ผมล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาอีกครั้งหลังจากแยกทางกับเจ๊บาร์บี้เรียบร้อย และเดินไปพิงราวกันตกของระเบียงข้างกล้องส่องทางไกลหยอดเหรียญ พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ฟังเสียงเพลงสากลรอสายอยู่จนมันตัดไป เฮียก็ยังไม่รับโทรศัพท์
“ทำอะไรอยู่วะ”
ผมบ่นเบาๆ อย่างหงุดหงิด ก่อนกดโทรซ้ำ แล้วเงยหน้าขึ้นเห็นคนตัวบางที่ปล่อยผมยาวตรงสีดำขลับทิ้งตัวลงกลางแผ่นหลังยาวถึงสะโพก ทั้งยังตัดกรอบผมข้างหน้าปิดแก้ม และสวมหน้ากากแฟนซีอันโตเข้ากับชุดรุ่มร่ามประมาณอาร์ตตัวแม่และกำลังเดินอยู่ในห้างผ่านประตูกระจกใสที่ด้านในสว่างไปด้วยแสงสีเหลืองอมทอง
นั่นมัน...
((ฮัลโหล))
“ปิ่นโต...”
((อะไรของแกตะเกียบ จะโทรสั่งข้าวกินแต่กดเบอร์ผิดรึไง -_- งั้นแค่นี้นะ ฉันไม่ว่าง))
“เฮ้ย! เฮีย เดี๋ยวก่อน!”
เรียกไม่ทันจบเฮียก็กดวางสายไปเรียบร้อย ขณะที่ผมรีบเดินเร็วๆ เข้าไปในห้างและมองหาปิ่นโตพร้อมกับกดโทรออกเบอร์เดิมอีกครั้งเพื่อฟังระบบฝากข้อความอัตโนมัติเป็นสัญญาณว่าเฮียปิดเครื่องหนีไปแล้ว! ปัดโธ่โว้ย!
“ปิ่นโต!”
ผมตะโกนเรียก เมื่อเห็นหลังเธอไวๆ ตรงมุมทางเดินเข้าไปทางห้องน้ำ ก่อนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้ยินเสียงนี่หว่า -_-; เลยเดินกึ่งวิ่งตามไปพบกับความว่างเปล่าของทางเดินแคบๆ ที่ทอดยาว
ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนก้าวถอยหลังออกมายืนพิงกำแพงรอด้านนอก และกดโทรออกหากังฟู
((Sup dude!))
“อย่ามาตลก! มึงเปลี่ยนโหมดมาพูดไทยเดี๋ยวนี้เลยนะกังฟู -*- และบอกกูทีว่าเฮียเติ้ลยังอยู่กับมึงรึเปล่า”
((อยู่ มึงมีไร?))
“ขอกูคุยกับเฮียหน่อย”
((เฮียมึงไม่ว่าง เพิ่งเข้าไปอาบน้ำเมื่อกี้เอง))
“มึงว่าไงนะ!!!”
((ทำไมต้องตะคอกด้วยว้า! ก็เรื่องชิลๆ นี่หว่า มึงเองก็ทำออกบ่อยไป อ๊ะๆ หรือริจะเป็นน้องติดพี่ขึ้นมา จะว่าไปคืนนั้นตอนเห็นรูปเฮียมึง มึงก็กันท่ากูเหมือนกันนี่หว่าที่บอกว่าพี่เติ้ลเป็นผู้หญิงข้ามเพศน่ะ -*- เออ... หรือมึงจะพูดจริงแต่หมอสมัยนี้เก่งก็ไม่รู้นะ... กูชักสับสนกับตัวเองแล้วว่ะ ฮ่าๆ เฮ้ย! แค่นี้ก่อนนะ ประตูห้องน้ำแง้มอยู่อะ สงสัยกูมีธุระต้องเคลียร์กับเฮียมึงหน่อยละ... See ya!))
“ไอ้...!!!”
ตู๊ด! ตู๊ด! ตู๊ด!
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ตัดไปทำเอาผมใจหายวาบ ก่อนกดโทรออกอีกครั้งและคราวนี้ไม่ว่าโทรกี่สายกังฟูก็ไม่รับ! ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงอย่างกังวลใจ
ทำไมต้องเป็นกังฟูด้วยวะ...
ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่ามันเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ! เฮียของผมถึงจะชอบโอ๋หมา ด่าน้อง แต่สำหรับเรื่องความรัก เฮียเติ้ลมีประสบการณ์เท่ากับศูนย์เลยนะ!
จะไปตามคนกะล่อนแบบกังฟูทันได้ยังไง!!
รอปิ่นโตอยู่นานกว่าเธอจะเดินออกมาทำท่าประหลาดใจที่เห็นผม... ทั้งที่ทีแรกผมดีใจมากเลยนะที่บังเอิญมาเจอเธอที่นี่ แต่เรื่องของเฮียกับกังฟูกลับทำให้ผมยิ้มไม่ออกเอาซะเลย ผมยืนพิงกำแพงนิ่ง ถอนหายใจเบาๆ ขณะที่เธอยืนเอียงคอมองอย่างสงสัย
อ่า น่ารักแฮะ...
ผมยิ้มจาง ด้วยความรู้สึกราวสิ่งที่อัดแน่นในอกข้างซ้ายมันทุเลาเบาไปได้ด้วยสีหน้าไร้เดียงสาของเธอ ก่อนยกมือขึ้นวาดในอากาศถาม
‘คุณมาทำอะไรที่นี่น่ะ?’
‘มาเที่ยว’ ปิ่นโตยกมือขึ้นสะบัดตอบสั้นๆ
‘มาคนเดียวเหรอ?’
‘ใช่’
‘ตอนนี้ว่างรึเปล่า?’
ปิ่นโตพยักหน้าหงึกๆ
‘งั้นไปเดินเล่นกับผมนะ ^ ^’
พอยื่นมือออกไปข้างหน้า ปิ่นโตก็ดูลังเลใจนิดหนึ่งก่อนค่อยวางมือเล็กๆ ลงบนมือผมอย่างกลัวๆ กล้าๆ อาจเพราะตั้งแต่เราเริ่มออกเที่ยวด้วยกันมา ผมไม่เคยขอจับมือหรือถือวิสาสะล่วงเกินเธอมาก่อนแบบที่งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมปล่อยเธอมาได้นานขนาดนี้ -_-;
แต่ก็อาจอย่างที่ผมเคยบอก...
บางทีผมก็รู้สึกว่าเธอ ‘ใช่’
พวกเราพากันเดินไปตาม Waking street ของพัทยาใต้ที่หลากหลายไปด้วยร้านค้าและสถานบันเทิงมากมายให้คนกลางคืนเลือกเข้าไปเที่ยวตามอัธยาศัย จะว่าไปมีบาร์เปิดใหม่เยอะเลยนะเนี่ย ผมมาที่นี่ครั้งสุดท้ายกับพวกกังฟูก็สองสามปีมาแล้วมั้ง? หลังจากนั้นผมก็เริ่มรับงานถ่ายแบบเลยไม่มีเวลาออกนอกกรุงเทพฯ ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน
พอนึกถึงกังฟูก็อดเป็นห่วงเฮียอีกไม่ได้...
เฮ้อ! เอาน่า ผมไม่ใช่พ่อเฮียซะหน่อยถึงจะห่วงตามประสายังไงก็เถอะ เฮียโตแล้ว... คิดเองได้ว่าอะไรดีไม่ดี แล้วเฮียก็ดูแลผมมาตลอดนับแต่หกปีก่อนที่พวกเราเสียพ่อกับแม่แป๋วไป ถ้าเฮียจะหาความสุขให้ตัวเองบ้าง ผมจะใช้สิทธิ์อะไรห้ามไม่ให้เฮียทำแบบนั้นแบบนี้ล่ะ?
ทั้งที่ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร...
ส่วนกังฟู ต่อให้มันคั่วผู้หญิงมามากเท่าไหร่ก็คงไม่ทำให้เฮียเสียใจหรอก เพราะเฮียเป็นพี่คนเดียวของเพื่อนสนิทมันนะ! แล้วเฮียเองก็เป็นคนที่มีบุคลิกน่าเกรงขามอยู่แล้ว กังฟูมันต้องเกรงเฮียผมบ้างอะไรบ้างเหมือนที่ผมกับพวกเด็กในซอยบ้านเก่าถึงกับสถาปนาให้เฮียเป็นขาใหญ่นั่นไง
พอๆ! พอได้แล้วไอ้ต๊ะ... มีอะไรสงสัยเดี๋ยวค่อยไปถามเฮียที่บ้านดีกว่า นานๆ จะได้เจอปิ่นโตซักทีอย่าทำมัวแต่คิดเรื่องชาวบ้านสิวะ เสียบรรยากาศหมด -*-
พอดึงสติตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันที่กำลังจูงมือปิ่นโตอยู่ได้ ก็เหมือนเวลามันไหลไปข้างหน้ารวดเร็วจนตามแทบไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีก็เกือบตีหนึ่งแล้ว และคนตัวเล็กที่วิ่งไปดูของทางนั้นที วิ่งกลับมาดูโชว์ข้างถนนทางนี้ที ท่าทางสดใส ก็เริ่มเดินเหมือนลากขานิดๆ ซ้ำยังหาวหวอดเป็นระยะ
‘ง่วงแล้วเหรอ’ ผมถามด้วยภาษามืออย่างเคย และเธอก็พยักหน้าตอบ
‘คุณพักที่ไหน?’
ปิ่นโตเงยหน้ามองผม ก่อนส่ายหน้าเบาๆ แล้วยกมือขึ้นวาดในอากาศแปลได้เป็นข้อความที่ทำเอาผมอ้าปากน้อยๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่ได้แปลผิดใช่มั้ย?
ที่ปิ่นโตบอกผมว่า...
‘ขอไปพักกับคุณด้วยคนสิ’
ผมพาเธอกลับมาที่โรงแรมที่พักแบบงงๆ กับชีวิตไม่หาย โดยที่ปิ่นโตเองก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมามากมายนอกจากกระเป๋าย่ามแบบเข้ากับชุดที่เธอใส่ซึ่งผมเห็นเธอสะพายมาแต่แรก พอเข้ามาในห้องได้ปิ่นโตก็ตรงดิ่งไปที่หน้าต่างกระจกใสริมระเบียงที่พอเปิดม่านออกจะเห็นแสงสีระยับของเมืองที่ไม่เคยหลับแบบพัทยา
‘ไปอาบน้ำสิ’
พอปิ่นโตหันกลับมาสะบัดมือบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมก็ชี้มือเข้ามาตัวเองแบบสติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ และสาวน้อยข้างหน้าต่างก็พยักหน้าหงึกหงักก่อนหันไปมองวิวด้านนอกต่อ ปล่อยให้ผมเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยังไงชอบกล แปลกคนจริงไอ้ต๊ะ! ทำเหมือนพวกไก่อ่อนไปได้...
ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อย!