"อ้าว...ธี นึกว่าอยู่ค่าย" ฉันหันกลับไปมองตามเสียงก็เจอพี่คีตะที่กำลังจีบปากจีบคอประกอยกับบีบเสียงแหลมเล็กเลียนแบบคำพูดเมื่อก่อนหน้าที่ฉันพูดกับน้องชาย
"นั่นน้องชายแท้ๆ ของหนูค่ะพี่คีตะ" ฉันกลอกลูกกะตาไปมาเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าพี่นั้นกำลังคิดจิตอกุศลคิดอะไรอยู่
แต่ก็นะ... ถ้าหากไม่รั้นก็คงจะไม่ใช่ผู้ชายที่ชื่อว่าคีตะอีกนะแหละ เพราะในตอนนี้เขาไม่แต่จะรอฟังในสิ่งที่ฉันอธิบายจนจบด้วยซ้ำ
"ไอ้ธี มาแข่งกับพี่หน่อยว่าใครจะยิงปลาได้มากกว่ากัน" ด้วยความที่อาศัยอยู่ท่ามกลางหุบเขาลำเนาไพร อาหารการกินโดยส่วนใหญ่เลยมักจะเป็นปลานะคะทุกคน
ซึ่งวิธีการจับปลาฉบับมาวินนั้นก็คือ 'การยิงศร' และเจ้าศรที่ว่านี้นั้นก็คือเหล็กที่มีความหนาประมาณตะปูสิบนิ้วและมีความยาวประมาณหนึ่งฟุตกว่าๆ โดยที่ด้านนึงของศรนั้นจะถูกเกลาจนมีลักษณะแหลมคมเพื่อที่จะเอาไว้สำหรับยิงปลา ส่วนอีกด้านจะทำการรัดหนังยางเส้นใหญ่ติดเอาไว้กับศรจนแน่นหนา เพื่อใช้ในการออกแรงดึงยิงปลา
ขั้นตอนการการยิงปลานั้นก็คือการต้องดำน้ำลงไปเพื่อใช้ศรยิงตัวปลา และอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราหายใจในน้ำได้นานและมองเห็นตัวปลาได้ชัดอย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งก็คือเจ้า 'หน้ากากดำน้ำ' นั่นเอง
"ถึงพี่จะเป็นผู้หญิงผมก็ไม่ออมมือให้หรอกนะจะบอกให้" กันต์ธีว่าก่อนจะทำท่ายืดอกอย่างอวดๆ ฉัน
"เฮียเอาด้วย" ว่าจบเฮียอั๋นก็จัดแจงตรงเข้่าไปหยิบศรและสวมใส่หน้ากากดำน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองในทันที
"พี่อั๋นยิงปลาเป็นด้วยเหรอคะ" แฟนพี่ชายฉันเอียงคอมาถามด้วยความสงสัย
"เดี๋ยวก็รู้" แล้วก็เป็นเฮียอั๋นที่หันกลับตอบและหลิ่วตาให้พี่สะใภ้ของฉันไปหนึ่งครั้ง
นาที่นี้ฉันรู้สึกหมั่นไส้คนเกิดปีมั่นชะมัดเลยบอกตรงๆ
"เร็วๆ หน่อยจะได้ไหม ฉันชักอยากจะรู้ขึ้นมาแล้วสิว่าไอ้เหล็กปลายแหลมเล็กๆ นี้มันจะช่วยหาปลาให้พวกเราทุกคนได้จริงๆหรือเปล่า"
พี่น้ำหวาน พี่จ้าว หรือแม้กระทั่งพี่คีตะเอง ต่างพาก็กันยืนถูมือเข้าหากันไปมาด้วยความตื่นเต้นประหนึ่งว่าที่กำลังจะมีโอกาสได้เห็นในสิ่งที่ทั้งในชีวิตนี้ไม่เคยจะมีโอกาสได้สัมผัสมาก่อนยังไงยังงั้นแหละ
และท่าทางแบบนั้นของพวกพี่ๆ เขามันก็ทำให้ฉันเผลอหลุดหยุดออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
"ไงล ฮ่าๆ" ฉันยืนเท้าเอวหัวเราะเยาะพี่ชายคนโตและน้องชายคนรองอย่างรู้สึกสะใจเมื่อพบว่าทั้งคู่นั่นต่างก็ได้ปลาติดมือกลับมาแค่คนละสี่ห้าตัว ในขณะที่ฉันหาปลามาได้ถึงประมาณหนึ่งกิโลกรัมและแน่นอนว่ามันมากพอที่จะประทังปากท้องของพวกเราทุกคนในที่นี้ได้
คนที่อยู่แต่กับดินกินแต่กับคลองอย่างมาวินแล้วนั้น ไม่มีวันที่สองคนนั้นจะมาทำลายแชมป์ยิงปลาของฉันได้ง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้!
"ออมมือให้หรอก โด่" กันต์ธีไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระในคำพูดของฉัน แต่ฉันมองอิกนะว่าพ่อคนมั่นมันกำลังรู้สึกเสียฟอร์มกับการแพ้ฉันในครั้งนี้เป็นที่สุด!
"สงสัยแก่แล้ว" เพราะความที่โม้ไว้เยอะลูกชายเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสัวต่งซินถึงกับหน้าเจื่อนกันไปเลยทีเดียวค่ะทุกคน
"ใครหิวบ้าง~" พี่เสน่ห์ที่รับหน้าที่เป็นแม่ครัวหัวป่าก์ในวันนี้เอ่ยถามพวกเราทุกคนด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่แน่ใจนะว่าฉันเคยพูดไม่หรือยังแต่พี่สะใภ้ของฉันเธอปรุงอาหารได้อร่อยมากที่สุดในจักรวาลเลยแหละค่ะทุกคน~
"ฉัน,ผม" พวกเราอีกเจ็ดชีวิตที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายในทันที เพราะพวกเราทุกคนต่างก็ไม่ได้มีอะไรตกท้องมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นนี้แล้ว
"ทำอะไรกินคะพี่เสน่ห์" ฉันที่พึ่งกลับมาจากไปเก็บผลไม้ป่าอย่าง 'จำใหม่' มาเป็นเมนูของหวานล้างปากหลังทานอาหาร เอ่ยถามพี่สะใภ้ของตัวเองที่กำลังขมักเขม้นอยู่กับการขอดเกล็ดปลาด้วยความรู้สึกสงสัย
"ว่าจะทำแกงปลาคั่วพริกกับปลาสามรสนะ คุณแม่ท่านเก่งนะที่เตรียมวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารเอาไว้ได้ครบครันมากถึงขนาดนี้"
"หนูแอบกระซิบคุณแม่ไปว่าพี่ชอบทำอาหารค่ะ แม่ก็เลยจัดเตรียมโซนครัวเอาไว้ให้ลูกสะใภ้เป็นพิเศษ! แม่หนูนะ...เห่อลูกสะใภ้คนนี้ของตัวเองยังกับอะไรดี เที่ยวคุยโม้ไปทั่วว่าตัวเองมีลูกสะใภ้สวย"
"ชมกันเกินไปแล้ว" พี่แกว่าก่อนจะบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกเขินอายกับประโยคบอกเล่าของฉัน
"แต่หนูเห็นด้วยกับแม่ของหนูนะ" ฉันแซว และมันก็ยิ่งทำให้พี่แกรู้สึกเขินหนักขึ้นไปกว่าเดิม
"เดี๋ยวยังไงหนูช่วยก่อไฟเนอะ ละฝากให้หน้าที่หุงข้าวเป็นหน้าที่ของหนุ่มๆ เขา"
"อื้ม" พี่เสน่ห์ตอบรับ "ยังไงก็ได้"
เมื่อตกลงกันจนเป็นที่เข้าใจแล้ว ฉันจึงปลีกตัวออกมาเพื่อก่อไฟตามหน้าที่ของตัวเอง
"เฮียอั๋น! หุงข้าว" ก่อนจะหันไปตะโกนบอกให้พี่ชายคนโตรับรู้ถึงหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ
"ครับๆ ข้าวสารอยู่ในถังสีแดงใบเดิมเนอะ" และพี่ชายของฉันก็ยินยอมที่จะลงมือทำในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายแต่โดยดี
ไอ้อั๋นน่ารักนะ (ในเรื่องของคนอื่น) ส่วนเรื่องของตัวเองมันก็เป็นได้แค่ไอ้ผีบ้าผีบอดีๆ คนหนึ่งนี่เอง ฮ่าๆ