EP 5 พร่ำเพรื่อ

1372 คำ
“สบายดี...” ชวนคุยได้ไม่เท่าไหร่เฮียก็ตัดบทยอมสอนภาษามือให้เพราะเพิ่งได้ดูผลสอบของผมที่ล้วนแล้วมีแต่ A กับ B+ ต้องขอบคุณสมองน้อยๆ ที่แสนชาญฉลาดของตัวเองสินะเนี่ย ^0^ ช่วงเที่ยงวันธรรมดาแบบนี้ลูกค้าน้อย ผมเลยได้เรียนรู้ภาษามือจากเฮียมามากจนคิดว่าพอจะจำไปใช้ได้คร่าวๆ แล้วละ แต่มีคำนึงที่เฮียไม่ยอมสอนซะที ทั้งที่มันเป็นคำที่ผมอยากรู้มากที่สุดแท้ๆ นะ! “ถ้าจะบอกว่ารักทำไงล่ะเฮีย” เฮียหันมองผม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสวยราบเรียบดุจกระจก “ต๊ะ” เอาแล้วไง ถ้าเฮียไม่เรียกผมว่าไอ้ตะเกียบละก็ แสดงว่าแกเข้าโหมดจริงจังเป็นอย่างมาก และผมต้องหุบปาก ฟังอย่างเดียว “ถ้าไม่รู้สึกจริงก็อย่าพูดคำนั้น” “แต่ถ้ารู้สึก มันพูดยากนะเฮีย” ตอนนั้นกับซายน์... ผมก็ต้องใช้ภาษากายสื่อไปแทนคำพูด... จึงรู้ดีว่ามันยากแค่ไหน “ก็รู้นี่” มือบางยื่นมากดหน้าอกผมหนักๆ บริเวณหัวใจ “ถ้าเริ่มรู้สึกกับใครก็เก็บมันไว้ในนี้ เก็บไว้ให้เต็มจนล้น...ค่อยพูดออกมา” “...” “แล้ว ‘รัก’ จะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่พร่ำเพรื่อแบบที่แกใช้อยู่” “...” “และผู้หญิงคนนั้น ก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากที่สุดในโลก” นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเฮียยิ้มสวย แต่รอยยิ้มนั้นกลับเศร้าสร้อยราวกับชั่วชีวิตของเฮีย คงไม่อาจได้รับความรู้สึก ‘มีค่าที่สุด’ นั้น มาประทับวางที่กลางใจ สำหรับผม เฮียที่แก่กว่าแค่สองปีแต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อผมแทนพ่อแม่โดยไม่ขาดตกบกพร่องมาตลอดหลายปีนี้ และไม่เคยคิดหาความสุขให้ตัวเองเลยสักครั้ง อาจจะปากร้ายที่สุดในโลก โหดอำมหิตที่สุดในโลก ใจดีที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันก็น่าสงสารที่สุดในโลก... “เอ่อ... ช่วยเซ็นรับพัสดุด้วยครับ” เฮียสะดุ้งนิดๆ ขณะดึงมืออกจากอกผมแล้วหันไปรับกล่องพัสดุใบย่อมจากบุรุษไปรษณีย์ที่เดินเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงมาเซ็นรับ เฮ้ๆ -0- ทำไมหมอนั่นมองเฮียผมตาเป็นมันขนาดนั้นล่ะ ถึงผมอยากให้เฮียลงจากคานแต่คุณคนส่งจดหมายนี่หน้าตาไม่ผ่านมาตรฐานที่ผมตั้งไว้สำหรับพี่เขยในอนาคตอย่างแรง! อย่าสะเออะมาเหล่เฮียผมแบบนั้นนะเฟ้ย! “ใครส่งอะไรมาเหรอที่รัก?” ผมเดินไปโอบไหล่เฮียพลางยิ้มหวาน ขณะที่เฮียหันมามองพร้อมทำท่าขนลุกขนชัน ไม่รู้จะสะอิดสะเอียนน้องชายตัวเองอะไรขนาดนั้น ผมรึก็ออกจะหล่อขนาดนี้ -_-+ แต่พอเห็นผมละสายตาจากตัวเองไปส่งรังสีอาฆาตให้บุรุษไปรษณีย์วัยละอ่อนชิ้งๆ เฮียก็ทำท่าเข้าใจในทันที “ไม่มีอะไรหรอก ไปคิดตังค์ให้ลูกค้าไป” เฮียเอาปากกาชี้ๆ ไปยังเด็กสาว ม.ต้น ที่ถือถุงอาหารแมวมายืนรอหน้าเคาน์เตอร์โดยไม่มอง ก่อนก้มหน้าก้มตาบรรจงเขียนนามสกุลเดียวกับที่ผมใช้ เห็นว่าแม่แป๋วเปลี่ยนให้ตั้งแต่เด็กเพราะอยากให้พวกเรารู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ น่ะนะ... พอผมคิดเงินเสร็จ ก็เห็นบุรุษไปรษณีย์เดินไหล่ตกออกไปพอดี ส่วนเฮียเดินไปไหนไม่รู้ ทิ้งกล่องไปรษณีย์ไว้บนเคาน์เตอร์แบบไม่กลัวน้องชายแอบแกะดูเลยแฮะ ว่าแต่สั่งซื้อซิลิโคนทางเน็ตมาเพิ่มขนาดเองรึเปล่าเนี่ย -..- ผมหันมองซ้ายขวา ก่อนเขยิบดึ๊บๆ ไปแอบดูที่หน้ากล่องที่ส่งมาถึง ‘คุณตนิษฐ์ วิษณุสรรค์’ จากห้องแลปอะไรสักอย่าง อ๋อ! พวกเครื่องสำอางที่เฮียชอบสั่งซื้อใช้ประจำนี่เอง พูดถึงชื่อจริงเฮียแล้วผมเคยถามด้วยนะว่าเฮียโมดิฟายน์ตัวเองจนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ซะขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่เปลี่ยนชื่อเป็นสมหญิงหรืออะไรทำนองนั้นไปเลย มาใช้ชื่อแมนๆ เหมือนเดิมทำไม? ถามไม่ทันจบเฮียก็ตบหัวผมซะคอแทบหัก! แล้วบอกว่า ‘เรื่องของฉัน! ชื่อที่แม่ตั้งให้ฉันจะใช้ไปจนวันตาย มีไรมั้ย?’ ผมเลยได้แค่หัวเราะแหะๆ ไม่กล้าต่อความยาวสาวความยืด และอดคิดไม่ได้จริงๆ นะ ว่าบางทีเฮียก็ยังแมนอยู่อะ! และตั้งแต่เด็กแล้วที่เฮียมีออร่าผู้นำอยู่ในตัว แบบที่แค่ปรายตาคมๆ มองไปก็ทำให้คนถูกสายตาคู่นั้นตำหนิเป็นอันต้องกลั้นหายใจ ร้อนๆ หนาวๆ กันทุกราย จนเฮียกลายร่างเป็นสาวแล้วแต่ออร่าแบบนั้นก็ยังคงอยู่ ราวทาสผู้ซื่อสัตย์ พูดกันตรงๆ ผมชอบให้เฮียแมนมากกว่า ถ้าขอให้กลับใจตอนนี้เฮียจะเชื่อผมมั้ยเนี่ย? แต่ไม่เสี่ยงดีกว่า... เกิดเฮียตกมันขึ้นมาผมคนเดียวสินะที่ซวย! -_-; พอลูกค้าเริ่มซา น้ำค้างที่เลิกเรียนพอดีก็ตรงดิ่งเข้ามาเล่นในร้านผมก่อนเข้าบ้านตัวเองที่อยู่ติดกันอย่างเคย รายนั้นชอบมาขอให้เฮียสอนภาษามือให้เพราะเห็นเป็นของแปลก แถมยังเข้าขากับเฮียผมดี๊ดีแบบที่ถ้าเฮียยังแมนอยู่ผมคงยุให้จีบไปแล้ว -w-+ แต่ก็ดีที่เธอมาเพราะผมเลยถือโอกาสแวบออกมาจากร้าน เพื่อมารอปิ่นโตที่หน้าบ้านเธออีกแล้ว... ผมนอนเอกเขนกบนกิ่งก้านแข็งแรงของต้นไม้ใหญ่อีกฟากของถนนแถวบ้านปิ่นโตนั่นแหละ ประมาณชั่วโมงนึงหรือสองชั่วโมงได้แล้วมั้ง? แต่ก็ไม่ยักเห็นใครเข้าออกบ้านนั้นเลยซักคน จะว่าไปหน้าบ้านเธอก็ดูแห้งแล้งยังไงชอบกลไม่รู้ ปกติแล้วต้องจัดสวนหรืออะไรสักหน่อยให้มันดูเหมือนบ้านที่มีคนอาศัยไม่ใช่รึไง? นี่ถ้าไม่ใช่ว่าผมเห็นเธอเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นกับตา ผมจะคิดว่าบ้านนี้เป็นบ้านร้างจริงๆ นะ... ก่อก ก่อก ก่อก เสียงนาฬิกาข้อมือที่ดังเป็นจังหวะสะท้อนความเงียบทำให้ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนทิ้งตัวลงนอนหงายหนุนแขนตัวเอง มองท้องฟ้าสีครามที่ถูกบดบังด้วยหมู่แมกไม้ เหนื่อย...ตามแบบนี้ผมก็เหนื่อยนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงสลัดภาพเธอออกไปจากสมองไม่ได้... ว่าแต่ทำไมต้นไม้มันสั่น =”= ผมขยับลุกนั่งมองลงไปเบื้องล่าง และเป็นอันต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น...ปิ่นโต...สาวน้อยของผมอยู่ในชุดกระโปรงเอี๊ยมสั้นเหนือเข่า พันผ้าพันคอลายเสือดาวสีดำปิดจนถึงคาง (ไม่ร้อนบ้างรึไง?) และที่ขาดไม่ได้คือแว่นตากันแดดอันโต กับผมหน้าม้าปัดตัดกรอบเซ็ตปิดแก้มและปล่อยลอนใหญ่ๆ ให้สยายเต็มแผ่นหลังบอบบาง เรียวปากอิ่มแย้มยิ้มทักทาย พร้อมโบกมือให้ หลังจากถีบต้นไม้เป็นการเรียกผมอีกรอบ -*- เอาน่า! ดูท่าวันนี้เธอจะอารมณ์ดีนะ ผมปีนป่ายกระโดดลงมาจากกิ่งไม้หยุดยืนตรงหน้าเธอ ก่อนวาดมือในอากาศตามที่เคยรู้และเรียนเพิ่มจากเฮียมาวันนี้สดๆ ร้อนๆ เธอไม่ขยับมือตอบ แต่พยักหน้าน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มหวานเป็นอันตกลง ‘ไปเที่ยวกันเถอะ ^ ^’ ทั้งที่ครั้งแรกผมตามหาปิ่นโตเพื่อแก้แค้นล้างอายเรื่องคืนนั้นที่เธอทำไว้ และข่มขู่เอาของที่ถูกขโมยไปกลับมาแท้ๆ นะ แต่กลายเป็นว่า กี่ครั้งที่ไปดักรอเธอหน้าบ้านและได้พบกัน...พวกเราก็เอาแต่พากันเที่ยว เที่ยว เที่ยว ไปตระเวนราตรีบ้าง ออกต่างจังหวัดแบบไปกลับก็บ่อย ดูหนัง ฟังเพลง เล่นไอซ์สเก็ต จนระยะหลังไอ้กังฟูบ่นอุบว่าผมชักตีตัวออกห่างเพื่อนฝูงแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม