“นายทำหน้าเหมือนเห็นผี” อธิปพูดติดตลก นพฤทธิ์หัวเราะเป็นครั้งแรกเมื่อได้ยินคำพูดจากเจ้านายหนุ่ม
“คุณทำให้ผมทึ่งต่างหากล่ะครับ”
“ฉันดูไม่เอาไหนในสายตานายล่ะสิ”
“ไม่เชิงครับ คุณดูจะไม่ใช่คนละเอียดลออขนาดนี้”
“สมัยฉันเรียน ฉันหนีเรียนบ่อย เกเรมาก”
“นายกฤษฏ์บอกว่าคุณเรียนเก่ง แต่ขี้เกียจ”
“ในห้องเรียนน่าเบื่อ โลกภายนอกต่างหากตื่นเต้นเร้าใจ แต่เพราะแม่ขอเอาไว้ ความจริงฉันไม่อยากเรียนหรอก ไม่เข้าใจเลยว่าปริญญาตรีมันสำคัญอะไรกับชีวิต การจะหาเงินหรือการจะมีชีวิตรอดมันขึ้นอยู่กับมันสมอง ไม่ใช่กระดาษแผ่นนั้น กระดาษที่ทำให้คนเรียนจบแล้วไปเป็นลูกจ้างทำงานงกๆ ให้คนอื่นโขกสับใช้งานเยี่ยงทาส ที่สำคัญไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้ามีความคิดผิดแผกไปจากแบบแผนที่วางเอาไว้ ก็เป็นพวกแปลกแยก ทำตัวเด่นก็โดนอิจฉาริษยาแล้วสุดท้ายก็โดนเขี่ยกระเด็นออกจากงาน”
“คุณเป็นตัวของตัวเองต่างหากครับ หลายคนเรียนหนังสือเพราะต้องการให้ตัวเองมีความรู้ติดตัวไว้ประกอบอาชีพ ความรู้ทำให้คนเราพัฒนาครับ ถึงแม้จะมีเจ้าของบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เก่ง เรียนไม่จบ แต่ถ้าเขาขาดบุคลากรที่ดีเยี่ยมแล้ว บริษัทของเขาจะก้าวหน้าและพัฒนาไปได้อย่างไรกัน เขาทำงานคนเดียวไม่ได้หรอกครับ”
“นายยอดเยี่ยมชะมัดยาด ไม่เสียแรงที่พี่กฤษฏ์ส่งนายมาทำงานกับฉัน นายรู้ไหม ตอนเห็นหน้านายตอนแรกฉันคิดว่าไง” อธิปไม่เถียงเอาชนะนพฤทธิ์ เขาชอบพูดอย่างมีหลักการเหตุผล เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะ มากกว่าการพูดคุยกันเพื่อเอาชนะคะคาน
“คิดยังไงครับ”
นพฤทธิ์ถามแล้วอมยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เปิดใจต่อกัน หลังจากมึนตึงกันมาพอสมควร อธิปยิ้มตอบคนหน้านิ่ง คนเราเห็นกันครั้งแรกอย่าเพิ่งตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร ต้องลองคบหา หรือศึกษากันก่อน เหมือนเพื่อนสมัยเรียนของเขาที่ไม่ถูกชะตากัน ตอนนั้นเขาจำได้ว่ามีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน จนบิดามารดาต้องไปเป็นผู้ปกครองบ่อยครั้ง แต่หลังๆ เขากับไอ้เพื่อนที่มีเรื่องทะเลาะกัน กลับมาเป็นเพื่อนรัก เพื่อนตายกันได้ เพราะได้เรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกันอย่างถ่องแท้
“หน้าตานายกวนโอ๊ยน่ะ เรียกว่าหน้าอยากโดนบาทา”
นพฤทธิ์ขำในคำพูดตรงๆ ของอธิป ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดกับเขาแบบนี้ คงโดนเขากระทืบแน่ แต่อธิปกลับพูดตรงไปตรงมา อย่างจริงใจหาใช่จะหาเรื่องเขาหรือหมั่นไส้อะไรหนักหนา แต่เขาพอจะเข้าใจว่าเจ้านายเป็นคนขี้รำคาญ ที่สำคัญเขาไม่ได้คิดว่าอธิปเป็นเจ้านายเลยไม่กล้าทำอะไรหรอก เพราะถ้าเขาจะทำ คนอย่างเขา ถ้าไม่พอใจอะไรใคร เขาก็สู้ยิบตาเหมือนกัน
“แต่นายเป็นคนฉลาด เก็บอารมณ์เก่ง ไอ้หน้านิ่งๆ ของนาย คือความคิดละเอียดรอบคอบที่หัวสมองของนายกำลังคิดอยู่ ไม่เสียแรงที่พี่กฤษฏ์เลือกนายมาทำงานนี้กับฉัน”
“นายกฤษฏ์พูดเรื่องคุณให้ผมฟังเอาไว้เยอะ”
“สงสัยพี่กฤษฏ์ถล่มฉันเอาไว้เยอะสิท่า”
“เปล่าครับ นายรักคุณมาก อยากให้คุณมาอยู่ด้วย”
นพฤทธิ์รู้ดีว่าอธิปตัวคนเดียว เนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ บิดาของอธิปเป็นน้องชายคนเดียวของเกรียงไกร ซึ่งไม่ชอบทำสวนทำไร่ จึงตัดสินใจไปรับราชการอยู่ภาคเหนือ อยู่กินกับภรรยาที่เป็นแม่บ้านจนมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ตลอดเวลาเกรียงไกรก็คอยให้ความช่วยเหลือครอบครัวของน้องชายมาโดยตลอด
อธิปไม่เป็นที่รู้จักของเสี่ยชาญเพราะว่าชายหนุ่มไม่เคยมาอาศัยปักหลักอยู่ที่ไร่ธารธารา ส่วนนพฤทธิ์เองหลังจากที่ครอบครัวของอุกฤษฏ์ช่วยชีวิตเอาไว้ เขาก็เข้ามาทำงานที่ไร่นานหลายปี แต่ทำตัวกลมกลืนกับคนในไร่ เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยมีบทบาทและไม่เป็นที่รู้จัก เนื่องจากคนงานในไร่นั้นมาก จึงไม่มีใครให้ความสำคัญกับคนงานกระจอกๆ คนหนึ่งอย่างเขา ดังนั้นเมื่อนพฤทธิ์แฝงตัวเองเข้ามาในไร่ของเสี่ยชาญพร้อมกับอธิป จึงไม่มีใครรู้จักพวกเขา
“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อขอเอาไว้ก่อนที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุ ฉันก็คงอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้” อธิปนึกถึงบิดาที่เคยขอเอาไว้หลังจากเขาเรียนจบใหม่ๆ เรื่องที่ให้เขากลับมาช่วยงานของผู้เป็นลุงตามคำขอ
จริงๆ บิดาของเขา เกรียงศักดิ์ได้รับมรดกครึ่งหนึ่งของไร่ธารธาราแต่ท่านไม่ชอบงานไร่ จึงคิดจะยกไร่ครึ่งหนึ่งให้พี่ชายอย่างเกรียงไกร แต่เกรียงไกรไม่รับ และบอกว่าจะดูแลเอาไว้ให้ หากมีลูกมีหลานอยากจะกลับมาทำไร่ก็จะยกส่วนนั้นให้
พอเกรียงศักดิ์ได้รับความลำบากก็เริ่มคิดถึงลูกชายคนเดียว เพราะอาชีพรับราชการของเขานั้นเงินเดือนน้อย ต้องใช้จ่ายให้พอเพียงอย่างประหยัด แต่โชคดีที่มารดาเป็นคนขยัน มักจะทำขนมไปส่งขาย และทำงานบ้านเองทุกอย่าง ครอบครัวจึงไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สิน
แต่เกรียงไกรอยากให้หลานชายคนเดียวมารับช่วงกิจการครึ่งหนึ่งของน้องชาย ซึ่งตอนนั้นอธิปก็ตัดสินใจว่าจะเดินทางมาลองทำไร่ไถนาดูสักพักหนึ่ง เพราะเขาชอบชีวิตท้าทาย ถ้าเขาทำมันได้ก็จะทำมันต่อไป และรับมรดกที่เหลือจากผู้เป็นปู่ แต่ถ้าเขาเบื่อหน่ายและคิดว่าไม่เข้ากับเขา ก็จะยกทรัพย์สินพวกนี้ให้ผู้เป็นลุง
ญาติพี่น้องของเขาดีอยู่อย่างคือไม่ละโมบโลภมากอยากได้ของคนอื่น ครอบครัวทางฝั่งบิดาคือเกรียงไกรนั้นรักน้องชายมาก คอยช่วยเหลือมาตลอด แต่พ่อของเขาเสียอีกที่เกรงใจไม่อยากรับเงินทองพวกนั้น ส่วนครอบครัวของแม่เขานั้นไม่มี เพราะแม่เป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นมาจากสถานสงเคราะห์ และท่านก็มาพบรักกับพ่อและแต่งงานอยู่กินกัน ทำตัวเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่ดี เขารักพ่อกับแม่ของเขาสุดหัวใจ พวกท่านให้ความรักกับเขาอย่างเต็มเปี่ยม
เขาเองเกเรทำให้พวกท่านเสียใจบ่อยครั้ง เพราะความใจร้อนและเอาแต่ใจตามประสาวัยรุ่นคึกคะนองที่มีเรื่องชกต่อยกันจนมีชื่อเสียในเรื่องความเป็นนักเลงอันธพาลกระฉ่อนไปทั่วจังหวัด
“ฉันก็รักพวกเขา” อธิปพูดจากใจ แม้ไม่ได้อยู่กับเกรียงไกรและอุกฤษฏ์มาตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อเจอกันสายใยแห่งความรักเพราะเป็นสายเลือดเดียวกันก็แผ่ซ่านอาบไปทั่วกายของเขา
ตอนที่เขาเดินทางมาที่นี่ใหม่ๆ และรับรู้เรื่องราวของเสี่ยชาญ เขาจึงเป็นคนอาสาที่จะมาช่วยเหลือสืบเรื่องเสี่ยชาญให้เอง คราแรกทั้งผู้เป็นลุงและพี่ชายของเขาก็ไม่ยอม เขาจึงบอกว่าหากไม่อยากให้เขาไปจากไร่ธารธาราและอยู่ที่ไร่ธารธาราเพื่อทำงานที่นี่ต่อไป ต้องให้เขาช่วยสืบเรื่องเสี่ยชาญ ดังนั้นพี่ชายและลุงจึงยินยอมในใจที่สุด เพราะไม่อยากให้หลายชายคนเดียวไปตกระกรรมลำบากที่ไหนอีก
“ตอนแรกผมนึกว่าคุณเป็นพวกขี้โมโห ไม่เอาไหนอย่างที่นายกฤษฏ์โม้เอาไว้”
“ดูถูกกันชะมัด”
“แต่พอผมเห็นท่าทีและแววตาของคุณที่ซุกซ่อนความมุ่งมั่นเอาไว้ ผมรู้ว่าตัวเองคิดผิด”
“โบนัสนายสิบสองเดือนรอรับได้เลย หลังจากเสร็จงานนี้”
นพฤทธิ์โค้งศีรษะให้ ก่อนจะพูดติดตลก “ขอพระคุณครับ ผมขอรับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ”
“ฉันไม่ได้บ้ายอ” อธิปถลึงตาใส่คนชอบล้อเลียน อีกฝ่ายยังทำหน้านิ่งๆ แต่แววตาอ่อนโยน
“ผมรู้ครับ”
“นี่เป็นทางออกจากโกดังออกได้สองทาง ตรงด้านที่พวกมันเก็บอุปกรณ์การเกษตรเอาไว้ อีกทางเป็นที่ที่พวกมันเก็บข้าวสารเอาไว้”
“คุณทำได้ยังไง ในเวลาไม่กี่นาที” นพฤทธิ์ทึ่งจริงๆ กับความสามารถของอธิป อีกฝ่ายสามารถเขียนแผนที่คร่าวๆ ทั้งทางเข้าทางออก และสถานที่เก็บข้าวของต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ไม่มีอาการของคนคิดไม่ออก หรือไม่มั่นใจเลยสักนิด
“ฉันเห็นห้องหลายห้องในนั้น มีห้องนึงเป็นห้องใหญ่ จะเข้าไปต้องมีรหัส น่าจะเป็นห้องที่มันผลิตยาเสพติด หรืออะไรสักอย่าง”
“แล้วห้องที่เหลือล่ะครับ”
“เป็นห้องโล่งๆ ไว้เก็บอาหารแห้ง ด้านในน่าจะเตรียมยัดไส้ยานรกของพวกมัน”