ๆ วัน และหลังจากที่นางหายไปได้ไม่นาน เจ้าเหลียนเหลียนก็เก็บลูกประคำหยินหยางใส่กระเป๋าเวท เพื่อออกเดินทางข้ามประตูมิติในภพภูมิลับแลไปยังโลกมนุษย์ นำมันให้อาจารย์ฮุ่ยหมิง ซึ่งด้วยญาณทิพย์ของท่านได้รับรู้แล้วว่านางเพิ่งเสียชีวิตไป
ใช่ว่านางไม่เชื่อใจเทพอู่เฉิน ทว่าเรื่องของจิตใจยากแท้หยั่งถึง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทพ แม้แต่ปีศาจ คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเทพปีศาจอู่เฉินสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมากแค่ไหน ในวันที่สูญเสียนาง อาจโศกเศร้าเสียจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ก็เป็นไปได้
ทว่าในความเป็นจริงนั้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไป หัวใจจะได้รับการเยียวยา
หนึ่งวัน สองวัน หลายเดือน จนเนิ่นนานนับปี
สิบปี ยี่สิบปี...
เทพอู่เฉินกลายเป็นเทพผู้นิ่งเฉย สุขุม สงบเสงี่ยม ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จะมีเพียงแววตาเศร้าหมองเท่านั้น คอยบอกว่าสภาพจิตใจไม่ปรกติสุข เหล่าเทพยังสังเกตได้ว่าท่านมักก้มลงมองที่ข้อเท้าของตน ด้วยสีหน้าและแววตาคาดหวัง พลันเศร้าหมองลงเมื่อไร้ซึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็น
มีไหสุรารสชาติล้ำเลิศเป็นมิตรสหาย ถึงบางวันก็ไม่ได้ดื่มมากมาย การเดินหมากเซี่ยงฉีกับเหล่าเทพแห่งสายน้ำ กลายเป็นเรื่องชำนาญการของท่าน
หลังจากที่ถูกล้วงคอขึ้นมาเขย่าอย่างรุนแรงจนถึงกับสร่างเมา เทพอู่เฉินกลับร่างบุรุษ เดินโซซัดโซเซกลับเข้ามานั่งในสวนของเป่าเป้ยบนตั่งนั่ง จิบชาร้อน ๆ แล้วพอจะได้สติกลับมาบ้าง
“ท่านเดินทางมาถึงเทวโลกเพราะเรื่องของอาเป้ย ใช่หรือไม่? ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิง”
อาจารย์ฮุ่ยหมิงฉีกยิ้มกว้างว่า “ไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ ข้ามาตามหาหยกพันปี”
“ประทานโทษเถิดท่านฮุ่ยหมิง... ผู้ใดมาตามหาหยกพันปี ไม่มีใครเคยพบเจอ จะมีจริงหรือเปล่า พวกข้าอยู่มาก่อนผู้ใด ยังไม่อาจทราบได้”
ซื่อหยูอี้นั่งบนเก้าอี้ของตนซึ่งเสกขึ้นด้วยเวทเซียน พูดเรื่องนี้อยู่ในฝั่งตรงกันข้ามกับนักพรต ท่านฮุ่ยหมิงนั่งบนเสื่อผืนเดียวจึงสัมผัสกับความหนาวเย็นของเหมันต์ด้วยสติสัมปชัญญะ เยี่ยงนักพรตผู้เคร่งในศีล ข่มกายใจของตนให้เข้าถึงสัจธรรมของร่างกายอย่างแท้จริง
เซียวอี้หรูเล่าเรื่องราวให้ท่านนักพรตฟังว่าปีศาจอสูรตนใดมาตามหาหยกพันปี ก็ไม่พบเจอแม้วี่แววว่ามันจะมีอยู่จริง เป็นเทพอู่เฉินมีสีหน้าครุ่นคิดเมื่อนึกถึงสถานที่หนึ่งมาได้สักพัก มันซ่อนเร้นบางสิ่งไว้ใต้ผืนน้ำ
หิน... สีดำ
หยกพันปี... สีดำ
อสรพิษ... เป็นสีเดียวกัน
“หยกพันปี... เป็นหยกสีดำสนิท ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับนางเฟยอี๋ในเพลิงกัลป์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหามันพบ เจ้าเหลียนเหลียนบอกกับข้าว่านางต้องการมันนัก ข้าอยากจะรู้นักว่านางจะเอาหยกพันปีไปทำอะไร? แต่ข้าเกรงว่านางต้องเอาไปทำเรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยของนาง...”
เซียนพรตระดับปรมาจารย์ไม่มีทางเอาเรื่องพวกนี้มาพูดเล่น ต่อให้เป็นเพียงการคาดเดา ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเดินทางข้ามมาถึงภพภูมิลับแลเพื่อมาตามหามัน ไม่ใช่ธุระของนักพรตด้วยหากเทวโลกอาจล่มสลายไปเพราะหยกพันปีอะไรนี่เป็นต้นเหตุ
เซียวอี้หรู ซื่อหยูอี้ เหนื่อยหน่ายจะพูดกับเซียนเฒ่าผู้ยืนกรานว่าจะต้องครอบครองมันให้ได้
“ข้าฮุ่ยหมิงปรารถนาสิ่งใด ไม่มีคำว่าไม่ได้ ในเมื่อข้าเป็นผู้ละวางทุกสิ่ง แม้แต่เงินทองของนอกกายอันใด ข้าก็ไม่ปรารถนา... เพียงแต่... ของสิ่งนี้สำคัญนัก...”
“ผู้ใดค้นหามันพบก็เอาไปได้เลย ข้าไม่หวง” เทพอู่เฉินพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ข้าไม่มีเนตรแห่งการหยั่งรู้ ไม่มีตรีเนตรแห่งปีศาจ ข้าจึงได้ตัดสินใจเดินทางมาไถ่ถามเทพอู่เฉิน น่าจะเป็นผู้รู้ดีกว่า ข้าพบว่ามันทำอะไรได้... จากตำราลับเล่มหนึ่งของสำนักเทียนหลง และจากญาณทิพย์ของข้า...”
นักพรตอาวุโสลุกขึ้นยืน ส่ายหน้ามองไปรอบ ๆ สวนอันสวยงามซึ่งปกคลุมด้วยเหมันต์สีขาวโพลน เงยหน้าขึ้นมองจันทร์รุธิระปรากฏขึ้นยามบ่ายคล้อย ทั้งที่มันเพิ่งหายไปได้ไม่กี่ชั่วยาม เอามือไพล่ไว้ด้านหลังด้วยท่าทีคล้ายกับศิษย์คนโปรดของท่าน
ทั้งท่าทางการเดินเหิน เหาะขึ้นเวหา กิริยาในทุกอิริยาบถและคำพูดจา ช่างคลับคล้ายคลับคลาสตรีนางหนึ่งไม่มีผิดเพี้ยน สมกับที่นางเล่าว่าอยู่กับชายผู้นี้มาตั้งแต่ถือกำเนิด เปรียบเสมือนบิดาอีกคนหนึ่ง
เทพอู่เฉินยังคงมองตามแผ่นหลังในอาภรณ์สีดำที่คุ้มกันความหนาวนั้น ด้วยจิตใจอาลัยอาวรณ์ คิดถึงภริยาผู้ที่เป็นรักยิ่ง ประจวบเหมาะพอดี อสูรปักษาโฉบบินมาเหยียบยืนบนพนักสีแดง ที่ประจำของมัน ท่านฮุ่ยหมิงก็หันมาให้ความสนใจมัน
“ท่านอาจารย์ ๆ ข้าจะไม่หลับระหว่างการทำงานอีกแล้ว... แต่ข้าง่วงนอนเหลือเกิน...”
“เป็นเจ้ารึ... อาเป้ย เสียงเหมือนกันทีเดียว”
นักพรตอาวุโสหัวเราะร่า พูดกับเจ้าปักษาอย่างเมตตาเอ็นดูเรื่องศิษย์คนนี้ มันมีปีกสีดำซ้อนกันทั้งสามปีก มีหางที่ยาวมาก ดูเชื่องกว่าที่ควรเป็นสัตว์อสูรแสนดุร้าย
เหล่าเทพชั้นผู้น้อยแวะมาทักทายท่านนักพรตผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านฮุ่ยหมิงยกมือขึ้นจรดปลายนิ้วโป้งไว้บนหน้าอก ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม พอพวกเขาบอกลาไป ก็หันมาพูดจายืดเยื้อมากความสารพัดเรื่องราวประสาท่าน ข้างกันนั้นมีเจ้าเหลียนเหลียนนอนหมอบหน้านิ่ง เหมือนกับว่ามันแปรพรรคเสียแล้ว จึงเป็นที่ขวางหูขวางตาบ่าวงูทั้งสองเสียเหลือเกิน
พยัคฆ์อัคคีไม่ขัดใจคนนอกสักคำ ยังไม่เข้าข้างคนใน เหมือนไม่ใช่ผู้พักอาศัยมาเนิ่นนาน
“ข้าสงสัยอยู่สถานที่หนึ่ง มันอาจแอบซ่อนบางอย่างเอาไว้ ข้าจะพาท่านไป ท่านอาจารย์”
“ฮะ เจ้าเหลียนเหลียน เจ้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่านหลวงจีนนอกรีตตอนไหน!?”
“เจ้าอสูรตนนี้ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจากศิษย์ข้า เจ้าจึงได้อ่อนน้อมว่านอนสอนง่าย... มันคงไม่เหมือนพวกเจ้ากระมัง เจ้าพวกปีศาจงู อสรพิษ ไม่เชื่อฟังนัก”
เทพอู่เฉินไม่ได้พูดตอบสิ่งใด ให้คำอนุญาตเจ้าเหลียนเหลียนหากมันจะลองพาท่านนักพรตไปดูสถานที่แห่งนั้น และเมื่อแขกคนสำคัญยังคงพูดพร่ำ สองพี่น้องอสรพิษดูไม่ชอบใจท่านแต่ไม่กล้ามีปากมีเสียงมากมายก็ต้องนั่งฟัง ขนาดเทพอู่เฉินเองจะเอื้อมไปคว้าไหสุรา ท่านฮุ่ยหมิงสะบัดชายอาภรณ์ฟาดเวทสีเหลืองทอง ไหดินเผากระเด็นลงบนพื้น แตกเป็นเสี่ยง
“ขออภัยที่เสียมารยาท แต่ระหว่างสนทนา ไม่ดื่มสุราก็จะดี นี่เป็นเรื่องสำคัญ ท่านควรมีสติครบถ้วน” นักพรตอาวุโสยิ้ม เป็นการตักเตือนในแบบของท่านผู้เคร่งครัดในเรื่องของวินัย เทพอู่เฉินไม่กล้าว่าแขกเสียมารยาท เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงพูดต่อก็คงจะต้องตั้งใจฟัง
“สำนักเทียนหลง... มุ่งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุในธรรมและวิทยายุทธ์ ยามใดชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือให้ไปปราบวิญญาณร้ายปราบมาร ปราบอสูรปีศาจ เจรจากับเทพเซียน เหล่านักพรตก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเขา”
“ท่านเป็นผู้มีเมตตา... ทำให้ข้าคิดถึงนางยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ข้ามีความตั้งใจว่าจะไปพบท่านให้ได้ เจ้าเหลียนเหลียนดันล่วงหน้าไปเสียก่อน”
“ข้าช่วยเหลือได้ทั้งหมดทุกผู้ตนที่กำลังประสบพบความยากลำบาก ปีศาจอสูร ข้าก็ช่วย ไยศิษย์ข้า... ข้าจะช่วยเหลือนางไม่ได้ ต่อให้ต้องฝืนลิขิตฟ้า ข้าจะลองดิ้นรนต่อต้านโชคชะตาดูสักตั้งหนึ่ง”
ทุกถ้อยคำนั้นทำให้เทพปีศาจนึกบางเรื่องขึ้นได้ เมื่อสบมองรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาบนใบหน้าเซียนพรตอาสุโส แสงไฟแห่งความหวังอันมอดไหม้ไปพร้อมกับนาง ก็เปล่งประกายขึ้นมา