ตอนที่9

3188 คำ
“ไนซ์เร็ว ๆ อย่าแกล้ง แสบตาแล้วเนี่ย” เสียงเนย่าโวยให้คนที่อาสาตักน้ำลงรางให้เธอ แต่ตอนนี้มันไม่มีน้ำไหลลงมาเลยสักหยด คิก ๆ “แป๊บนึงนะจ๊ะที่รัก” “อื้อหือ เมื่อวานยังเป็นว่าที่แฟนอยู่เลย วันนี้เป็นที่รักแล้วเหรอคะพี่ไนซ์” มณนิชาเอ่ยแซวรุ่นพี่ ที่หัวเราะคิกคักตักน้ำให้บัดดี้ตัวเอง ส่วนคนที่โดนเรียกที่รักก็แอบเขินอยู่ไม่น้อย จะบ้าตาย ไม่คิดว่าเธอจะอายบ้างหรือไง ไหนจะทีมกล้อง ไหนจะเพื่อนร่วมทีมที่พากันยิ้มขำล้อเลียนอยู่เนี่ย หึ ๆ “ช้าไม่ได้หรอกม่อน เจอคนที่ใช่ทั้งทีพี่ต้องรีบจับจอง กลับออกจากเกาะว่าจะให้พ่อไปขอแล้วเนี่ย” ฮ่า ๆ เฮ้ว ตุบตับ ๆ โอ๊ย ๆ “เนย่า ฮ่ะ ๆ เจ็บนะ” “เก็บปากเลย พูดอะไรเพ้อเจ้อ อายพี่ ๆ เขาบ้างมั้ยน่ะ” คนที่เขินก็ลุกมาฟาดทั้งหยิกคนหน้าไม่อาย ให้ต้องวิ่งหลบซ้ายขวาพัลวัล “อายทำไมคนเยอะแยะ ดีซะอีกมีคนเป็นพยานรักให้เราฮ่า ๆ” เฮ้ว “จัดงานแต่งที่เกาะนี้เลยมั้ยไนซ์ เดี๋ยวพี่เป็นเถ้าแก่ให้ชั่วคราว” ฮ่า ๆ อัญญาวีแซวย้ำเข้าไปอีก เรียกเสียงหัวเราะขำคู่บัดดี้ที่มีสิทธิ์จะกลายเป็นคู่รักกันจริง ๆ ซะละมั้ง เพราะดูท่าแล้วสาวนักแข่งรถจะเอาจริงไม่ใช่แค่หยอดขนมครกเล่น ๆ กว่าเสียงพูดคุยหัวเราะเฮฮาจะเงียบลงได้ ก็หลังจากทั้งหกสาวแยกกลับไปที่พักกันก่อนนั่นล่ะ “ช่วงรอน้ำลงให้อุโมงค์ลอดผ่านได้ เราก็หาอะไรกันต่อมั้ย เผื่อจะได้อาหารเพิ่ม” อัญญาวีบอกน้อง ๆ ที่เหลือกันอยู่สี่คน “หาเก็บหอยต่อสิพี่ น้ำลดลงเยอะแล้วด้วย ไม่แน่นะเผื่อจะเจอพวกปูพวกกุ้งหลบอยู่ตามซอกหินก็ได้” นรากรกล่าวขึ้น ให้มณนิชาตาโตออกอาการดี๊ด๊าเพียงได้ยินคำว่ากุ้ง “งั้นลุยเลยเหอะพี่ เผื่อโชคดีม่อนจะได้กินกุ้งอีก” “ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะเจ้าม่อน ป่ะ ๆ เจออะไรที่กินได้ก็เอาหมดนั่นล่ะ” กัณภัคบอกก่อนที่ทั้งสี่สาวจะแยกกันหาอาหารทะเล ที่อาจจะมีให้เห็นเพิ่มนอกจากหอยสองสามชนิดที่พากันเก็บไปก่อนหน้านี้ “โอ้ นี่มันหอยอะไรหว่า ทำไมตัวใหญ่จัง” มณนิชาเดินเอาไม้เขี่ยไปตามซอกหิน ก็เจอเข้ากับหอยตัวขนาดเท่าฝ่ามือเลยหยิบมาดู “พี่ ๆ นี่หอยอะไรคะ มันกินได้มั้ย” ทุกคนหันมามองสิ่งที่มณนิชายกขึ้นโชว์ อัญญาวีเลยเดินมาดูใกล้ ๆ “หืม หอยโข่งทะเลนี่ กินได้นะหอยนี่ชาวบ้านเขาเก็บไปขายกันน่ะ ลวกจิ้มอร่อยนะม่อน” “เหรอคะ แบบนี้ต้องลองค่ะ จะอร่อยเหมือนหอยโข่งที่บ้านม่อนหรือเปล่า” คิก ๆ “ฮึ่ย ๆ ปู ๆ กัณมาช่วยดักหน่อยเร็ว เดี๋ยวมันวิ่งลงน้ำ” นรากรร้องเรียกเพื่อน เมื่อเห็นปูตัวใหญ่แอบหลบในแอ่งน้ำเล็กข้างโขดหิน “ตัวใหญ่เหมือนกันนะนี่ ถ้าเจอแบบนี้สักสามตัวพวกเราก็อิ่มได้เลยนะ” “นั่นสิ เกาะนี้สมบูรณ์ดีนะของกินเพียบเลย” “อืมจับ ๆ เอาไม้ให้มันหนีบก่อนเดี๋ยวเรารวบตัวมันเอง” กัณภัคบอกนรากร ก่อนที่เธอจะยื่นทั้งสองมือไปรวบเอาเจ้าปูตัวใหญ่ สองสาวยิ้มร่าก่อนที่จะเดินขึ้นฝั่งหาเถาวัลย์มาผูกป้องกันไม่ให้ปูเดินหนีไปได้ “อ้าว แล้วนั่นเจ้าม่อนไล่จับอะไร” นรากรมองลงไปเห็นรุ่นน้องกำลังผุดลุกผุดยืน ไล่ตะครุบอะไรสักอย่าง แถมตอนนี้เนื้อตัวมอมแมมเลอะไปด้วยโคลน “จับอะไรม่อน” กัณภัคร้องถามออกไป “ปลาอ่ะพี่ ปลาติดเกาะ มาช่วยหน่อยเนี่ยดื้อมากไม่ยอมให้จับดี ๆ” ฮ่า ๆ สองสาวหลุดขำกับคำบ่นของน้อง ก่อนจะรีบเดินลงไปช่วย สงสัยปลามันคงดื้อจริงเพราะสภาพคนจับดูไม่จืดเลยตอนนี้ สุดท้ายปลาชะตาขาด ก็โดนสามสาวรุมจับจนได้ “ตัวใหญ่หมือนกันนะนี่ ว่าแต่มันปลาอะไรล่ะเนี่ย” นรากรเปรยขึ้น เมื่อช่วยกันจับปลาตัวขนาดเท่าแขนพวกเธอเลย “จะปลาอะไรก็ช่างมันเหอะ แต่มันคงจะได้ไปเกิดใหม่เร็ว ๆ นี้แหล่ะพี่ สัพเพนะคุณปลา ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ไปเกิดใหม่แล้วนะ” กัณภัคกับนรากรมองหน้ากันขำ ๆ นาทีนี้เพื่อความอยู่รอดการฆ่าสัตว์ก็คงหนีไม่พ้นจริง ๆ คิดซะว่าพวกเขาก็คงถึงคราวนั่นล่ะ “ได้อะไรกันบ้าง แล้วม่อนทำไมสภาพเละขนาดนั้นล่ะ” อัญญาวีที่เดินแยกออกไป เดินกลับมาเจอสภาพน้องก็ถามพลางยิ้มขำไปด้วย “ไล่จับปลาค่ะพี่ ตอนนี้พวกเราได้ทั้งปลาทั้งปูทั้งหอยเลย” กัณภัคตอบแทน “งั้นมื้อนี้ก็อิ่มแปร้กันแล้วสิพวกเรา พี่ได้หอยโข่งทะเลมาเพิ่มด้วยตัวใหญ่น่ากินเลยแหละ เดี๋ยวคิดเมนูกันจะทำยังไงกิน ป่ะเอาของพวกนี้ไปล้างกันเถอะ จะได้กลับไปช่วยสาว ๆ พวกนั้นทำอาหารกัน” ทั้งหมดช่วยกันจัดการ ทำความสะอาดหอยที่หามาได้หลากหลาย “ม่อนนึกเมนูออกแล้วค่ะ พี่อัญบอกว่าหอยโข่งทะเลนี่มันลวกจิ้มอร่อยใช่มั้ยคะ” “อือหึ” “งั้นม่อนจะลองดัดแปลง ทำน้ำจิ้มสูตรชาวเกาะราดดูนะคะ” “แน่ใจว่าจะกินได้นะม่อน ไม่ใช่พากันท้องเสียวิ่งเข้าป่ากันทั้งคืนนะ” กัณภัคเอ่ยแซวน้องนอกไส้ พาให้ทุกคนขำไปด้วย “อันนี้ไม่รับประกันนะพี่ แต่ต้องลอง” ฮ่า ๆ ฝั่งกลุ่มหกสาวที่กลับมาถึงที่พักก่อน ตอนนี้เมนูหอยผัดสมุนไพรก็เสร็จไปแล้วเรียบร้อย หน้าตาบวกรสชาติไม่เลวเลยล่ะ “ได้อะไรกันมาเยอะแยะละนั่น” กรนันท์ทักสาว ๆ ทั้งสี่ที่พากันหอบกระทงมากันคนละใบ “อ่ะ ได้อาหารมาเพิ่มเติม ปลากับปูนี่เราย่างเอาก็ได้นะ ส่วนหอยตัวใหญ่ ม่อนเขาขอโชว์ฝีมือเอง ทุกคนเตรียมวิ่งป่าราบกันนะคืนนี้” อัญญาวีวางกระทงอาหารลงก่อนจะเอ่ยแซวน้องเล็ก ที่อาสาจะทำเมนูหอยราดน้ำจิ้มสูตรชาวเกาะที่ว่า “ม่อนรบกวนต้มหอยโข่งทะเลนี่ให้หน่อยนะคะ ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ต้มแค่พอสุกนะคะไม่ต้องสุกมาก” มณนิชาวางกระทงหอยตัวใหญ่ลง ให้พี่ที่เหลือช่วยจัดการต้ม ก่อนจะแยกไปผลัดเสื้อผ้า ตอนนี้กองไฟถูกแยกออกไปสามกอง เพื่อใช้ในการทำอาหาร กองแรกกำลังถูกย่างปลากับหอย และปูตัวใหญ่ซึ่งไม่รู้ว่าพากันไปเก็บตะแกรง หรือกรงสะแตนเลสมายังไง แต่มันช่างเหมาะที่จะใช้เป็นตะแกรงย่างอย่างดีเลยล่ะ กองที่สองใช้เผามัน กองที่สามกำลังต้มหอยนั่นเอง “อ่ะสุกพอดีแล้วทำไงต่อม่อน” กรนันท์ถามรุ่นน้องที่เปลี่ยนชุดกลับมาแล้ว “ช่วยหั่นเป็นชิ้นให้ม่อนหน่อยนะพี่เดี๋ยวม่อนจะทำน้ำจิ้ม พวกพี่ชอบชิ้นยาวหรือสี่เหลี่ยมก็จัดไปเลย” “โอเค ๆ จัดให้” กรนันท์จัดการตักเอาหอยออกมาแช่น้ำให้เย็นเร็วขึ้น ก่อนจะเอาตัวหอยออกจากเปลือก ถ้าคนไม่เคยทำก็จะลำบากหน่อย แต่สำหรับเธอผู้อยู่กับอาหารทะลมาทุกชนิด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีวิธีการนำมันออกมาอย่างง่ายดาย “พี่กัณช่วยคั้นกะทิให้หน่อย แล้วก็เศษมะพร้าวไม่ต้องทิ้งนะพี่ ม่อนจะเอามาคั่วกับเครื่อง” “อือหึ” กัณภัคช่วยจัดการตามที่น้องบอก “ให้พวกพี่ช่วยอะไรไหมม่อน” เรวิกาเอ่ยถามขึ้น เพราะตอนนี้ว่างกันแล้ว “อืม งั้นพี่ช่วยตำไอ้ตะลิงปลิงนี่ให้ม่อนละกันนะ เดี๋ยวจะคั้นเอาน้ำมาทำน้ำจิ้มราดค่ะ” “ได้จ๊ะ” “แน่ใจนะว่าสูตรน้ำจิ้มนี่ จะไม่ทำพวกเราท้องเสียน่ะ” ชาลิศาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นบัดดี้ตัวเองหยิบนั่นนี่มาสับ ๆ รวมกัน กลิ่นข่าบวกขิงหอมเรียกน้ำย่อยให้ทำงานเลยล่ะ มณนิชาเงยหน้ามายิ้มให้ก่อนจะตอบ “ท้องเสียก็ไม่เป็นไรนี่เจ๊ ป่าออกจะกว้างไม่ต้องมารอคิวเหมือนเข้าห้องน้ำ ปวดปุ๊บวิ่งปั๊บเลย” ฮ่า ๆ ป๊าป มือบางตีเข้าที่หัวไหล่ด้วยความหมั่นไส้ “ดูพูดเข้า ถึงไม่ต้องรอคิวแล้วใครเขาอยากจะวิ่งเข้าป่าทั้งคืนห๊ะ” “หึ ๆ มันคงไม่เสียหรอกมั้ง น่า เจ๊ก็อย่ากินเยอะละกัน แต่ถ้ามันอร่อยจนหยุดไม่ได้ก็อย่ามาโทษกันล่ะ” “ทำเป็นพูดดี ให้มันกินได้ก่อนเถอะย่ะ” นางร้ายสาวแกล้งว่าไปด้วยความหมั่นไส้คนที่ยอตัวเอง ตาก็คอยจับจ้องแม่ครัวเอกที่จับเอาทุกอย่างลงผัดรวมกันในหม้อ กลิ่นหอมของสมุนไพรบวกกับกลิ่นกะทิลอยฟุ้งชวนให้หิวอยู่ไม่น้อย มณนิชานำหอยที่กรนันท์หั่นเสร็จแล้วลงผัดคลุกเคล้ากับเครื่อง เสร็จแล้วก็ตักกลับใส่ในตัวหอยเหมือนเดิม จากนั้นก็ทำการปรุงน้ำจิ้มสูตรคิดเองเออเองนั่นแหละ น้ำกะทิประมาณครึ่งแก้วเทลงในหม้อ ตามด้วยเกลือที่พากันสกัดจากน้ำทะเลเอง น้ำผึ้ง และน้ำจากที่คั้นเอาจากผลตะลิงปลิงแทนน้ำมะนาว มณนิชาคนทุกอย่างให้เข้ากันก่อนจะลองตักขึ้นมาชิม สีสันมันใกล้เคียงกับน้ำต้มยำเหมือนกันนะหอมกลิ่นกะทิ “อื้อหือ แหล่มเลยอ่ะ เจ๊ ลองชิมดู” เจ้าของเมนูทำหน้าตาฟินเกินจนพี่ ๆ ที่เห็นอดขำไม่ได้ ชาลิศาหยิบเปลือกหอยมาลองตักน้ำจิ้มข้น ๆ ขึ้นชิม พอรสชาติแตะลิ้นก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย มันหอมกะทิ เปรี้ยว หวานเค็ม กำลังดีจริง ๆ นั่นแหละ “เป็นไงเจ๊ อร่อยมั้ย ขาดอะไร” มณนิชาเร่งเอาคำตอบจากคู่บัดดี้ ให้ทุกคนที่เหลือรอลุ้นฟังรสชาติไปด้วย “ก็อร่อยดี พอแล้วแหละ” เฮ้อ เสียงแอบถอนหายใจจากพี่ ๆ ทำให้น้องเล็กหัวเราะชอบใจ “เห็นมั้ยล่ะว่าสูตรน้ำจิ้มชาวเกาะมันต้องกินได้” เมื่อรสชาติใช้ได้ มณนิชาจัดการนำขิงข่าสับละเอียดที่คั่วไว้ลงผสมกับน้ำจิ้ม จากนั้นก็ยกหม้อลง จัดการตักน้ำจิ้มราดลงกับหอยที่ตักกลับไปใส่ไว้ในเปลือกอีกรอบ “เดี๋ยวเราเอาหอยขึ้นย่างไฟ ให้น้ำจิ้มมันซึมเข้าเนื้อหอย เราจะทานกันแบบร้อน ๆ ควันฉุย ๆ กันเลยค่ะ” เมนูนี้คงจะถูกจดจำไว้ในลิสอาหารตามยถากรรม แต่รสชาติดีอีกหนึ่งอย่าง เพราะกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งทำเอาสาว ๆ พากันกลืนน้ำลายกันเลยทีเดียว “ไหน ๆ ม่อน เดี๋ยวพี่ลองเอาหอยนี่จิ้มน้ำจิ้มดูหน่อย” นรากรที่นั่งย่างพวกหอยปูปลากับเนย่าบอก ก่อนจะใช้ไม้ตะเกียบที่ทำกันเองคีบหอยที่ย่างสุกแล้ว ลงจิ้มในน้ำจิ้มของรุ่นน้อง “อื้ม อร่อยดี รสชาติไม่เลวเลยนะนี่ งั้นทำเพิ่มอีกถ้วยเลยจะได้มีน้ำจิ้มหอยพวกนี้ด้วย” “จัดไปสิคะ” อาหารเย็นเสร็จทุกอย่าง ก็ตอนที่ดวงอาทิตย์สาดแสงสีแดงแกมส้มส่องแสงสีทองสะท้อนผิวน้ำ ฝูงนกกำลังบินเกาะกลุ่มเป็นรูปทรงต่าง ๆ มุ่งพากันกลับรังในยามเย็นแบบนี้ อีกไม่นานเสียงหรีดหริ่งเรไร คงเริ่มร้องประสานเป็นดนตรีธรรมชาติให้ได้ฟังอีกเช่นเคย “พรุ่งนี้กัณจะทำโต๊ะสำหรับวางอาหารดีกว่านะคะ ไม้ไผ่เราเหลือหลายลำเลย “ กัณภัคเอ่ยขึ้นขณะนั่งล้อมวงกันทานมื้อค่ำ โดยใช้ใบตองปูซ้อนกันบนพื้นทรายง่าย ๆ “ทำเป็นเหรอคะ? ” เรวิกาถามขึ้นให้คนข้าง ๆ พยักหน้ายิ้ม “ก็ทำคล้าย ๆ แคร่ไม้ไผ่ไง เราทำยาวหน่อย วางเป็นโต๊ะอาหารจะได้ไม่ต้องวางกินกับพื้นแบบนี้” “อืม ไอเดียดีนะ ถ้ามีอะไรให้พวกพี่ช่วยก็บอกแล้วกัน ทำของพวกนี้บอกตรง ๆ พี่ไม่เคยทำนะ” อัญญาวีออกตัว “พวกพี่ไม่ต้องกังวลค่ะ พี่กัณเค้าเป็นนักประดิษฐ์อยู่แล้ว เดี๋ยวม่อนช่วยพี่เขาอีกแรงสบาย ๆ ค่ะ” “พรุ่งนี้พวกเราจะพักผ่อนกันก็ได้นะ อาหารเราก็เก็บหอยมาทำเหมือนวันนี้ก็ได้ รสชาติไม่เลวเลยนะเนี่ย” อัญญาวีกล่าวชมบรรดาแม่ครัว ที่คิดเมนูอาหารที่อร่อยไม่น้อยเลย “กับดักไก่เราไงพี่ เผื่อโชคดีได้มาสักตัวสองตัวก็ไม่เลวนะ” ณัฐพัชพูดถึงสิ่งที่พากันทำไว้เมื่อช่วงเช้า “เออนั่นสิ พี่ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเราวางกับดักไว้ด้วย” “แล้วใครจะจัดการไก่คะ ถ้ามันติดกับดักจริง ๆ” กิ่งกานต์ที่นั่งฟังก็ถามขึ้น ให้มือวางกับดักได้พากันทำหน้าตาเหรอหรามองกันไปมา นั่นสินะ เอาตรง ๆ ก็ยังไม่เคยลงมือเชือดไก่สักที “เอิ่ม ถ้ามันติดก็คงต้องยอมเป็นมือสังหารละนะ” อัญญาวีตอบอ้อมแอ้ม พลางหันไปยิ้มแหยให้คุณหมอที่มองมากดดันกัน ส่วนน้อง ๆ ที่เห็น ก็พากันแอบกลั้นขำแทบไม่ไหว เพิ่งจะเห็นพี่หมอทำสีหน้าเรียบเฉยแบบนี้สักที “หมอไม่กินไก่เหรอคะ” อัญญาวีอดถามออกไปไม่ได้ “ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินค่ะ แค่ถามว่าใครจะจัดการ” “อ้าว” คนได้ยินก็ยิ่งทำหน้าตาเอ๋อเข้าไปอีก “ก็คุณบอกจะยอมเป็นมือสังหารแล้วนี่คะ ก็เอาตามนั้นแหละ ฉันก็มีหน้าที่ทำอาหารต่อ” คุณหมอคนสวยแอบอมยิ้มขำ เมื่อเห็นสีหน้าคนที่จะต้องกลายเป็นมือสังหาร เสียงหัวเราะคิกคักของน้อง ๆ เลยทำเอารุ่นพี่อย่างอัญญาวีมองค้อนด้วยความหมั่นไส้ แหม ตอนที่ถามนี่ตอบเสียงเดียวกันหมดเลยนะว่าอยากกินไก่ แต่พอถามหาคนจะจัดการไก่นี่ พากันเงียบกริบเลยเด็กพวกนี้นี่ “ไนซ์อย่ากินเยอะนะ มันน่ะ” ณัฐพัชเอ่ยทักขึ้นพลางยิ้มมีเลศนัย ให้คนที่แกะเปลือกมันนกกินอย่างอร่อย ถึงกับชะงักค้าง “ทำไมเหรอพี่ กินเยอะแล้วมันจะเป็นอันตรายเหรอคะ?” “เปล่า กินเยอะระวังจะนก ๆ ๆ เหมือนชื่อมันน่ะ” ก๊ากก ฮ่า ๆ “โถ มุขนี้พี่คิดได้ยังไงอ่ะพี่ณัฐ” มณนิชาหัวเราะขำแบบไม่เกรงใจพี่คนถูกแซวเลย จนชาลิศายกมือตีเหม่งเข้าให้ ส่วนคนถูกแซวแม้จะเขินก็อดขำไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ “แบ่งให้คนข้าง ๆ ช่วยกันกินสิจะได้ไม่นก” นั่น อัญญาวีนี่ก็ใช่ย่อย แซวน้องไม่ปล่อยเลยเหมือนกัน “อ่ะ คุณช่วยกินหน่อย” เนย่าหันมามองคนที่ยื่นมันสีขาวแกะเปลือกเรียบร้อยมาจ่อที่ปาก ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากกินนะ แต่มันเขินนี่ ก็เพิ่งจะโดนพี่เขาแซวไปหยก ๆ “กินไปเหอะเนย่า มีคนอาสาปอกให้น่ะ” เรวิกาเอาศอกกระทุ้งเพื่อนพร้อมกับเอ่ยเย้าไปด้วย เรียกรอยยิ้มล้อเลียนของทุกคนเข้าไปอีก แต่สุดท้ายเธอก็ยอมหยิบมันเข้าปากจนได้นั่นล่ะ รสชาติอร่อยแบบนี้ไม่น่าชื่อมันนกเลยนะนี่ เวลาผ่านไปพักใหญ่ จนความมืดเข้าครอบคลุมทั่วผืนป่า “ม่อน แกลืมอะไรหรือเปล่า” กัณภัคทักน้องรักขึ้นมา ให้เจ้าตัวทำสีหน้างุนงง “อะไรเหรอพี่?” “แกบอกจะรำแก้บนไง ลืมหรือไง” “โอ๊ะ ตาย ม่อนลืมจริง ๆ ด้วยนะเนี่ย เกือบจะเตรียมตัวนอนแล้วเรา” ว่าแล้วลูกสาวอดีตนางเอกหมอลำก็ลุกขึ้น ยกมือไหว้สี่ทิศหมายถึงทำความเคารพเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาไปในตัว “อะแฮ่ม พี่จะไม่ช่วยกันทำมาหากินหน่อยเหรอคะ อย่างน้อยก็กินด้วยกันนะเมื่อเช้าน่ะ” ฮ่า ๆ “เอา ๆ เดี๋ยวช่วยร้องเพลง แกก็รำไป” กัณภัคบอกรุ่นน้องทั้งขำไปด้วย นรากรคว้าได้ขวดแก้วมาพร้อมไม้เคาะ ณัฐพัชเองก็นึกสนุกจับเอากะลาเปล่ามาคว่ำลงทำเป็นกลองซะงั้น แหมพี่แต่ละคนนี่ไม่ค่อยจะรื่นเริงบันเทิงใจเลยนะ หรืออยากจะดูเธอเต้นแก้บนก็ไม่รู้ ดูจะร่วมด้วยช่วยกันดีเหลือเกิน น้องเล็กของทีมคิดอย่างหมั่นไส้นิด ๆ "เอาเพลงอะไรว่ามาเลยม่อน ดนตรีพร้อมแล้ว" อัญญาวีแซวน้องเล็กออกไปด้วยรอยยิ้มขำ "รำวงมันก็คงต้องเพลงจังหวะสามช่านิด ๆ นะคะ คิก ๆ ถ้างั้นเพื่อเป็นเกียรติแด่พี่สาวคนสวยทั้งสอง น้องม่อนคนน่ารักขอมอบบทเพลงนี้ให้พี่อัญและพี่หมอนะค๊า  30 ยังแจ๋วค่า" แต๊ว ๆ ๆ แต่วแน๋ว ๆ แต๊วแร่วแต๊วแน่ว ๆ ทะละแลบแทบ ๆ ๆ พอทราบอายุขวัญตา น้องเอ๋ยพี่มานั่งทำตาปริบปริบ น้องอายุสามสิบ สามสิบทำไมยังสวย ยังเต่งยังตึงตึงตัง น้องเอยขาวจัง ขาวดังอาม่วย ยิ้มยังหวานเสียด้วย ป๋าป่วย ยังมองตาแป๋ว... โถ ใครจะเชื่อ ว่าแม่บุญเหลือ อายุมากแล้ว สามสิบยังแจ๋ว แน่ะแจ๋วเสียจนน่าจีบ โอ้แม่มะพร้าวเนื้อตัน น้องเอยมามันเอาเมื่อตอน สามสิบ โถแม่แก้มสองหยิบ สามสิบดูซิ ยังสวย (เครดิตเพลง 30 ยังแจ๋ว ยอดรัก  สลักใจ) เจ้าเด็กทะเล้นจับเอาหัวมันจ่อปากแทนไมค์ แล้วส่งเสียงกังวานใสร้องเพลงฮิตรุ่นพ่อออกมา ให้พี่ ๆ ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ ไอ้ท่าเต้นโยกตัวตามจังหวะทำนองนั่น มันน่าขำน้อยซะเมื่อไหร่ เกาะร้างแทนที่จะเงียบเหงา ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮายังกับวงเหล้าคนเมาก็ไม่ปาน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม