ว่าแล้วเหล่าสาว ๆ ผู้รักและใส่ใจเรื่องสุขภาพก็พากันดี๊ด๊า ช่วยกันจัดการล้างฝานขิงอ่อน ภาชนะที่จะใส่ก็คงไม่พ้นขวดพลาสติกหลายขวด ที่พวกเธอล้างทำความสะอาดไว้แล้ว มันเป็นอะไรที่น่าสนุกตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขา แล้วต้องมาคอยคิดดัดแปลงอาหารที่มี ให้มันกลายเป็นเมนูที่เลิศรสที่สุด
"จะทำอะไรกันเหรอคะ"
อัญญาวีที่เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาเห็นสาว ๆ กำลังขมักเขม้นฝานขิงอ่อนเป็นชิ้น ๆ
กิ่งกานต์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ก่อนตอบ
"ว่าจะลองทำขิงดองน้ำผึ้งดูค่ะ ว่าแต่คุณเจอเยอะใช่มั้ยในป่าน่ะ"
"อืม ก็เยอะนะคะ"
"ฉันถามเผื่อไว้ เผื่อทำแล้วมันกินไม่ได้จะได้ไปเก็บเอาใหม่น่ะ"
"หึ ๆ ไอเดียไม่เลวนะคะ จะว่าไปก็โชคดีที่เราเจอรังผึ้ง เลยมีน้ำผึ้งไว้ปรุงอาหารทดแทนความหวาน"
"อูย พูดถึงขิงดองแล้วนึกถึงไส้กรอกอีสานขึ้นมาทันทีเลย แหะ ๆ"
มณนิชาลุกขึ้นมาชะเง้อดูพี่ ๆ ก่อนจะพูดถึงอาหารที่มักจะกินคู่กับผักชนิดนี้
"ไว้ออกจากเกาะก่อนนะเด็กน้อย ตอนนี้เธอคงต้องมโนหลาย ๆ เมนูไปก่อน"
ชาลิศาเอาใบชะพลูตีแปะเข้าที่เหม่งเจ้าเด็กกวน แถมตอนนี้มาทำหน้าเป็นหมาน้อยอ้อน จนนึกอยากจะหยิกแก้มแดงนั่นสักที
"อืม เจ๊ เค้าเคยดูคลิปของต่างประเทศมา แบบว่าติดเกาะอ่ะ แล้วมันมีสาหร่ายเป็นเม็ดเขียว ๆ เต็มหาดเลย แต่ทำไมที่เกาะนี้ไม่เห็นมีเลยอ่ะ"
"อ๋อ สาหร่ายพวงองุ่นน่ะเหรอ"
"อือหึ ๆ"
"ทำไมอยากกินเหรอ"
"ก็อยากลองกินบ้างอ่ะ ที่บ้านเค้าไม่มีนิ ขอนแก่นไม่ใช่จังหวัดติดทะลซักหน่อยนะเจ๊ อ้อ แต่บ้านฉันมีสาหร่ายเขียวอ่ะ คิก ๆ"
"หืม สาหร่ายเขียวอะไรของเธอ?"
ชาลิศาถามอย่างสงสัย แล้วเด็กนี่หัวเราะขำทำไม
"คนไทยกรุงไม่รู้เขาเรียกว่าอะไรน่ะ แต่บ้านฉันเขาเรียกเทาอ่ะเจ๊ มันเกิดในน้ำมีสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม มันจะเป็นเส้นคล้าย ๆ ขนมสายไหม เวลาเอามาทำกินนะ แบบเราเอาหัวหอยขมมาใส่ด้วยอร่อยมากเลยนะ พูดแล้วน้ำลายไหล"
ฮ่า ๆ
"มาเพ้อเจ้ออยู่นี่ล่ะ ไป ๆ ลงไปดูกับดักโน่นเผื่อจะมีอะไรติดบ้าง"
กัณภัคที่นั่งฟังรุ่นน้องจ้อให้ชาวบ้านเขาทำหน้างงสงสัยไปหมด กับเมนูแปลกประหลาดได้แต่ส่ายหน้าระอา ก่อนจะลุกมาลากคอน้องรักลงทะเลไป
ส่วนคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ไอ้สาหร่ายเขียวที่ว่าก็ทั้งขำทั้งงงไปตาม ๆ กัน
กับดักที่ย้ายที่วางก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ถึงรอบนี้จะไม่ได้กุ้งติดมาด้วย แต่ปลาเก๋าตัวกำลังน่ากินที่หลงเข้าไปตั้งสองตัว แล้วยังได้ปูมาอีกสอง ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับอาหารเที่ยงวันนี้
"มื้อเที่ยงนี้จากวัตถุดิบที่มี เราทำเมนูนี้กันดีมั้ย ต้มยำน้ำใสปลาเก๋าใส่เห็ดรวมมิตรลองใส่ตะลิงปลิงดูน่าจะเปรี้ยวดีนะ"
กิ่งกานต์เสนอเมนูง่าย ๆ ให้ทุกคนเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง ในเกาะร้างแต่อุดมสมบูรณ์พอสมควรแค่มีอาหารให้กินอิ่มได้ทุกมื้อก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้ว จะเมนูไหนแม้เครื่องปรุงจะมีไม่ครบแต่กระนั้นก็ยังอร่อยสำหรับพวกเธอ ณ เวลานี้
ขั้นตอนการทำแพไม้ไผ่เริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังมื้ออาหารที่เรียกว่าอาจจะครบห้าหมู่ซะด้วย อาหารหลักคือต้มยำน้ำใสปลาเก๋ารวมสารพัดเห็ดที่เก็บมาได้ ปูเผาสองตัว ตบท้ายด้วยมันเชื่อมเป็นของหวาน และระกำป่าที่กิ่งกานต์เก็บมาตั้งแต่วันแรก ตอนนี้รสชาติกำลังหวานอร่อยอมเปรี้ยวนิด ๆ
กัณภัคกับนรากรไปลากซากไม้ไผ่แห้ง ที่โดนน้ำทะเลพัดมาเกยติดหาดได้หลายลำ
"เดี๋ยวเราใช้ไผ่แห้งนี่เป็นฐานรองดีมั้ยพี่"
กัณภัคปรึกษาพี่ ๆ ที่กำลังช่วยกันรูดเครือไม้หลายเส้น ที่จะนำมาผูกมัดไม้ไผ่เข้าด้วยกัน
"อืม ก็ดีนะจะได้ช่วยทานน้ำหนักไปด้วย"
อัญญาวีเห็นด้วย แพไม้ไผ่ฝีมือสาว ๆ เริ่มเป็นรูปร่างโดยใช้เวลากว่าสองชั่วโมงจึงเสร็จสมบูรณ์
"เดี๋ยวเราลองเอาลงไปทดสอบก่อนนะ ว่ามันจะรับน้ำหนักพวกเราได้กี่คน มาค่ะใครจะเป็นหน่วยเปียกน้ำชุดแรก"
อัญญาวีกล่าวขึ้นยิ้ม ๆ เมื่อแพขนาดประมาณสองเมตร พร้อมที่จะลงไปล่องน้ำทะเลแล้ว
"ม่อนลงด้วยค่ะ"
"พวกเราให้เกียรติคนที่ไปตัดไผ่ ลงไปทดสอบก่อนแล้วกันค่ะ"
เนย่าบอกออกไป ก่อนจะดันหลังบัดดี้ตัวเองให้ไปลงแพก่อน
กรนันท์เห็นแล้วก็อมยิ้มขำ
"ถ้างั้นพวกเราลองไปกันหกคนดูนะพี่อัญ ไปอาบน้ำจืดฝั่งนั้นกันสักชั่วโมงค่อยกลับมา"
"อ้าว! จะทอไปฝั่งนั้นเลยเหรอคะ นึกว่าแค่จะลองตรงนี้"
เรวิกาทักขึ้นหน้าเหรอหรา ให้คนขี้แกล้งหลุดขำกันยกใหญ่
"ไหน ๆ ก็ลองแล้วก็ไปให้ถึงจุดหมายนั่นแหละถูกแล้วค่ะ ไปกันเถอะพวกเรากัณเอาไม้ไผ่ลำยาวนั่นไปด้วย ช่วยกันดันหัวท้าย"
"ณัฐว่าช่วยกันดันสี่มุมเลยน่าจะประคองแพได้ดีกว่านะพี่ อ่ะไนซ์"
ณัฐพัชยื่นไม้ไผ่ลำยาวให้กับนรากรอีกลำ จากนั้นทั้งหกคนทีมีอัญญาวี กัณภัค มณนิชา กรนันท์ ณัฐพัช นรากร ก็ช่วยกันดันแพลงสู่น้ำ และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะแพไม้ไผ่ยังสามารถลอยอยู่เหนือน้ำได้ แม้พวกเธอจะขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นเรียบร้อย
"ว้าว มันใช้ได้จริง ๆ ด้วย"
มณนิชาร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น แถมหันมาส่งยิ้มโบกมือให้สาว ๆ ที่เหลือสี่คนบนฝั่ง
ทั้งหกคนยืนกระจายถ่วงน้ำหนักให้แพไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง อัญญาวีกับกัณภัคจับไม้ไผ่คนละลำแทงลงพื้นใต้น้ำเพื่อดันแพให้มุ่งไปยังสุดหาดที่มีหนองน้ำจืดรออยู่ ส่วนมุมท้ายก็เป็นณัฐพัชกับนรากรช่วยกันดันคนละมุม ทำให้แพเคลื่อนไปได้เร็วยิ่งขึ้น
"แบบนี้ถือว่าภารกิจพวกเราหมดอุปสรรคของความลำบากได้มั้ยพี่หมอ น้ำกินน้ำอาบเราก็มีแล้ว ของกินเราก็หาได้ทุกวัน ไม่คิดว่าเกมนี้จะทำให้รู้สึกเหมือนมาผจญภัยมากกว่ามาติดเกาะร้างนะคะ"
เรวิกาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มองไปยังกลุ่มคนที่ทอแพห่างออกไปจากชายฝั่ง
"อืม ก็น่าจะไม่มีอะไรให้กังวลแล้วนะพี่ว่า จากนี้ไปพวกเราก็หาอะไรทำสนุก ๆ กันได้"
"แค่คิดก็รู้สึกสนุกแล้วนะคะเนี่ย"
ชาลิศาบอกพร้อมทำตาเป็นประกายวิบวับ ให้คนที่เหลือหัวเราะชอบใจ
"นี่พี่ไม่คิดเลยนะ ว่าอย่างพวกเรานี่จะชอบอะไรลำบากท้าทายแบบนี้ เห็นลุคแต่ละคนนี่คุณหนูไฮโซทั้งนั้น"
"คนส่วนมากก็คิดแบบพี่หมอนี่แหละค่ะ คิก ๆ อย่างเรกับเนย่าน่ะ คือถ้ามีเวลาว่างตรงกันก็จะชอบแบกเป้ไปตั้งแคมป์ในป่ากันนะคะ แต่ก็อย่างว่าคือ มันหาเพื่อนที่จะลุย ๆ แบบเราน่ะยาก จะให้ไปกันสองคนก็นะ มันก็เหงาไปหน่อย"
"แบมก็คิดเหมือนเรนั่นแหละค่ะ เราอยู่แต่ในเมืองอยู่กับสังคมที่วุ่นวาย เวลาอยากพักผ่อนจริง ๆ ขึ้นมา ก็อยากจะอยู่แบบสงบ ๆ กับธรรมชาติป่าเขามากกว่า ยิ่งได้มาเจอพวกเราทุกคนที่ชอบอะไรเหมือนกันแบบนี้ บอกเลยว่าแบมคิดไม่ผิดที่สมัครคัดเลือกเข้ามาเล่นเกมในครั้งนี้"
กิ่งกานต์ฟังน้องแต่ละคนพูดความรู้สึกออกมาก็อดชื่นชมไม่ได้ คนเราจะมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริง ๆ สินะ เพราะทั้งสามสาวนี้ทั้งรูปร่างหน้าตาอาชีพ ดูแล้วไม่น่าจะมาทนลำบากแบบนี้ได้เลย นี่คือชีวิตจริงมันไม่ใช่การถ่ายละครที่จะมีการจัดฉากในการแสดง แม้จะเป็นเกมแต่พวกเธอทุกคนก็ต้องใช้ทักษะและความอดทน ดิ้นรนให้อยู่รอดกันจริง ๆ ทุกสิ่งอย่างไม่มีการแนะนำช่วยเหลือจากทีมงานทั้งนั้น
ในที่สุดแพก็พาทั้งหกสาวมาถึงจุดหมายที่ตั้งใจโดยสวัสดิภาพ แม้จะมีขรุขระบ้างตรงจุดที่เจอโขดหิน แต่ก็พากันผ่านมาได้ด้วยดี
"พวกเราอยากอาบน้ำกันก่อนมั้ย"
เมื่อพากันนำแพเทียบฝั่งอีกด้านของเกาะ อัญญาวีมองดูดวงตะวันที่เริ่มคล้อยลง กะเวลาแล้วก็คงสักบ่ายสามโมง
"เราจะลงอาบในหนองนี่เหรอคะ"
มณณิชาถามออกไปซื่อ ๆ ให้กัณภัคเบิ๊ดกระโหลกน้องไปทีนึง
"จะลงอาบในหนองได้ไงเจ้าม่อน จะอาบด้วยกินด้วยในที่เดียวกันหรือไง ต้องหาวิธีเอาน้ำออกมาอาบด้านนอก"
"อ้าว ทำไงล่ะทีนี้ เราจะไม่ต้องเอากะลามะพร้าวมาตักน้ำอาบกันเหรอพี่"
เมื่อมองเห็นสภาพหนองขนาดสี่เมตร ลักษณะของมันไม่เชิงว่าจะเป็นวงกลมซะทีเดียว มอง ๆ ไปก็คล้าย ๆ เลขแปดอยู่นะ
"หรือเราจะสร้างเป็นที่กั้นน้ำ ไอ้ตรงแคบ ๆ นี่ให้มันกลายเป็นสองบ่อ พวกเราก็ใช้บ่อฝั่งด้านนอกนี่อาบน้ำ ด้านในก็เอาไว้กินเหมือนเดิม"
อัญญาวีพิจารณาดูลักษณะ ที่น่าจะพอทำเป็นที่กั้นน้ำเล็ก ๆ ได้
"อืม มันก็ไม่มีวิธีไหนแล้วนะพี่ นอกจากเอากะลามาตักอาบอย่างที่ม่อนมันว่า ถังอะไรเราก็ไม่มีด้วย"
นรากรเห็นด้วย เพราะจะให้ตักออกมาอาบด้านนอกมันก็ได้อยู่หรอก แต่ก็ดูจะลำบากและมันจะเป็นการทำให้น้ำที่มีอยู่ลดลงไปอย่างรวดเร็วด้วย ถ้ากั้นเป็นสองบ่อ มันจะกลายเป็นพวกเธอมีอ่างน้ำจืดที่สามารถใช้อาบได้ทุกวันทุกคน เว้นแต่ตักออกไปเพื่อสระผมหรือทำความสะอาดเสื้อผ้าเท่านั้น
"อืม ถ้างั้นเราจะทำที่กั้นแยกออกเป็นสองบ่อ สงสัยต้องกลับไปเอาลำไผ่ที่เหลือมาผ่าแล้วตอกเป็นกำแพงกั้นแล้วเอาพวกหินก้อนใหญ่เรียงซ้อนกัน จากนั้นก็เอาทรายลงอัดอีกที แค่นี้ก็น่าจะใช้ได้แล้วมั้ง อย่างน้อย ๆ ความสกปรกของพวกเราคงไม่เยอะจนทำให้น้ำเสียหรอกมั้ง คิดว่าเป็นออนเซ็นท่ามกลางหุบเขาละกันนะ"
ฮ่า ๆ
อัญญาวีอธิบายแถมท้ายด้วยคำพูดติดตลกให้น้อง ๆ อดขำไม่ได้ ก็มีแต่คนกันเองนี่นะจะสกปรกยังไงก็คงว่ากันไม่ได้อยู่แล้วล่ะ น้ำจืดมีค่ายังไงต้องรักษาเอาไว้ใช้ประโยชน์ให้ดีและคุ้มที่สุด
"ถ้างั้น กัณกับไนซ์กลับไปรับสาว ๆ ที่เหลือมาช่วยกัน แล้วก็เอาไม้ไผ่กับมีดมาด้วยนะพวกพี่จะก่อหินกั้นไว้รอ"
"โอเคค่ะ"
ยี่สิบนาทีผ่านไป กัณภัคกับนรากรก็พาสาว ๆ ที่เหลือมารวมกันอยู่หน้าบ่อน้ำจืด ที่กำลังจะถูกแยกออกจากกันชั่วคราว ทุกคนต่างร่วมด้วยช่วยกันทำที่กั้น จนสุดท้ายก็ได้บ่อน้ำบ่อน้อยสำหรับเอาไว้ลงอาบกัน แถมถ้าน้ำบ่อนี้ลดลง ก็ยังปล่อยจากบ่อใหญ่ด้านในออกมาเพิ่มได้ด้วย
"แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วอ่างอาบน้ำธรรมชาติ วันไหนถ้าอยากแช่น้ำร้อนบอกได้นะ เดี๋ยวให้เจ้าไนซ์เอาหินเผาไฟมาโยนลงบ่อนี้"
ฮ่า ๆ
"พี่อัญคิดได้ไงอ่ะ เป็นอะไรที่น่าลองเหมือนกันนะคะ เหมือนเราไปแช่บ่อน้ำพุไง"
ณัฐพัชกล่าวกลั้วขำกับไอเดียของรุ่นพี่
"หืม ถ้าจะทำแบบนั้นจริง ๆ งั้นพี่ขอเก็บพวกดอกไม้ป่ามาโปรยได้มั้ย แทนกลิ่นอโลม่าไง"
หมอกิ่งกานต์เอากับเขามั่ง
"เหอ ๆ ดีนะที่พี่หมอบอกจะเอาดอกไม้มาโปรย ถ้าเปลี่ยนเป็นเอาขิงข่ามาใส่นี่ ม่อนจะคิดว่ามันเป็นบ่อต้มยำพวกเราแล้วนะพี่"
ฮ่า ๆ ๆ
เสียงหัวเราะฮาครืน เมื่อนึกถึงสภาพบ่อน้ำที่มีควันจากหินเผาไฟ แถมด้วยกลิ่นสมุนไพรที่ว่านี่อีก
ทุกคนมองดูอ่างอาบน้ำธรรมชาติที่ช่วยกันทำที่กั้นแยกออกมา แล้วพากันอมยิ้มกับผลงานบ่อน้ำที่มีความกว้างประมาณสองเมตรได้ น้ำที่มีความลึกประมาณแค่เอวก็คงพอให้ได้แช่กันได้สบาย
กัณภัคมองลำไผ่ที่เหลือจากการทำที่กั้น แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้
“คุณอยากสระผมแบบไม่ต้องคอยเดินตักน้ำมั้ย”
“หืม ยังไงคะ? ”
เรวิกาหันมาขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ให้กัณภัคยิ้มออกมาก่อนจะเฉลยวิธีการ
“ฉันจะผ่าไม้ไผ่ลำนั้นทำเป็นรางเหมือนเวลาทำรางรองน้ำฝนน่ะ เดี๋ยวเวลาคนไหนจะสระผมก็ไปนั่งอยู่ด้านนอก ให้อีกคนยืนตักน้ำจากบ่อนี่ไหลไปตามราง ดูสบายกว่าคอยเทียวเดินไปมาหลายรอบป่ะ”
เรวิกานึกภาพตามอีกคน ก่อนจะยิ้มถูกใจกับไอเดียของบัดดี้ตัวเอง
“ดีเลยค่ะ คงรู้สึกเหมือนได้ใช้น้ำจากฝักบัวสระผม”
“ม่อน ๆ มานี่หน่อย”
มณนิชาที่เดินเลียบฝั่งกำลังก้มลงเก็บอะไรสักอย่าง เงยหน้ามามองคนเรียกก่อนจะเดินเข้าไปหา
“มีไรเหรอพี่ พี่ดูนี่สิ หอยนี่มันกินได้เปล่า ม่อนเห็นเยอะเลยน่ะตรงดินโคลน”
“นี่มันหอยตลับนี่ กินได้สิย่างก็ได้ ผัดก็อร่อยนะ”
กรนันท์มองหอยสี่ห้าตัวที่มณนิชาเก็บมา
“ดีเลยแบบนี้เราเก็บหอยพวกนี้ ไปทำอาหารเย็นกันดีกว่านะ”
ณัฐพัชเสนอขึ้นมาให้ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ว่าแต่พี่กัณเรียกม่อนทำไมพี่”
“อ๋อ พี่ว่าจะให้ไปช่วยตัดไอ้กิ่งไม้แถวนั้นมาให้หน่อย คือพี่ว่าจะทำรางน้ำยื่นออกไปตรงนั้นสำหรับสระผม จะได้ไม่ต้องคอยเดินเทียวเอากะลาตักกันน่ะ”
เป๊าะ เสียงดีดนิ้วถูกใจดังขึ้น
“เจ๋งเลยอ่ะพี่ นี่ม่อนยังคิดอยู่ว่าจะหาอะไรมารองน้ำทีละเยอะ ๆ มา ๆ เดี๋ยวม่อนไปตัดให้ ใช้แค่สองอันใช่มั้ยหัวท้าย”
“อืมแค่นั้นแหละ”
หน้าที่ทำรางน้ำกลายเป็นสองพี่น้องคนสนิท ส่วนคนที่เหลือก็พากันลงไปหาเก็บหอยตามริมฝั่งที่เป็นดินโคลนปนทราย เวลานี้น้ำกำลังลดโขดหินแง่งหินหลายจุดเริ่มโผล่ให้เห็นบ้างแล้ว
“โห ได้เยอะเลยนะนี่”
เมื่อเอาหอยที่ช่วยกันหามารวมกันก็เยอะเลยทีเดียว
“ถ้ามีน้ำจิ้มซีฟู้ดละสุดยอดเลยนะเนี่ย”
นรากรเอ่ยขึ้นให้ที่เหลืออดน้ำลายสอไม่ได้
“เดี๋ยวทำเมนูหอยผัดสมุนไพรดีมั้ยคะ เรามีข่ากับขิง มีใบชะพลู ใบหอมแขก ที่เหลือก็ย่างกินเปล่า ๆ ก็คงอร่อยนะเนื้อหวาน ๆ”
กิ่งกานต์เสนอเมนูตามยถากรรม แต่พอได้ยินแล้วทำให้หิวขึ้นมาเลย
“ไม่เลวนะ เมนูนี้น่าจะอร่อย เดี๋ยวพวกเราแบ่งกันกลับดีกว่านะตอนนี้น้ำกำลังลง พี่ว่ากลุ่มหนึ่งกลับทางแพไปก่อน ที่เหลือใครจะรอกลับพร้อมพี่ทางอุโมงค์นี่ อีกสักชั่วโมงน้ำน่าจะลงให้เราเดินผ่านได้แล้วนะ”
อัญญาวีบอกทุกคน
“เดี๋ยวฉันพาน้อง ๆ กลับทางแพไปก่อนแล้วกันจะได้ไปเตรียมทำอาหาร แบมเรกับเนย่าเราไปอาบน้ำกันดีกว่าค่ะ จะได้กลับไปทำอาหาร”
กิ่งกานต์ชวนสามสาว ที่ปกติจะเป็นแม่ครัวช่วยกันทำอาหารอยู่แล้ว
“งั้นเดี๋ยวณัฐกับพี่นันท์กลับพร้อมพี่หมอก็ได้ค่ะ จะได้มีคนบังคับแพได้”
“โอเคงั้นก็เอาตามนั้นค่ะ”
“เจ๊ ได้เอายาสระผมมาด้วยเปล่าอ่ะ”
มณนิชาถามคู่บัดดี้ตัวเอง
“อืมเอามาสิก็จะมาอาบน้ำนี่”
ชาลิศาบอกก่อนจะเดินไปยังถุงใส่ของใช้ส่วนตัว ที่มีเพียงยาสระผมยาสีฟันกับแปรงสีฟัน ตามที่ทางรายการให้นำมาได้เท่านั้นแหละ
“เค้าใช้ด้วยนะยาสระผมน่ะ”
เจ้าเด็กตัวสูงฉีกยิ้มส่งสายตาอ้อนมาให้ ชาลิศาเห็นท่าทางนั่นก็ทั้งหมั่นเขี้ยวแกมเอ็นดูนั่นล่ะ บอกแล้วว่าถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่กวนประสาทละก็เด็กมันน่ารักจริง ๆ
“อืม รู้หรอกว่าเธอไม่ได้เตรียมอะไรมาน่ะ ใช้แล้วก็หาที่เก็บไว้แถวนี้แหละไม่ต้องเอากลับหรอก ยังไงพวกเราก็ต้องมาอาบน้ำที่นี่อยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่า แหม นี่นางร้ายหรือนางฟ้าน๊าใจดีจัง คิก ๆ งั้นเจ๊ไปสระผมป่ะ เดี๋ยวเค้าบริการตักน้ำให้นะ”
นี่ไงความกวน ยังนึกชมไม่ทันไรเลยนะ ชาลิศาส่ายหน้าให้คนที่ลุนหลังเธอไปที่ปลายรางน้ำ ซึ่งตอนนี้มีเนย่ากับเรวิกาใช้บริการอยู่ ทีแรกนึกว่าทำแค่รางเดียวแต่ตอนนี้กลายเป็นมีรางน้ำคู่ซะแล้ว