“ไนซ์เร็ว ๆ อย่าแกล้ง แสบตาแล้วเนี่ย”
เสียงเนย่าโวยให้คนที่อาสาตักน้ำลงรางให้เธอ แต่ตอนนี้มันไม่มีน้ำไหลลงมาเลยสักหยด
คิก ๆ
“แป๊บนึงนะจ๊ะที่รัก”
“อื้อหือ เมื่อวานยังเป็นว่าที่แฟนอยู่เลย วันนี้เป็นที่รักแล้วเหรอคะพี่ไนซ์”
มณนิชาเอ่ยแซวรุ่นพี่ ที่หัวเราะคิกคักตักน้ำให้บัดดี้ตัวเอง ส่วนคนที่โดนเรียกที่รักก็แอบเขินอยู่ไม่น้อย จะบ้าตาย ไม่คิดว่าเธอจะอายบ้างหรือไง ไหนจะทีมกล้อง ไหนจะเพื่อนร่วมทีมที่พากันยิ้มขำล้อเลียนอยู่เนี่ย
หึ ๆ
“ช้าไม่ได้หรอกม่อน เจอคนที่ใช่ทั้งทีพี่ต้องรีบจับจอง กลับออกจากเกาะว่าจะให้พ่อไปขอแล้วเนี่ย”
ฮ่า ๆ เฮ้ว ตุบตับ ๆ โอ๊ย ๆ
“เนย่า ฮ่ะ ๆ เจ็บนะ”
“เก็บปากเลย พูดอะไรเพ้อเจ้อ อายพี่ ๆ เขาบ้างมั้ยน่ะ”
คนที่เขินก็ลุกมาฟาดทั้งหยิกคนหน้าไม่อาย ให้ต้องวิ่งหลบซ้ายขวาพัลวัล
“อายทำไมคนเยอะแยะ ดีซะอีกมีคนเป็นพยานรักให้เราฮ่า ๆ”
เฮ้ว
“จัดงานแต่งที่เกาะนี้เลยมั้ยไนซ์ เดี๋ยวพี่เป็นเถ้าแก่ให้ชั่วคราว”
ฮ่า ๆ
อัญญาวีแซวย้ำเข้าไปอีก เรียกเสียงหัวเราะขำคู่บัดดี้ที่มีสิทธิ์จะกลายเป็นคู่รักกันจริง ๆ ซะละมั้ง เพราะดูท่าแล้วสาวนักแข่งรถจะเอาจริงไม่ใช่แค่หยอดขนมครกเล่น ๆ
กว่าเสียงพูดคุยหัวเราะเฮฮาจะเงียบลงได้ ก็หลังจากทั้งหกสาวแยกกลับไปที่พักกันก่อนนั่นล่ะ
“ช่วงรอน้ำลงให้อุโมงค์ลอดผ่านได้ เราก็หาอะไรกันต่อมั้ย เผื่อจะได้อาหารเพิ่ม”
อัญญาวีบอกน้อง ๆ ที่เหลือกันอยู่สี่คน
“หาเก็บหอยต่อสิพี่ น้ำลดลงเยอะแล้วด้วย ไม่แน่นะเผื่อจะเจอพวกปูพวกกุ้งหลบอยู่ตามซอกหินก็ได้”
นรากรกล่าวขึ้น ให้มณนิชาตาโตออกอาการดี๊ด๊าเพียงได้ยินคำว่ากุ้ง
“งั้นลุยเลยเหอะพี่ เผื่อโชคดีม่อนจะได้กินกุ้งอีก”
“ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะเจ้าม่อน ป่ะ ๆ เจออะไรที่กินได้ก็เอาหมดนั่นล่ะ”
กัณภัคบอกก่อนที่ทั้งสี่สาวจะแยกกันหาอาหารทะเล ที่อาจจะมีให้เห็นเพิ่มนอกจากหอยสองสามชนิดที่พากันเก็บไปก่อนหน้านี้
“โอ้ นี่มันหอยอะไรหว่า ทำไมตัวใหญ่จัง”
มณนิชาเดินเอาไม้เขี่ยไปตามซอกหิน ก็เจอเข้ากับหอยตัวขนาดเท่าฝ่ามือเลยหยิบมาดู
“พี่ ๆ นี่หอยอะไรคะ มันกินได้มั้ย”
ทุกคนหันมามองสิ่งที่มณนิชายกขึ้นโชว์ อัญญาวีเลยเดินมาดูใกล้ ๆ
“หืม หอยโข่งทะเลนี่ กินได้นะหอยนี่ชาวบ้านเขาเก็บไปขายกันน่ะ ลวกจิ้มอร่อยนะม่อน”
“เหรอคะ แบบนี้ต้องลองค่ะ จะอร่อยเหมือนหอยโข่งที่บ้านม่อนหรือเปล่า” คิก ๆ
“ฮึ่ย ๆ ปู ๆ กัณมาช่วยดักหน่อยเร็ว เดี๋ยวมันวิ่งลงน้ำ”
นรากรร้องเรียกเพื่อน เมื่อเห็นปูตัวใหญ่แอบหลบในแอ่งน้ำเล็กข้างโขดหิน
“ตัวใหญ่เหมือนกันนะนี่ ถ้าเจอแบบนี้สักสามตัวพวกเราก็อิ่มได้เลยนะ”
“นั่นสิ เกาะนี้สมบูรณ์ดีนะของกินเพียบเลย”
“อืมจับ ๆ เอาไม้ให้มันหนีบก่อนเดี๋ยวเรารวบตัวมันเอง”
กัณภัคบอกนรากร ก่อนที่เธอจะยื่นทั้งสองมือไปรวบเอาเจ้าปูตัวใหญ่ สองสาวยิ้มร่าก่อนที่จะเดินขึ้นฝั่งหาเถาวัลย์มาผูกป้องกันไม่ให้ปูเดินหนีไปได้
“อ้าว แล้วนั่นเจ้าม่อนไล่จับอะไร”
นรากรมองลงไปเห็นรุ่นน้องกำลังผุดลุกผุดยืน ไล่ตะครุบอะไรสักอย่าง แถมตอนนี้เนื้อตัวมอมแมมเลอะไปด้วยโคลน
“จับอะไรม่อน”
กัณภัคร้องถามออกไป
“ปลาอ่ะพี่ ปลาติดเกาะ มาช่วยหน่อยเนี่ยดื้อมากไม่ยอมให้จับดี ๆ”
ฮ่า ๆ
สองสาวหลุดขำกับคำบ่นของน้อง ก่อนจะรีบเดินลงไปช่วย สงสัยปลามันคงดื้อจริงเพราะสภาพคนจับดูไม่จืดเลยตอนนี้
สุดท้ายปลาชะตาขาด ก็โดนสามสาวรุมจับจนได้
“ตัวใหญ่หมือนกันนะนี่ ว่าแต่มันปลาอะไรล่ะเนี่ย”
นรากรเปรยขึ้น เมื่อช่วยกันจับปลาตัวขนาดเท่าแขนพวกเธอเลย
“จะปลาอะไรก็ช่างมันเหอะ แต่มันคงจะได้ไปเกิดใหม่เร็ว ๆ นี้แหล่ะพี่ สัพเพนะคุณปลา ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ไปเกิดใหม่แล้วนะ”
กัณภัคกับนรากรมองหน้ากันขำ ๆ นาทีนี้เพื่อความอยู่รอดการฆ่าสัตว์ก็คงหนีไม่พ้นจริง ๆ คิดซะว่าพวกเขาก็คงถึงคราวนั่นล่ะ
“ได้อะไรกันบ้าง แล้วม่อนทำไมสภาพเละขนาดนั้นล่ะ”
อัญญาวีที่เดินแยกออกไป เดินกลับมาเจอสภาพน้องก็ถามพลางยิ้มขำไปด้วย
“ไล่จับปลาค่ะพี่ ตอนนี้พวกเราได้ทั้งปลาทั้งปูทั้งหอยเลย”
กัณภัคตอบแทน
“งั้นมื้อนี้ก็อิ่มแปร้กันแล้วสิพวกเรา พี่ได้หอยโข่งทะเลมาเพิ่มด้วยตัวใหญ่น่ากินเลยแหละ เดี๋ยวคิดเมนูกันจะทำยังไงกิน ป่ะเอาของพวกนี้ไปล้างกันเถอะ จะได้กลับไปช่วยสาว ๆ พวกนั้นทำอาหารกัน”
ทั้งหมดช่วยกันจัดการ ทำความสะอาดหอยที่หามาได้หลากหลาย
“ม่อนนึกเมนูออกแล้วค่ะ พี่อัญบอกว่าหอยโข่งทะเลนี่มันลวกจิ้มอร่อยใช่มั้ยคะ”
“อือหึ”
“งั้นม่อนจะลองดัดแปลง ทำน้ำจิ้มสูตรชาวเกาะราดดูนะคะ”
“แน่ใจว่าจะกินได้นะม่อน ไม่ใช่พากันท้องเสียวิ่งเข้าป่ากันทั้งคืนนะ”
กัณภัคเอ่ยแซวน้องนอกไส้ พาให้ทุกคนขำไปด้วย
“อันนี้ไม่รับประกันนะพี่ แต่ต้องลอง” ฮ่า ๆ
ฝั่งกลุ่มหกสาวที่กลับมาถึงที่พักก่อน ตอนนี้เมนูหอยผัดสมุนไพรก็เสร็จไปแล้วเรียบร้อย หน้าตาบวกรสชาติไม่เลวเลยล่ะ
“ได้อะไรกันมาเยอะแยะละนั่น”
กรนันท์ทักสาว ๆ ทั้งสี่ที่พากันหอบกระทงมากันคนละใบ
“อ่ะ ได้อาหารมาเพิ่มเติม ปลากับปูนี่เราย่างเอาก็ได้นะ ส่วนหอยตัวใหญ่ ม่อนเขาขอโชว์ฝีมือเอง ทุกคนเตรียมวิ่งป่าราบกันนะคืนนี้”
อัญญาวีวางกระทงอาหารลงก่อนจะเอ่ยแซวน้องเล็ก ที่อาสาจะทำเมนูหอยราดน้ำจิ้มสูตรชาวเกาะที่ว่า
“ม่อนรบกวนต้มหอยโข่งทะเลนี่ให้หน่อยนะคะ ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ต้มแค่พอสุกนะคะไม่ต้องสุกมาก”
มณนิชาวางกระทงหอยตัวใหญ่ลง ให้พี่ที่เหลือช่วยจัดการต้ม ก่อนจะแยกไปผลัดเสื้อผ้า
ตอนนี้กองไฟถูกแยกออกไปสามกอง เพื่อใช้ในการทำอาหาร กองแรกกำลังถูกย่างปลากับหอย และปูตัวใหญ่ซึ่งไม่รู้ว่าพากันไปเก็บตะแกรง หรือกรงสะแตนเลสมายังไง แต่มันช่างเหมาะที่จะใช้เป็นตะแกรงย่างอย่างดีเลยล่ะ กองที่สองใช้เผามัน กองที่สามกำลังต้มหอยนั่นเอง
“อ่ะสุกพอดีแล้วทำไงต่อม่อน”
กรนันท์ถามรุ่นน้องที่เปลี่ยนชุดกลับมาแล้ว
“ช่วยหั่นเป็นชิ้นให้ม่อนหน่อยนะพี่เดี๋ยวม่อนจะทำน้ำจิ้ม พวกพี่ชอบชิ้นยาวหรือสี่เหลี่ยมก็จัดไปเลย”
“โอเค ๆ จัดให้”
กรนันท์จัดการตักเอาหอยออกมาแช่น้ำให้เย็นเร็วขึ้น ก่อนจะเอาตัวหอยออกจากเปลือก ถ้าคนไม่เคยทำก็จะลำบากหน่อย แต่สำหรับเธอผู้อยู่กับอาหารทะลมาทุกชนิด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีวิธีการนำมันออกมาอย่างง่ายดาย
“พี่กัณช่วยคั้นกะทิให้หน่อย แล้วก็เศษมะพร้าวไม่ต้องทิ้งนะพี่ ม่อนจะเอามาคั่วกับเครื่อง”
“อือหึ”
กัณภัคช่วยจัดการตามที่น้องบอก
“ให้พวกพี่ช่วยอะไรไหมม่อน”
เรวิกาเอ่ยถามขึ้น เพราะตอนนี้ว่างกันแล้ว
“อืม งั้นพี่ช่วยตำไอ้ตะลิงปลิงนี่ให้ม่อนละกันนะ เดี๋ยวจะคั้นเอาน้ำมาทำน้ำจิ้มราดค่ะ”
“ได้จ๊ะ”
“แน่ใจนะว่าสูตรน้ำจิ้มนี่ จะไม่ทำพวกเราท้องเสียน่ะ”
ชาลิศาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นบัดดี้ตัวเองหยิบนั่นนี่มาสับ ๆ รวมกัน กลิ่นข่าบวกขิงหอมเรียกน้ำย่อยให้ทำงานเลยล่ะ
มณนิชาเงยหน้ามายิ้มให้ก่อนจะตอบ
“ท้องเสียก็ไม่เป็นไรนี่เจ๊ ป่าออกจะกว้างไม่ต้องมารอคิวเหมือนเข้าห้องน้ำ ปวดปุ๊บวิ่งปั๊บเลย” ฮ่า ๆ
ป๊าป
มือบางตีเข้าที่หัวไหล่ด้วยความหมั่นไส้
“ดูพูดเข้า ถึงไม่ต้องรอคิวแล้วใครเขาอยากจะวิ่งเข้าป่าทั้งคืนห๊ะ”
“หึ ๆ มันคงไม่เสียหรอกมั้ง น่า เจ๊ก็อย่ากินเยอะละกัน แต่ถ้ามันอร่อยจนหยุดไม่ได้ก็อย่ามาโทษกันล่ะ”
“ทำเป็นพูดดี ให้มันกินได้ก่อนเถอะย่ะ”
นางร้ายสาวแกล้งว่าไปด้วยความหมั่นไส้คนที่ยอตัวเอง ตาก็คอยจับจ้องแม่ครัวเอกที่จับเอาทุกอย่างลงผัดรวมกันในหม้อ กลิ่นหอมของสมุนไพรบวกกับกลิ่นกะทิลอยฟุ้งชวนให้หิวอยู่ไม่น้อย มณนิชานำหอยที่กรนันท์หั่นเสร็จแล้วลงผัดคลุกเคล้ากับเครื่อง เสร็จแล้วก็ตักกลับใส่ในตัวหอยเหมือนเดิม จากนั้นก็ทำการปรุงน้ำจิ้มสูตรคิดเองเออเองนั่นแหละ
น้ำกะทิประมาณครึ่งแก้วเทลงในหม้อ ตามด้วยเกลือที่พากันสกัดจากน้ำทะเลเอง น้ำผึ้ง และน้ำจากที่คั้นเอาจากผลตะลิงปลิงแทนน้ำมะนาว มณนิชาคนทุกอย่างให้เข้ากันก่อนจะลองตักขึ้นมาชิม สีสันมันใกล้เคียงกับน้ำต้มยำเหมือนกันนะหอมกลิ่นกะทิ
“อื้อหือ แหล่มเลยอ่ะ เจ๊ ลองชิมดู”
เจ้าของเมนูทำหน้าตาฟินเกินจนพี่ ๆ ที่เห็นอดขำไม่ได้ ชาลิศาหยิบเปลือกหอยมาลองตักน้ำจิ้มข้น ๆ ขึ้นชิม พอรสชาติแตะลิ้นก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย มันหอมกะทิ เปรี้ยว หวานเค็ม กำลังดีจริง ๆ นั่นแหละ
“เป็นไงเจ๊ อร่อยมั้ย ขาดอะไร”
มณนิชาเร่งเอาคำตอบจากคู่บัดดี้ ให้ทุกคนที่เหลือรอลุ้นฟังรสชาติไปด้วย
“ก็อร่อยดี พอแล้วแหละ”
เฮ้อ เสียงแอบถอนหายใจจากพี่ ๆ ทำให้น้องเล็กหัวเราะชอบใจ
“เห็นมั้ยล่ะว่าสูตรน้ำจิ้มชาวเกาะมันต้องกินได้”
เมื่อรสชาติใช้ได้ มณนิชาจัดการนำขิงข่าสับละเอียดที่คั่วไว้ลงผสมกับน้ำจิ้ม จากนั้นก็ยกหม้อลง จัดการตักน้ำจิ้มราดลงกับหอยที่ตักกลับไปใส่ไว้ในเปลือกอีกรอบ
“เดี๋ยวเราเอาหอยขึ้นย่างไฟ ให้น้ำจิ้มมันซึมเข้าเนื้อหอย เราจะทานกันแบบร้อน ๆ ควันฉุย ๆ กันเลยค่ะ”
เมนูนี้คงจะถูกจดจำไว้ในลิสอาหารตามยถากรรม แต่รสชาติดีอีกหนึ่งอย่าง เพราะกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งทำเอาสาว ๆ พากันกลืนน้ำลายกันเลยทีเดียว
“ไหน ๆ ม่อน เดี๋ยวพี่ลองเอาหอยนี่จิ้มน้ำจิ้มดูหน่อย”
นรากรที่นั่งย่างพวกหอยปูปลากับเนย่าบอก ก่อนจะใช้ไม้ตะเกียบที่ทำกันเองคีบหอยที่ย่างสุกแล้ว ลงจิ้มในน้ำจิ้มของรุ่นน้อง
“อื้ม อร่อยดี รสชาติไม่เลวเลยนะนี่ งั้นทำเพิ่มอีกถ้วยเลยจะได้มีน้ำจิ้มหอยพวกนี้ด้วย”
“จัดไปสิคะ”
อาหารเย็นเสร็จทุกอย่าง ก็ตอนที่ดวงอาทิตย์สาดแสงสีแดงแกมส้มส่องแสงสีทองสะท้อนผิวน้ำ ฝูงนกกำลังบินเกาะกลุ่มเป็นรูปทรงต่าง ๆ มุ่งพากันกลับรังในยามเย็นแบบนี้
อีกไม่นานเสียงหรีดหริ่งเรไร คงเริ่มร้องประสานเป็นดนตรีธรรมชาติให้ได้ฟังอีกเช่นเคย
“พรุ่งนี้กัณจะทำโต๊ะสำหรับวางอาหารดีกว่านะคะ ไม้ไผ่เราเหลือหลายลำเลย “
กัณภัคเอ่ยขึ้นขณะนั่งล้อมวงกันทานมื้อค่ำ โดยใช้ใบตองปูซ้อนกันบนพื้นทรายง่าย ๆ
“ทำเป็นเหรอคะ? ”
เรวิกาถามขึ้นให้คนข้าง ๆ พยักหน้ายิ้ม
“ก็ทำคล้าย ๆ แคร่ไม้ไผ่ไง เราทำยาวหน่อย วางเป็นโต๊ะอาหารจะได้ไม่ต้องวางกินกับพื้นแบบนี้”
“อืม ไอเดียดีนะ ถ้ามีอะไรให้พวกพี่ช่วยก็บอกแล้วกัน ทำของพวกนี้บอกตรง ๆ พี่ไม่เคยทำนะ”
อัญญาวีออกตัว
“พวกพี่ไม่ต้องกังวลค่ะ พี่กัณเค้าเป็นนักประดิษฐ์อยู่แล้ว เดี๋ยวม่อนช่วยพี่เขาอีกแรงสบาย ๆ ค่ะ”
“พรุ่งนี้พวกเราจะพักผ่อนกันก็ได้นะ อาหารเราก็เก็บหอยมาทำเหมือนวันนี้ก็ได้ รสชาติไม่เลวเลยนะเนี่ย”
อัญญาวีกล่าวชมบรรดาแม่ครัว ที่คิดเมนูอาหารที่อร่อยไม่น้อยเลย
“กับดักไก่เราไงพี่ เผื่อโชคดีได้มาสักตัวสองตัวก็ไม่เลวนะ”
ณัฐพัชพูดถึงสิ่งที่พากันทำไว้เมื่อช่วงเช้า
“เออนั่นสิ พี่ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเราวางกับดักไว้ด้วย”
“แล้วใครจะจัดการไก่คะ ถ้ามันติดกับดักจริง ๆ”
กิ่งกานต์ที่นั่งฟังก็ถามขึ้น ให้มือวางกับดักได้พากันทำหน้าตาเหรอหรามองกันไปมา นั่นสินะ เอาตรง ๆ ก็ยังไม่เคยลงมือเชือดไก่สักที
“เอิ่ม ถ้ามันติดก็คงต้องยอมเป็นมือสังหารละนะ”
อัญญาวีตอบอ้อมแอ้ม พลางหันไปยิ้มแหยให้คุณหมอที่มองมากดดันกัน ส่วนน้อง ๆ ที่เห็น ก็พากันแอบกลั้นขำแทบไม่ไหว เพิ่งจะเห็นพี่หมอทำสีหน้าเรียบเฉยแบบนี้สักที
“หมอไม่กินไก่เหรอคะ”
อัญญาวีอดถามออกไปไม่ได้
“ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินค่ะ แค่ถามว่าใครจะจัดการ”
“อ้าว”
คนได้ยินก็ยิ่งทำหน้าตาเอ๋อเข้าไปอีก
“ก็คุณบอกจะยอมเป็นมือสังหารแล้วนี่คะ ก็เอาตามนั้นแหละ ฉันก็มีหน้าที่ทำอาหารต่อ”
คุณหมอคนสวยแอบอมยิ้มขำ เมื่อเห็นสีหน้าคนที่จะต้องกลายเป็นมือสังหาร เสียงหัวเราะคิกคักของน้อง ๆ เลยทำเอารุ่นพี่อย่างอัญญาวีมองค้อนด้วยความหมั่นไส้ แหม ตอนที่ถามนี่ตอบเสียงเดียวกันหมดเลยนะว่าอยากกินไก่ แต่พอถามหาคนจะจัดการไก่นี่ พากันเงียบกริบเลยเด็กพวกนี้นี่
“ไนซ์อย่ากินเยอะนะ มันน่ะ”
ณัฐพัชเอ่ยทักขึ้นพลางยิ้มมีเลศนัย ให้คนที่แกะเปลือกมันนกกินอย่างอร่อย ถึงกับชะงักค้าง
“ทำไมเหรอพี่ กินเยอะแล้วมันจะเป็นอันตรายเหรอคะ?”
“เปล่า กินเยอะระวังจะนก ๆ ๆ เหมือนชื่อมันน่ะ”
ก๊ากก ฮ่า ๆ
“โถ มุขนี้พี่คิดได้ยังไงอ่ะพี่ณัฐ”
มณนิชาหัวเราะขำแบบไม่เกรงใจพี่คนถูกแซวเลย จนชาลิศายกมือตีเหม่งเข้าให้ ส่วนคนถูกแซวแม้จะเขินก็อดขำไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ
“แบ่งให้คนข้าง ๆ ช่วยกันกินสิจะได้ไม่นก”
นั่น อัญญาวีนี่ก็ใช่ย่อย แซวน้องไม่ปล่อยเลยเหมือนกัน
“อ่ะ คุณช่วยกินหน่อย”
เนย่าหันมามองคนที่ยื่นมันสีขาวแกะเปลือกเรียบร้อยมาจ่อที่ปาก ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากกินนะ แต่มันเขินนี่ ก็เพิ่งจะโดนพี่เขาแซวไปหยก ๆ
“กินไปเหอะเนย่า มีคนอาสาปอกให้น่ะ”
เรวิกาเอาศอกกระทุ้งเพื่อนพร้อมกับเอ่ยเย้าไปด้วย เรียกรอยยิ้มล้อเลียนของทุกคนเข้าไปอีก แต่สุดท้ายเธอก็ยอมหยิบมันเข้าปากจนได้นั่นล่ะ รสชาติอร่อยแบบนี้ไม่น่าชื่อมันนกเลยนะนี่
เวลาผ่านไปพักใหญ่ จนความมืดเข้าครอบคลุมทั่วผืนป่า
“ม่อน แกลืมอะไรหรือเปล่า”
กัณภัคทักน้องรักขึ้นมา ให้เจ้าตัวทำสีหน้างุนงง
“อะไรเหรอพี่?”
“แกบอกจะรำแก้บนไง ลืมหรือไง”
“โอ๊ะ ตาย ม่อนลืมจริง ๆ ด้วยนะเนี่ย เกือบจะเตรียมตัวนอนแล้วเรา”
ว่าแล้วลูกสาวอดีตนางเอกหมอลำก็ลุกขึ้น ยกมือไหว้สี่ทิศหมายถึงทำความเคารพเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาไปในตัว
“อะแฮ่ม พี่จะไม่ช่วยกันทำมาหากินหน่อยเหรอคะ อย่างน้อยก็กินด้วยกันนะเมื่อเช้าน่ะ”
ฮ่า ๆ
“เอา ๆ เดี๋ยวช่วยร้องเพลง แกก็รำไป”
กัณภัคบอกรุ่นน้องทั้งขำไปด้วย นรากรคว้าได้ขวดแก้วมาพร้อมไม้เคาะ ณัฐพัชเองก็นึกสนุกจับเอากะลาเปล่ามาคว่ำลงทำเป็นกลองซะงั้น แหมพี่แต่ละคนนี่ไม่ค่อยจะรื่นเริงบันเทิงใจเลยนะ หรืออยากจะดูเธอเต้นแก้บนก็ไม่รู้ ดูจะร่วมด้วยช่วยกันดีเหลือเกิน น้องเล็กของทีมคิดอย่างหมั่นไส้นิด ๆ
"เอาเพลงอะไรว่ามาเลยม่อน ดนตรีพร้อมแล้ว"
อัญญาวีแซวน้องเล็กออกไปด้วยรอยยิ้มขำ
"รำวงมันก็คงต้องเพลงจังหวะสามช่านิด ๆ นะคะ คิก ๆ ถ้างั้นเพื่อเป็นเกียรติแด่พี่สาวคนสวยทั้งสอง น้องม่อนคนน่ารักขอมอบบทเพลงนี้ให้พี่อัญและพี่หมอนะค๊า 30 ยังแจ๋วค่า"
แต๊ว ๆ ๆ แต่วแน๋ว ๆ แต๊วแร่วแต๊วแน่ว ๆ ทะละแลบแทบ ๆ ๆ
พอทราบอายุขวัญตา
น้องเอ๋ยพี่มานั่งทำตาปริบปริบ
น้องอายุสามสิบ สามสิบทำไมยังสวย
ยังเต่งยังตึงตึงตัง น้องเอยขาวจัง
ขาวดังอาม่วย ยิ้มยังหวานเสียด้วย
ป๋าป่วย ยังมองตาแป๋ว...
โถ ใครจะเชื่อ
ว่าแม่บุญเหลือ อายุมากแล้ว
สามสิบยังแจ๋ว แน่ะแจ๋วเสียจนน่าจีบ
โอ้แม่มะพร้าวเนื้อตัน
น้องเอยมามันเอาเมื่อตอน สามสิบ
โถแม่แก้มสองหยิบ สามสิบดูซิ ยังสวย
(เครดิตเพลง 30 ยังแจ๋ว ยอดรัก สลักใจ)
เจ้าเด็กทะเล้นจับเอาหัวมันจ่อปากแทนไมค์ แล้วส่งเสียงกังวานใสร้องเพลงฮิตรุ่นพ่อออกมา ให้พี่ ๆ ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ ไอ้ท่าเต้นโยกตัวตามจังหวะทำนองนั่น มันน่าขำน้อยซะเมื่อไหร่ เกาะร้างแทนที่จะเงียบเหงา ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮายังกับวงเหล้าคนเมาก็ไม่ปาน