พรลักษมีแหงนมองท้องฟ้าที่มืดคล้ำลงพร้อมกอดกระเป๋าเป้หนังอย่างดีแต่มีสภาพเก่าเอาไว้กับอกแน่น แต่เธอก็ยังใช้มันอยู่เพราะมันมีคุณค่าทางใจคือเหตุผลหลัก และสอง เธอไม่มีเงินมากพอที่จะหมดไปกับเสื้อผ้า รองเท้าหรือกระเป๋าเหมือนเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม เจ้าตัวกระชับสายคล้องเข้ากับบ่าแล้วเร่งฝีเท้าเข้าตัวตึกที่เป็นสิ่งเดียวที่ฟรีแม้กระทั่งค่าน้ำและค่าไฟก็เรียกเก็บที่อาสิด
รถเมล์ที่นั่งมานั้นแม้ไม่เสียสักบาทเลยทำให้ต้องยืนตลอดทาง เพราะฝนตกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยบวกกับเป็นช่วงเวลากลับบ้านของใครหลายๆคนทำให้เธอแทบหมดแรง
‘บ้าน’
คำๆนี้มีความหมายกับใครอื่นเกือบทุกคน แต่คงไม่ใช่เธอ หญิงสาวแค่นยิ้มแล้วเดินตรงดิ่งไปยังประตูกระจกบานเลื่อนแบบอัตโนมัติ พลันโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นจนรู้สึกได้ พรลักษมีต้องตั้งเตือนแบบนั้นเพราะกลัวจะรบกวนขณะทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารชื่อดังแบรนด์นอก หญิงสาวก้มหน้าควานหามันในกระเป๋าที่ของรกจนบอกตัวเองว่าควรจัดการทิ้งขยะในนี้เสียที ขาเรียวเสลาในกระโปรงพีทดำยาวคลุมเข่าพาเดินเข้าไปด้านในตึกอย่างเคยทำเป็นประจำ เมื่อควานหาจนเจอกลับพบว่าหน้าจอเป็นเบอร์ไม่คุ้นเคยและสายหลุดไปแล้ว ช่างเถอะถ้ามีธุระจริงคงโทรกลับมาเอง
เสี้ยววินาทีนั้นเองมีแรงประทะจากร่างแน่งน้อยที่สวนออกมาทางด้านในล็อบบี ชนเข้ากับเธออย่างจังจนเสียหลักเกือบล้ม แถมด้วยกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกลอยเข้ามากระทบโสตประสาทจนเริ่มเวียนหัวขึ้นมาหน่อยๆ และเสียงหวานเลื่อนที่ฟังแล้วน่าหมั่นไส้ชอบกล
“ว๊าย! คิง ไม่เอาค่ะ ไม่เล่น”
คนที่ชนเธอไม่แม้แต่จะหันมาขอโทษ ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เธอเองไม่ได้สนใจคิดอยากจะมองเขาด้วยซ้ำ เพราะใจนึกค่อนยัยคนไม่มีมารยาทคนนั้นอยู่ ที่ชนคนอื่นแล้วยังทำเฉย
“ขอโทษครับ”
ชายคนนั้นพูดขึ้นแทนคนที่ชนเธอ แต่พรลักษมีไม่ให้ราคา เธอตวัดตามองผ่านแล้วตั้งตัวตรง เดินต่อไปยังลิฟต์ เพื่อขึ้นห้องพัก ยืนรอไม่นานประตูสีเงินเปิดอ้าออก แล้วเธอก็ต้องหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อสองคนที่เดินตามเข้ามาด้วยนั่น คือสองคนที่เธอเจอตรงหน้าประตูทางเข้าเมื่อครู่
ร่างสูงใหญ่เคียงชิดด้วยร่างเย้ายวนกระแซะอยู่ข้างๆไม่ห่าง ยืนเบียดเกือบจะเป็นบุคคลเดียวกันอยู่รอมร่อ เธอไม่เสียสายตามองทั้งสองคนอีกต่อไป ออกเดินนำหน้าเข้าไปก่อน
ชายหญิงสองคนนั้นเดินตามเข้ามาภายหลัง แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง เสียงหญิงสาวที่ชนเธอก็ดังขึ้น
“คิงขา แซนขอ...”เธอกระซิบบางอย่างข้างหูของชายคนเดียวในลิฟต์แล้วหัวเราะ ระริกระรี้ ซ้ำร้ายมือยังกดปุ่มเปิดค้างเอาไว้อย่างไร้มารยาทที่สุด สายตาออดอ้อนอ่อนหวานให้คนที่ถูกเรียกว่า ‘คิง’ อยู่นาน จนพรลักษมีชักทนไม่ไหว แสดงออกมาทางสีหน้าทันที
“ผมเหนื่อยแล้ว คุณกลับเถอะ ผมจะขึ้นห้อง”
ชายคนนั้นบอกเสียงเรียบ และดูเหมือนชายที่ถูกเรียกว่า ‘คิง’ จะพูดคำไหนคำนั้นราวกับความหมายของชื่อ หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าแซน จึงยอมผละจากไปแต่โดยดี ประตูปิดลงและคงไม่มีเหตุให้ต้องมาเปิดมันอีกนะ เธอเหนื่อยมากแล้ว และอยากพักผ่อนเหมือนกัน มือของเธอยื่นของไปกดหมายเลขชั้นเป็นจังหวะเดียวกับเขาที่ยื่นมือออกมาจะกดเช่นกัน
เขาแบมือออกทำท่าเหมือนเป็นสุภาพบุรุษเสียเหลือเกินให้เธอกดหมายเลขก่อน พอเห็นเลขที่เธอกด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยืนนิ่งๆ
พรลักษมีไม่สนใจเขาอีกต่อไป เธอเชิดหน้าแต่สายตาก็บังเอิญไปสบกับเขาอีกครั้งที่เงาบนประตูเบื้องหน้า แววตาที่มองสบเธอดูลุ่มลึก วาววับ จนพรลักษมีรู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ เมื่อประตูเปิดออก เธอรีบกระชับกระเป๋าพุ่งตัวล่วงออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเดินออกมาจนพ้นช่องที่เว้าไว้สำหรับลิฟต์ เลี้ยวขวาเดินจนเกือบถึงประตูห้องตัวเอง เสียงเมาๆก็ดังข้ามฟากมาทักทาย
“อะ อ้าว นึกว่าสาวสวยที่ไหน ไหงมาอยู่นี่ได้ล่ะครับ”
พรลักษมีเพ่งมองพอเห็นว่าใคร เธอเบ้ปากเดินตรงต่อไปยังห้องของตนเองไม่อยากเสวนาด้วยแม้เพียงครึ่งนาที
ปกติชั้นที่เธออยู่เหมือนจะไม่มีใครพัก แล้วตฤนโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร แต่แล้วชายคนที่ทักเธอหมือนจะไม่ยอมเช่นกัน เมื่อหญิงสาวมีท่าทีเฉยชาใส่ ด้วยว่าชอบหล่อนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนหน้าแล้ว
หน้าตาสวยล้ำผิวขาวใสราวกับจะมองทะลุลงไปได้ แต่กลับมีนิสัยรั้นนิดๆราวม้าป่า ชายหนุ่มร้อยทั้งร้อยล้วนอยากปราบพยศสาวอย่างเธอกันทั้งนั้น ตฤนถึงกับคิดกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า หากได้ลองสาวเจ้าสักครั้งสองครั้ง ขี้คร้านพรลักษมีจะต้องร้องไห้ตามเขาเหมือนเด็กน้อยร้องตามแม่แน่ๆ นึกมาถึงตรงนี้ใจก็เริงร่าพาขาออกเดินเร็วๆเข้ามากระชากข้อมือบอบบางของเธอแล้วยกขึ้นดอมดมอย่างย่ามใจ
พรลักษมีชะงักตกใจ แต่แล้วเมื่อตั้งสติได้เลยทำตัวนิ่งๆ ยิ้มและโน้มตัวเข้าไป กระซิบบอกข้างหูตฤนเบาๆว่า “ใจเย็นก่อนสิตฤน รอลูกหมีเปิดห้องแล้วเราเข้าไปข้างในด้วยกันดีกว่านะ"
ได้ยินแบบนั้นตฤนถึงตาลุกวาว ยอมปล่อยข้อมือของเธอในที่สุด พอเห็นอีกฝ่ายสงบลง พรลักษมีจึงส่งยิ้มที่หวานกว่าเก่าให้ มือที่ตฤนยอมปล่อยล้วงเข้าไปในกระเป๋า ควานหาของทำท่าราวกับจะหยิบคีย์การ์ดห้องออกมาเปิด แต่หญิงสาวกลับหยิบเอามีดพกออกมาแทนแล้วกดเปิดมันออก พุ่งสวนเข้าหาชายที่จาบจ้างเธอทันที แต่ตฤนหลบทันพร้อมกับโวยวายเสียงดังลั่นชั้นตึก
“ยัยตัวเเสบ เล่นแบบนี้เลยเหรอ”
เสียงเอะอะที่ดังแว่วมา เรียกให้คนที่ยังยืนคุยโทรศัพท์ตรงหน้าลิฟต์ รีบวางสายและตามออกมาดู เมื่อเห็นหญิงสาวคนเมื่อครู่พร้อมอาวุธในมือกำลังทำร้ายน้องชายต่างมารดา เขาจึงรีบเข้าไปห้ามทันที พรลักษมีกำลังโกรธจนหน้ามืด เพราะแค้นตฤนมาแล้วครั้งหนึ่งและครั้งนี้ตฤนยังคงทำแบบเดิม เธอเลยคิดจะสั่งสอนถึงกับยอมติดคุก หากไอ้ผู้ชายสารเลวคนนี้จะตายๆไปเสีย
ฉึบ!
แต่...มีดพกของเธอพุ่งเข้าไปเฉือนที่ต้นแขนชายอีกคน
ของเหลวสีแดงสดไหลอาบออกมาจากแขนเสื้อของเขาทันที ตฤนสร่างเมาทั้งเหล้าและยา ละล่ำละลักชี้หน้าว่าพรลักษมีลนลาน
“แก...นังตัวแสบ แก แก...จะฆ่าฉันเลยเหรอ”
ตฤนโวยวายไม่ได้ศัพท์ต่ออีกสองสามคำเสียงลั่นชั้น แล้วหันมาพูดกับพี่ชายเสียงสั่นเพราะกลัวเลือด
“ผมจะไปตามคนมาช่วยนะพี่คิง”
จักรพรรดิกลับยืนนิ่ง ส่ายหน้าไม่ได้สนใจตฤน แล้วกุมต้นแขนตรงที่มีเลือดไหล ตาคมวาวราวกับสายตาเหยี่ยวมองปราดไปยังคนที่ทำร้ายเขา ด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก และพรลักษมีก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันทีเมื่อได้สบตาตอบเขา สถานการณ์ตอนนี้มีเพียงเธอและชายที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรกยืนประสานสายตา ส่วนตฤนวิ่งหายเข้าไปในช่องที่ทำไว้สำหรับลิฟต์แล้ว
จักรพรรดิจึงหันมาคุยกับเธอเสียงราบเรียบว่า
“ไม่คิดจะช่วยผมหน่อยเหรอ”
พรลักษมียังคงตกใจจึงตั้งสติไม่ถูก เพราะเกิดมาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำร้ายร่างกายใคร ตอนแรกที่คิดจะแทงตฤนนั้นเธอยอมรับว่าขาดสติ แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่าชายอีกคนต้องมารับเคราะห์แทน แถมเขายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องในอดีตของเธอกับตฤนอีกด้วย แล้วเธอจะทำอย่างไร เมื่อนึกอะไรไม่ออก จึงได้แต่บอกเสียงติดจะสั่นๆเล็กน้อย
“ฉัน...ฉันขอโทษค่ะ”
“เอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคุณควรมาดูแผลให้ผม”
เธอมองที่แผลของเขา ก่อนตั้งสติแล้วเดินไปเปิดประตูห้องตัวเองแบบงงๆอ้าทิ้งเอาไว้ พอหันมามองเขา ก็สบเข้ากับตาคมวาววับที่จับจ้องเธออยู่ ปากแดงสดเม้มนิดๆก่อนคลายออก เชื้อเชิญเขา
“เข้ามาก่อนเถอะค่ะ”
ห้องชุดของเธอเป็นห้องที่จัดอย่างเรียบๆ เครื่องตกแต่งมีเท่าที่จำเป็น มองดูก็เห็นความเป็นตัวตนของเธอในห้องนั้น
ดีที่พรลักษมีเคยได้รับชุดเฟิร์สเอดมาฟรี ในนั้นมีอุปกรณ์ทำแผลครบครับและสะอาดพอดู เธอเดินนำเขาไปที่เก้าอี้ยาวบุนวมค่อนข้างเก่า แต่ดูสะอาด เขาเดินตามเข้ามาแล้วนั่งลง จึงค่อยปลดกระดุมออกอย่างช้าๆ สายตาเหยี่ยวจับจ้องเจ้าของห้องไม่วางตา จนเธออดเม้มปากไม่ได้ด้วยความประหม่าและเมื่อเห็นแผล ก็ทำเอาใจสั่นหวิวๆคล้ายจะเป็นลมมันไม่ได้ลึก ลักษณะคล้ายมีดบาดทั่วๆไปแต่เธอกลัวเลือด แล้วทำท่าฝืนเอาไว้ ไม่เคยมีใครรู้ว่าเธอเกลียดหรือกลัวอะไร และไม่ควรจะมีคนรู้ด้วย พรลักษมีบอกตัวเองอย่างนั้นเสมอ
และเพื่อไม่ให้ห้องเงียบจนเกินไป หญิงสาวจึงหยิบอุปกรณ์ออกมาเตรียมทำแผลรอท่าพร้อมกับชวนเขาคุยไปด้วย เพราะเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นทุกทีที่สบตาเหยี่ยวคู่นั้น ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นที่เธอเคยรู้จัก เมื่อครู่เธอได้ยินตฤนเรียกเขาว่าพี่คิง ไม่แน่สองคนนี้อาจเป็นพี่น้องกัน แต่ทำไมหน้าตาของทั้งคู่ไม่มีเค้าคล้ายคลึง แล้วเธอจะให้ความสนใจทำไมกันกับคนพวกนี้
“ฉันขอโทษค่ะ แต่คุณก็ทะเล่อทะล่าเข้ามา ไม่ดูตาม้าตาเรือ และฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณนะคะ”
พรลักษมีออกตัวหน้าเรียบสงบ บอกตัวเองให้ทำเฉยเอาไว้ อย่ารู้สึกประหม่ากับสายตาเหยี่ยวของเขาเด็ดขาด
“แล้วคุณตั้งใจจะทำร้ายใคร นายตฤนเหรอ” เสียงเขาถามขึ้น สายตาเหยี่ยวยังคงจับจ้องเธออยู่ จนคนถูกมองเริ่มพาลไม่พอใจว่าเขาจะมองอะไรนักหนา เลยสะบัดเสียงตอบ
“ใช่ค่ะ”
“ผมจะไม่คุยเรื่องคนอื่นนะ และผมก็อยากให้คุณรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วย”
เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆเหมือนกับว่ากำลังคุยกับเด็กไม่ประสาคนหนึ่ง แล้วให้ตายเถอะทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังหยั่งความรู้สึกบางอย่างของเธออยู่ เลยเงยหน้าแวบหนึ่งบอกความจริงถึงสถานะตัวเองออกไป
“ฉันไม่มีเงินนะคะ ถ้าหากคุณจะเรียกร้องเอาเงิน ...” ยังพูดไม่ทันจบเขารีบแทรกขึ้น
“ผมไม่ต้องการเงิน” คนพูดมองสบมา มันมีคำยืนยันในนั้นว่าเขาไม่ต้องการเงินจริงๆ และเธอจะไม่ถามกลับหรอกว่าเขาต้องการอะไร คิดว่าพอรู้คำตอบดี ไม่ใช่เด็กสาววัยใสนี่ ที่แบ๊วจนไม่รู้ว่าสายตาวาวๆของคนที่มองมามันมีความหมายอย่างไรบ้าง
แล้วเขาก็พูดถึงสิ่งที่ต้องการ
“ผมอยากให้คุณทำแผลให้ผมทุกวันจนกว่ามันจะหายดี”
พรลักษมีก้มหน้าก้มตาปิดปากแผล แล้วใช้เทปพาดปิดทับอีกทีไม่พูดอะไรเพื่อต่อบทสนทนาของเขา เสียงเข้มจึงคุยต่อ
“วันละสองรอบเป็นไง เช้า กับ ...ค่ำๆ”
“ค่ำแค่ไหนคะ” เธอย้อนถามไม่ได้ตั้งใจจะกวนเขาสักนิด
จักรพรรดิมองใบหน้าสวยใสที่ก้มลงจัดแจงกับแผลของเขาตาเหยี่ยวมองยัง ไรผมของเธอที่ยุ่งเหยิงนิดๆแต่นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ามอง น่าหลงใหล เขาพอรู้แล้วล่ะว่าน้องต่างมารดาทำไมถึงถูกเธออาฆาต ความรู้สึกที่มีคงไม่ต่างจากเขาตอนนี้แน่ๆ
“สักสองทุ่มเป็นไงคงไม่ดึกไปสำหรับคุณหรอกนะ”
“ได้ค่ะ”
พรลักษมีจัดเก็บของต่อหลังเสร็จจากแผลของเขา จนเรียบร้อยนั่น จึงเงยหน้ามามอง เห็นว่าอีกฝ่ายใช้สายตาจับจ้องอยู่ เลยเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าเขามีอะไรจะพูดต่อ เสียงเข้มจึงเปล่งออกมาราวกับจะท้าทายเธอ
“ที่ห้องของผม”